บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1488: ศิลาเบญจขันธ์
ตอนที่ 1488: ศิลาเบญจขันธ์
ไม่ว่าผู้ใดในสนามรบที่สองต่างก็เป็นตัวตนในขอบเขตรวมวิถี ซึ่งทำให้กฎการล่านั้นเป็นธรรม
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านี่คือเมืองซีหาน ซึ่งมีตัวตนขอบเขตรวมวิถีเฝ้าประจำการอยู่มากมาย
กล่าวโดยภาพรวมคือ แม้จะสู้ไม่ได้ พวกเขาก็ยังหนีหลบในเมืองซีหานได้ทันที
เพราะเหตุนี้ ยามตัวตนขอบเขตรวมวิถีทั้งหลายรุมโจมตีซูอี้อย่างกระเหี้ยนกระหือรือนั้น พวกเขาจึงไม่มีความกลัวโดยสิ้นเชิง
ในใจมีเพียงต้องการประชันกับคนอื่น เพื่อฆ่าเหยื่อผู้นี้ให้ได้ก่อนเท่านั้น!
เหยื่อจะเป็นจะตายเช่นไรไม่สำคัญ
ความหฤหรรษ์อยู่ที่การล่าประชันกันเองนี่แหละ
นี่คือความรื่นรมย์ของการล่า!
น่าเสียดายที่พวกเขาหารู้ไม่ว่า แม้เหยื่อตรงหน้านี้จะมีขอบเขตพลังเทียบได้กับพวกเขา ทว่าความแข็งแกร่งนั้น… ฆ่าได้กระทั่งเซียนในแดนมนุษย์แล้ว!
ดวงตาของซูอี้ฉายประกายเย้ยเยาะ
เพียงหนึ่งสะบัดแขนเสื้อ
ตู้ม!
เจ็ดผู้ฝึกตนแห่งขอบเขตรวมวิถีซึ่งทะยานมาจากทุกทิศล้วนระเบิดแหลก ร่างถูกฉีกกระชาก ซากเนื้อและหยาดโลหิตกระเซ็นทั่วทุกทิศทาง
เหล่าผู้ชมล้วนตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
เพียงหนึ่งโบกแขนเสื้อ เขาก็กวาดล้างผู้ฝึกตนขอบเขตรวมวิถีไปเจ็ดคน!?
คนผู้นี้เป็นใครกัน? ไฉนจึงร้ายกาจยิ่งเพียงนี้!
ซูอี้มองไปรอบ ๆ อย่างหาสนใจไม่ ก่อนจะยกมือขวาขึ้น
วูบ!
หนึ่งปราณดาบก่อขึ้นในมือเขา
ปราณดาบโปร่งใสเรืองรัศมีฮุ่นตุ้นสีครามทอง สารพัดอำนาจกฎเต๋าไหลทะลักออกจากภายใน
ซูอี้ยกมือขึ้นฟาดฟัน
ปราณดาบสามฉื่อทะยานสู่เวหา ความยาวขยายออกเป็นพันจั้งดุจแสงสว่างตัดนภาสะบั้นแดนดิน
แดนดินพลันปริแยก ดวงตาทุกผู้ปวดแปลบขึ้นมา
“หลบเร็ว!!”
เสียงแผดร้องด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้น
ทว่าก็ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง
ตู้ม!!
