บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1467: แทงข้างหลัง
ตอนที่ 1467: แทงข้างหลัง
ชายในชุดสีน้ำเงินพลิกฝ่ามือ เก็บโคมทองไป
จากนั้น เขาก็หันไปกล่าวกับผู้อยู่ไกล ๆ ว่า “มู่จิง เจ้าบอกว่ายามนี้ผู้ที่ออกหมายเชิญเหล่าลูกน้องด้วยยันต์โองการหมื่นมารคือ… ทรราชผู้นั้นหรือ?”
เมื่อกล่าวถึงสมญา ‘ทรราช’ น้ำเสียงของชายชุดน้ำเงินก็แผ่วเบาลงมาก ความหวาดกลัวลึกล้ำปรากฏ ณ ส่วนลึกของดวงตา
เนิ่นนานมาแล้วในโลกเซียน ตัวตนผู้ถูกขนานนามเป็น ‘ทรราช’ คือตำนานอันเพียงพอให้เหล่าเจ้าสวรรค์ครั่นคร้ามผวาหวาด!
“จากวาจาของบุคคลนาม ‘สือจัว’ มีเพียง ‘จอมราชันย์อนันตรัตติกาล’ เท่านั้นที่สลักยันต์โองการหมื่นมารได้ หากไร้อุบัติเหตุอื่นใด ผู้ที่เชิญพวกเขามาต้องเป็นจอมราชันย์อนันตรัตติกาลแน่นอน”
หนึ่งน้ำเสียงดังขึ้นอย่างสุขุมเฉยชา ร้ายกาจเยี่ยงคมมีดเย็นเฉียบ
พร้อมกันนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเงียบ ๆ
เขาเป็นชายในอาภรณ์ผ้าลินินผู้หนึ่ง สีหน้าเฉียบขาดเย็นชา ให้บรรยากาศเก่าแก่ สะพายดาบไม้สีดำไว้บนหลัง
เขาทรงพลังเยี่ยงง้าว กิริยาสุขุมสำรวม ให้ความรู้สึกดุจขุนเขามิอาจขับเคลื่อน
“จอมราชันย์อนันตรัตติกาล?”
ดวงตาของชายชุดน้ำเงินวูบไหวก่อนจะฉีกยิ้มเยาะ “มู่จิง ทรราชผู้นั้นเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ไปนานแล้ว มีหรือจะยังคู่ควรกับนามนั้น?”
“ชินกับมันเสีย เจ้าเปลี่ยนมันมิได้หรอก”
ชายชุดผ้าลินินแบกดาบไม้สีดำกล่าวอย่างไร้อารมณ์
ชายชุดสีน้ำเงินพึมพำ “งั้นเจ้าว่า ความแข็งแกร่งยามเวียนวัฏกลับมาครานี้ของทรราชเป็นเช่นไร?”
“เจ้าไม่ได้ถามจากไอ้แก่สมญา ‘ช่างเสื้อ’ แล้วรู้อยู่แล้วหรือว่าจอมราชันย์อนันตรัตติกาลยามนี้เพิ่งก้าวสู่วิถีจุติสรวง?”
ชายในอาภรณ์ผ้าลินินกล่าวอย่างเฉยเมย
ชายชุดสีน้ำเงินรำพัน “เรื่องนี้หาใช่ความลับ หัวใจของข้าไร้ก้นบึ้ง เพราะถึงอย่างไร… แม้ยามนี้ทรราชนั่นจะเพิ่งก้าวสู่วิถีจุติสรวง แต่เดิมทีเขาก็เคยอยู่ ณ จุดสูงสุดวิถีเซียนมาก่อน และเคยปกครองยุคสมัยเยี่ยงเจ้าครองแดน!”
“เจ้ากลัวหรือ?”