หนึ่งดาบสับลงมา ภาวะดาบอันน่าสะพรึงกลัวดุจคลื่นยักษ์ถาโถม ขณะแผ่รัศมีอย่างบ้าคลั่ง
นับแต่จุดที่ซูอี้ยืนอยู่จนถึงประตูเมืองซีหานที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาได้ถูกปราณดาบอันร้ายแรงปกคลุมทั่ว
และผู้ฝึกตนขอบเขตรวมวิถีซึ่งอยู่นอกประตูเมืองเหล่านั้นล้วนจมหายไปเยี่ยงจอกแหนกลางทะเลคลั่ง
เสียงตะโกน กรีดร้อง คร่ำครวญ และคำรามสะท้อนก้องตามกัน
ทุกสิ่งหยุดลงกะทันหัน
มีเพียงสีเลือดที่เบ่งบานท่ามกลางกระแสภาวะดาบกราดเกรี้ยว ดุจประทัดพวงสายยาวแน่นขนัดระเบิดประกายแดงฉาน
และยามปราณดาบสายนั้นสลายไป หลุมลึกอันไม่อาจหยั่งได้ปรากฏขึ้นบนโลกหล้า แผ่ไปจนถึงหน้าประตูเมืองซีหาน
ทุกบุคคลขอบเขตรวมวิถี ณ แดนดินนอกประตูเมืองล้วนกลายเป็นคราบเลือดเปรอะเปื้อนทั่วทั้งแดนดิน
เศษซากและอาวุธวิเศษแตกหักกระจายเกลื่อน
หนึ่งดาบประหารสิ้นศัตรู!
ภาพอันน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้เกิดเสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาจากภายในประตูเมือง
เดิมที รอบเมืองแต่ละเมืองได้รับการปกป้องโดยอำนาจกฎเกณฑ์ ทำให้ผู้ฝึกตนบางผู้ในเมืองรอดจากเภทภัย
ทว่ายามเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังขวัญหายกันอยู่ดี
ซูอี้ซึ่งอยู่ไกลออกไปยกไหสุราขึ้นจิบ ขณะกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมยเยี่ยงกาลก่อน “หากพวกเจ้าอยากแก้แค้นล่ะก็ สามวันต่อจากนี้ในราตรีจันทราสีเลือด ข้าจะมาใหม่”
กล่าวจบ ซูอี้ก็หันหลังจากไป
ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดเขาจนกระทั่งลับตาไป!
ไม่นานนัก เมืองซีหานก็เซ็งแซ่ ผู้ฝึกตนทั่วเมืองล้วนรับรู้เหตุนองเลือดที่เกิดขึ้นนอกประตู ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา
“ยามใดกันที่เมืองตงเสวียนมีตัวตนโหดเหี้ยมเพียงนี้อยู่?”
“ห่าแม่ง! เขากล้ามาขู่เรา หากสามวันจากนี้เขากล้ามาอีก อย่าได้ละเว้นเขาเชียว!”
“สงบโทสะเถิด วิถีเต๋าของคนผู้นี้ร้ายกาจเกินไป เราต้องวางแผนกันก่อน จะกระทำการบุ่มบ่ามมิได้!”
“ส่งข่าวเร็วเข้า เรียกตัวทุกคนกลับเมืองซีหานเดี๋ยวนี้!”
……
วันเดียวกันนั้น เหตุนองเลือดหน้าประตูเมืองซีหานก็เกิดกับเมืองเป่ยเยวียนและหนานหั่วเช่นกัน
ซูอี้ไล่ล่าสังหารไปตามเมืองเป่ยเยวียนและหนานหั่วเพียงลำพัง และหลังสังหารศัตรูไปกลุ่มหนึ่ง เขาก็ประกาศสงครามกับทั้งสองฝ่ายทันที!
เมืองเป่ยเยวียนโกลาหล
เมืองหนานหั่วอื้ออึง
วันเดียวกันนั้น สามเมืองใหญ่จากจักรดาราหลักล้วนออกคำสั่งเชิญยอดฝีมือผู้กำลังค้นหาวาสนาทั่วสนามรบที่สองกลับเมืองของตน
“ในสามวัน หากคนบ้านั่นกล้ามา เขาจะมิได้กลับไป!”
บางผู้กล่าวอย่างเคียดแค้น
“ในราตรีจันทราสีเลือด หากเขากล้ามา ข้าจะปิดประตูตีสุนัข!”
บางผู้กล่าวเย้ย
“มีเพียงหนึ่งบุคคล แต่กล้าประกาศสงครามต่อเราทั้งผอง วอนตายโดยแท้!”
บางผู้กล่าวอย่างเดือดดาล “สามวันจากนี้ ส่งคนไปฆ่าเหยื่อที่เมืองตงเสวียนให้หมด!”
ในสามฝั่งจักรดารานั้นหาขาดตัวตนไร้เทียมทานในขอบเขตรวมวิถีไม่ แต่ละผู้ล้วนมีพลังต่อสู้ซึ่งคนในขอบเขตเดียวกันแทบไม่อาจเทียบเทียม
หลังจากได้รู้เกี่ยวกับการประกาศศึกของซูอี้ ตัวตนไร้เทียมทานเหล่านั้นล้วนลงมือรวบรวมพวกพ้องวางแผนสังหารทันที
หนึ่งมรสุมกำลังก่อตัว
ขณะเดียวกัน ซูอี้กลับไปยังเมืองตงเสวียนแล้ว
เขาเองก็กำลังคิดว่าควรอยู่พบศัตรูในเมืองตงเสวียนในราตรีจันทราสีเลือดดีหรือไม่
ทว่าสุดท้ายเขาก็ทิ้งความคิดนั้นไป
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะหากทำเช่นนั้น ศัตรูจะไม่เผยตัวเลย
อีกประการ มันดูเป็นการตั้งรับมากเกินไป
แต่หากเป็นฝ่ายบุกไปเข่นฆ่าถึงที่ ยามนั้นจึงเกิดโอกาสให้จบเรื่องในคราเดียวได้
เพราะถึงอย่างไร แม้พระจะวิ่งได้ แต่วิหารมิอาจขยับเคลื่อนตาม
สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตรวมวิถีจากสามจักรดารา เมืองพำนักแต่ละเมืองก็คือ ‘วิหาร’ ของพวกเขา!
รอสามวันจากนี้ แล้วเขาก็จะบุกเข้าไปเข่นฆ่ากลางเมืองในราตรีจันทราสีเลือดได้
แน่นอนว่า โอกาสที่ศัตรูบางส่วนจะถอยจากเมืองไปก่อนก็มีอยู่ แต่มันจะไม่ส่งผลกระทบถึงสถานการณ์โดยรวม
และเขาก็แน่ใจว่าศัตรูทั้งสามฝ่ายจะมิหนีไปไหน แต่รวมกำลังทั้งฝ่ายวางแผนสังหารล่วงหน้าไว้ในเมือง รอรับศึกมากกว่า!
นี่คือสันดานแห่งมนุษย์!
เพราะถึงอย่างไร ยอดฝีมือของแต่ละฝ่ายล้วนมีจำนวนมหาศาล กระทั่งฝ่ายเมืองหนานหั่วก็ยังมีตัวตนขอบเขตรวมวิถีอยู่ถึงห้าร้อยกว่าคน
ส่วนจำนวนยอดฝีมือในเมืองซีหานนั้นมีถึงแปดร้อย!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกตนต้องเผชิญกับศัตรูร้าย ใครเล่าจะเลือกออกจากถิ่นก่อนเริ่มศึก?
หลังกลับสู่เมืองตงเสวียน ซูอี้ก็ไปหาเหล่ายอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียน
“เตรียมตัวและไปบุกรังศัตรูกับข้าในสามวัน”
ซูอี้ประกาศเจตนา
“บุกรังศัตรูหรือ?”
ชายร่างกำยำผู้หนึ่งประหลาดใจ
คนอื่น ๆ ต่างก็มองหน้ากันด้วยประหลาดใจกับคำเสนอของซูอี้
มีเพียงสตรีนามจ่านอวิ้นที่กล่าวโดยไม่ต้องคิดสักนิด “ตกลง!”
“ใต้เท้าซู นี่… จะไม่อุกอาจไปหน่อยหรือขอรับ?”