ชายชุดผ้าลินินเอ่ยถาม
ชายชุดน้ำเงินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบยิ้ม ๆ “กลัวสิ! แน่นอนว่าข้ากลัว! แต่สิ่งที่ข้ากลัวคือเขาในกาลก่อน หาใช่เขายามนี้ไม่”
ชายในอาภรณ์ผ้าลินินนามมู่จิงทำเสียงในลำคอ มิได้กล่าวอันใดอีก
“ไปกันเถอะ ยามนี้ในศักราชแห่งมารนี่เหลือเพียงเราผู้เฒ่าทั้งสองแล้ว หากเราชิงวัฏสงสารจากทรราชนั่นมาได้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะกลับโลกเซียนได้หรือไม่”
ชายชุดน้ำเงินกล่าวพลางทะยานสู่ส่วนลึกบรรพตมารหมางกู่ “หาไม่ ก็ทำได้เพียงใช้ยันต์สาส์นนั่น”
มู่จิงตามเขาไปเงียบ ๆ
ชายชุดสีน้ำเงินเองก็หาสนใจไม่ อุปนิสัยของมู่จิงเย็นชาเยี่ยงศิลา เฉยชาเยี่ยงเหล็ก เขาชาชินนานแล้ว
“หลังจากนี้ เจ้าช่วยข้ากวาดค่ายกลด้วย”
ชายชุดน้ำเงินกล่าว
มู่จิงพยักหน้า
ชายชุดน้ำเงินนำโคมทองออกมายกขึ้น
วูบ!
ร่างโชกเลือดร่างหนึ่งพลันปรากฏ
เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าสะบักสะบอม ร่างเปี่ยมด้วยโลหิตแผดเผา ร่างไหม้เยี่ยงถ่านไม้ ดูน่าเวทนายิ่ง
ชายชุดนำเงินคว้าคอชายผู้นั้น กล่าวด้วยแววตาดุดัน “เอาล่ะ เรียกนายเจ้าออกมาที!”
ชายวัยกลางคนร่างสั่นสะท้าน
เขามองไปยังตำหนักจากไกลๆ แล้วแผดเสียงลั่น “นายเหนือหัว สุนัขรับใช้จอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียวพบที่นี่แล้ว โปรดหนีไปขอรับ!!”
น้ำเสียงนั้นสนั่นโลกา
“วอนตาย!”
สีหน้าของชายชุดน้ำเงินบิดเบี้ยว ยัดชายวัยกลางคนกลับเข้าไปในโคม แสงสว่างแผดจ้าตามด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของชายวัยกลางคน ร่างของเขาบิดเบี้ยวดิ้นรน
ตู้ม!
ขณะเดียวกัน ประตูตำหนักก็เปิดขึ้นไกล ๆ
ซูอี้ อูเหมิง ไป๋ท่าและคนอื่น ๆ เดินออกมา
“ศิลาเฒ่า!”
สีหน้าของอูเหมิงพลันแปรเปลี่ยน จำตัวตนชายวัยกลางคนในโคมทองได้ทันที
เมื่อนานมาแล้ว ผู้ติดตามหวังเย่มีทั้งหมดสิบแปดคน
ศิลาเฒ่าก็เป็นหนึ่งในนั้น นามของเขาคือสือจัว!
และภาพนี้ทำให้ใบหน้าของไป๋ท่า คางคกทมิฬ และพรรคพวกล้วนดูบิดเบี้ยว ดวงตามองชายชุดน้ำเงินและมู่จิงอย่างจะมาดร้าย
สุนัขรับใช้ใต้บัญชาเซวี่ยเซียวจื่อ?
คิ้วของซูอี้ขมวดหากันน้อย ๆ
เซวี่ยเซียวจื่อคือหนึ่งในศัตรูร้ายกาจของหวังเย่ในกาลก่อน จอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียว ตัวตนบรรพกาลรุ่นลายครามแห่งสำนักเต๋าผู้ก้าวสู่จุดยอดแห่งวิถีเซียนเนิ่นนานก่อนหวังเย่
เมื่อวานซืนผ่านมา ซูอี้ได้รู้จากอูเหมิงแล้วว่าเมื่อกาลก่อน เซวี่ยเซียวจื่อนำกลุ่มยอดฝีมือวิถีเซียนมายังศักราชแห่งมารเพื่อค้นหาร่างเวียนวัฏของหวังเย่
ทว่าท้ายที่สุด เซวี่ยเซียวจื่อก็คว้าน้ำเหลวและจากไป
และยามนี้ หลังกาลผ่านเนิ่นนาน ในวันที่สามนับแต่ซูอี้มาถึงศักราชแห่งมาร สมุนของเซวี่ยเซียวจื่อก็ปรากฏตัว
และยังใช้สือจัวเป็นตัวประกัน!
“เจ้า… คือร่างเวียนวัฏของทรราชหวังเย่หรือ?”
ดวงตาของชายชุดน้ำเงินเจิดจรัสเยี่ยงอัสนี กวาดมองไปทั่วทศทิศ และท้ายที่สุดก็หยุดที่ซูอี้อย่างเคลือบแคลง
ทันใดนั้น เขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสับสน
เพราะร่างของซูอี้ไร้ซึ่งเค้าลางอำนาจใด หาแตกต่างจากคนทั่วไปไม่ ทำให้เขารู้สึกว่ามิอาจหยั่งประมาณ
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ ชี้ไปยังโคมทองในมือชายชุดน้ำเงิน “ปล่อยเขา แล้วข้าผู้นี้จะละเว้นชีวิตเจ้า”
น้ำเสียงนั้นเฉยเมย ทว่าเผยความรู้สึกมิอาจโต้แย้ง
ชายชุดน้ำเงินหัวเราะแดกดัน ดวงตาเยาะเย้ย “ปล่อยคนน่ะได้ แต่เจ้าต้องมากับข้าวันนี้! หาไม่… คนผู้นี้จะตาย!”
กล่าวพลาง ปลายนิ้วของเขาก็กดลงเบา ๆ
พรึ่บ!
โคมทองแผดเผาปะทุเพลิง ร้อนแรงเสียจนสือจัวกรีดร้องเสียงแหบแห้ง ร่างของเขาดูราวใกล้มอดไหม้เต็มแก่
“วอนตาย!”
อูเหมิงเดือดดาล เลือดทั่วกายเดือดพล่าน
“ข้าพูดกับนายเจ้าอยู่ มิใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะเข้ามาสอด ไสหัวไป!”
ชายชุดน้ำเงินแค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วยกมือขึ้นกดบนอากาศ
ตู้ม!
หัตถ์ใหญ่สีทองทะยานผ่านเวหา
แดนดินระเบิด ร่างของอูเหมิงถูกตบกระเด็นไกลออกไปสิบกว่าจั้ง ริมฝีปากกระอักเลือด
ราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์!
หัวใจทุกผู้ตะลึงงัน สีหน้าแปรเปลี่ยนพร้อมเพรียง
ในศักราชแห่งมาร กระทั่งตัวตนวิถีเซียนผู้แข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ อย่างมากที่สุดก็ฝึกฝนได้เพียงเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเท่านั้น
หากต้องการพัฒนาการฝึกฝนต่อ พวกเขามีแต่ต้องข้าม ‘วิถีสวรรค์ห้าม’ สู่โลกเซียนเท่านั้น
สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างอูเหมิงนั้นเป็นเซียนแท้ขอบเขตสุญตากันแล้ว ทว่าหลังกาลผ่านเนิ่นนาน การฝึกฝนของพวกเขาก็ค้างอยู่ในขอบเขตนี้
ทว่ายามนี้ ข้ารับใช้ของจอมจักรพรรดิเซวี่ยเซียวกลับเป็นราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์!
นับว่าในโลกนี้ นี่คือตัวตนไร้เทียมทาน!
“นายเหนือหัว…”
ไป๋ท่ามองซูอี้ด้วยสีหน้ากังวล
ซูอี้โบกมือกล่าว “อย่าห่วงเลย แม้เขาจะเป็นราชันเซียนในขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ แต่ความแข็งแกร่งของเขาถูกกฎสวรรค์ข่มอยู่”
เขาหยั่งเชิงชายชุดน้ำเงินได้แต่ปราดแรก
ชายชุดน้ำเงินเงยหน้าหัวเราะต่อนภา “ฮ่า ๆๆ ถูกสะกดการฝึกฝนแล้วเช่นไรเล่า? ในศักราชแห่งมารนี้ ข้าจะอาละวาดเช่นไรก็ได้!”
“ที่สำคัญที่สุด!”
กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของชายชุดน้ำเงินก็จับจ้องซูอี้อย่างเย็นชา กล่าวเย้ยเยาะ “ในที่สุดข้าก็แน่ใจว่าร่างเวียนวัฏทรราชนี้อ่อนแอกว่ากาลก่อนมาก หาไม่ ไฉนจึงไม่หยุดข้ายามรังแกลูกน้องเจ้าเล่า?”
เขาส่ายหน้าอย่างแดกดัน “ก่อนหน้านี้ข้ากังวลกลัวว่าทรราชอย่างเจ้าจะมีลูกไม้อื่นแทบตายจึงไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม แต่ยามนี้ดูเหมือน… ท้ายที่สุดข้าจะคิดมากไปเอง”
ไม่ว่าใครก็เห็นได้ว่าชายชุดน้ำเงินผ่อนคลายลงโดยสมบูรณ์ การวางตนและกิริยาแปรเปลี่ยนเป็นเย่อหยิ่งเหลิงอำนาจ ไร้การสำรวมใด ๆ
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “หากเจ้าไม่กลัวจริง ๆ แล้วไฉนต้องพูดพล่ามให้มากความด้วย? พิสูจน์ออกมาว่าเจ้าไร้ความกลัวไม่ดีกว่าหรือ?”
ดวงตาของชายชุดน้ำเงินตะลึงงันไป ทว่าเขาก็แย้มยิ้มทันที “ความไม่ประมาทคือหนทางแห่งชีวิต ไม่ว่าอย่างไร เจ้าในกาลก่อนก็เป็นตัวตนสูงสุดในวิถีเซียน หากยังมีไพ่ตายต่อชีวิตข้า ข้าก็ย่อมมิโง่พอจะประเมินเจ้าต่ำไปโดยแท้”
หัวใจของผู้คนหนักอึ้ง
ชายชุดน้ำเงินผู้นี้ไม่เพียงร้ายกาจ แต่ยังเจ้าเล่ห์ระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้รับมือยากยิ่ง!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้างกายชายชุดน้ำเงินยังมีชายสะพายดาบไม้สีดำในอาภรณ์ผ้าลินินอยู่อีก แม้อีกฝ่ายจะมิกล่าววาจาใด แต่ทุกผู้ก็เห็นได้ว่าเขาเป็นราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน!
ใครเล่าจะมิตระหนกกับสถานการณ์นี้?
ซูอี้หยิบไหสุราขึ้นจิบ และเอ่ยสั่งผู้คนรอบข้าง “ต่อจากนี้ พวกเจ้าจงทำเพียงมอง อย่าได้ลงมือ”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวไปเบื้องหน้า
อากัปกิริยาของเขาเฉยเมย มีเพียงนัยน์ตาฉายประกายเย็นชาไร้อารมณ์
เปลือกตาของชายชุดน้ำเงินกระตุก ตะโกนลั่น “หากเจ้ากล้าเข้ามาอีก ข้าจะฆ่าลูกน้องเจ้าผู้นี้ทันที!”
ว่าพลางชูโคมทองในมือ ปราณบนร่างพลุ่งพล่านดำเนินเป็นการฝึกฝนราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์เต็มกำลัง
ฟ้าดินสะเทือนสั่น ทั่วทศทิศไหวคลอน
อำนาจของราชันเซียนทำให้ทุกผู้หน้าเปลี่ยนสี
ชายชุดน้ำเงินกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะ หากเจ้าผูกตรวนนี้รอบคอ ข้าจะปล่อยสมุนเจ้าทันที”
กล่าวจบ เขาก็โบกแขนเสื้อ ตรวนเงินสายหนึ่งลอยออกมาบนอากาศ
ตรวนยาวนั้นเจิดจรัสเงินยวง ปกคลุมด้วยลวดลายวิถีลับบิดเบี้ยวประหลาดตา เผยคลื่นปราณชวนใจหาย
ซูอี้เลิกคิวเล็กน้อย “‘ตรวนตรึงวิญญาณ’ ที่เซวี่ยเซียวจื่อทำขึ้นเองหรือ?”
เขากล่าวพลางยังคงก้าวไปเบื้องหน้าอย่างไม่รีบร้อน
ทว่าบนร่างของเขากลับมีปราณล่องหนอันเกินเข้าใจคุกรุ่นอยู่อย่างเงียบงัน
สิ่งนี้ทำให้ชายชุดน้ำเงินขมวดคิ้ว หัวใจประหม่าเกินบรรยาย
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาดูเรียบง่าย ทว่าเขามีหรือจะมิเข้าใจชัดแจ้งว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นตัวตนร้ายกาจเพียงใดยามอยู่ในโลกเซียน?
ไม่ว่าราชันเซียนจะทรงพลังเพียงไร เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย คนผู้นั้นก็ไม่ต่างจากมดไร้ทางสู้!
แม้กระทั่งตัวตนดุจเจ้าสวรรค์เหล่านั้น ขอเพียงขานนามเขา สีหน้าของตัวตนเหล่านั้นก็จะแปรเปลี่ยนในพริบตา!
“เจ้ามิห่วงความเป็นความตายของสมุนเจ้าจริง ๆ หรือ?”
ชายชุดน้ำเงินตวาดลั่น ปลายนิ้วกำโคมทองแน่น สีหน้าถมึงทึง
ปราณบนร่างของเขาทวีความร้ายกาจขึ้นตามกาล
ทว่าทุกผู้ล้วนเห็นพ้องว่าราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้กำลังกระวนกระวายเมื่อเห็นซูอี้ใกล้เข้ามา!
ในที่สุดซูอี้ก็ชะงัก
เขายกมือขวาขึ้นคว้าตรวนเงินอย่างเฉยชา
เห็นเช่นนี้ ชายชุดน้ำเงินก็ผงะไป ทรราชหวังเย่… ในที่สุดก็ประนีประนอมก้มหัวแล้วหรือ?
หาไม่ ไฉนเขาต้องเป็นฝ่ายหยิบตรวนตรึงวิญญาณไปเองด้วย?
ทว่าก่อนชายชุดน้ำเงินจะทันได้ดีใจ เขาก็ได้ยินเสียงสั่งอันแผ่วเบาของซูอี้ก่อน “ฆ่าเขาสิ พิสูจน์ตนว่าเจ้าไม่ได้แปรพักตร์เข้าข้างศัตรู”
จากนั้น ซูอี้ก็ไม่ได้หันแลชายชุดน้ำเงินอีก
“เขาสั่งการใครอยู่?”
ชายชุดน้ำเงินพรั่นพรึงในใจ ตระหนักแล้วว่าบางอย่างผิดแปลก
“ขอรับ!”
เสียงอันเคร่งขรึมทรงพลังเสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลังชายชุดน้ำเงิน
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสะพรึงสุดขีด สัมผัสได้เพียงปราณเย็นเฉียบทะยานเวหา และหันศีรษะไปมองโดยสัญชาตญาณ
การหันกลับไปนั้น หากเป็นกาลทั่วไปก็สามารถทำได้ในทันที
ทว่าทันทีที่ชายชุดน้ำเงินหันศีรษะ ดาบไม้สีดำเล่มหนึ่งก็แทงทะลวงคอของเขา
ทำให้ศีรษะของเขาค้างกับที่ขณะกำลังหัน