ชายชรากล่าวอย่างระมัดระวังวาจา “เพราะถึงอย่างไร หากเกิดความผิดพลาดบางอย่าง เราทั้งหลาย… อาจเป็นตัวถ่วงให้ท่านได้นะขอรับ”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “เท่าที่ข้ารู้ สนามรบที่สองนี้ไร้สิ่งใดควรค่าให้คงอยู่เว้นเพียงโอกาสอันมิอาจหาพบในโลกภายนอกบางอย่าง ข้าจะไปยังสนามรบแรกในไม่ช้า และก่อนหน้านั้น ข้าจะกรุยทางแก่พวกเจ้า”
ทุกผู้ “…”
“ได้ ตาเฒ่าก็ยินดีถวายชีวิตติดตามใต้เท้าซูขอรับ!”
ชายชรารับปาก
ไม่นานนัก ผู้อื่นก็รับคำ
ทุกผู้รู้ว่าสามวันจากนี้ หากพวกเขาอยู่ในเมืองตงเสวียน ณ ราตรีจันทราสีเลือดต่อไป จุดจบก็มีเพียงความตาย
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สู้เสี่ยงชีวิตไปกับซูอี้ดีกว่า!
หลังสรุปเรื่องได้ ชายหนุ่มก็หาที่นั่งลงขัดสมาธิ
“นี่คือศิลาเบญจขันธ์หรือ? สมกับเป็นสมบัติอัศจรรย์ชั้นหนึ่งในสนามรบที่สองนี้จริง ๆ”
ซูอี้หยิบชิ้นหยกที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือชิ้นหนึ่งขึ้นมามอง
ทั้งชิ้นเป็นสีทองอ่อน กระจ่างใสเลื่อมพราย มีแสงสว่างเรืองรองพุ่งทะยานเยี่ยงกระแสวารีอยู่ภายใน เบาบางเยี่ยงขนนก
นี่คือศิลาเบญจขันธ์ สมบัติอันก่อเกิดในสนามรบที่สอง ซึ่งไม่อาจหาพบได้ในโลกหล้าภายนอก
สมบัติชิ้นนี้สามารถขัดเกลารากฐานวิถี เสริมความแข็งแกร่งและพัฒนาวิถีเต๋าของผู้ฝึกตนได้
ทว่าคุณสมบัติอันวิเศษสุดของสมบัติชิ้นนี้คือ มันมีบทบาทเหลือเชื่อยามควบแน่นอำนาจจิตวิญญาณ
มันทำได้กระทั่งเสริมความเข้าใจของตัวผู้ฝึกตน และกระตุ้นศักยภาพในอำนาจจิตวิญญาณ!
สมบัติเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในโลกเซียนก็ยังกล่าวได้ว่าหายาก
วันนี้ ซูอี้ฆ่าฟันศัตรูมากมาย และในบรรดาสินสงครามที่ได้รับมาก็มีศิลาเบญจขันธ์อยู่ถึงสิบกว่าชิ้น หนึ่งในนั้นอยู่ในมือเขาในยามนี้
สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา
คืนนี้
จันทร์เพ็ญแดงฉานลอยอยู่บนท้องนภาที่ดำเมี่ยมเช่นหมึก ดูคล้ายนัยน์ตาปีศาจทอดมองลงยังโลกหล้า ประหลาดชวนขนลุก
อำนาจกฎเกณฑ์ที่ปกคลุมทั่วเมืองตงเสวียน เป่ยเยวียน หนานหั่วและซีหานล้วนจางหายไปอย่างเงียบงันยามจันทราสีเลือดปรากฏขึ้น
และทั่วฟ้าดินก็มีจิตสังหารหนาแน่นคุโชน
นี่คือราตรีจันทราสีเลือด ซึ่งจะปรากฏขึ้นทุกสองเดือน!
“จันทราสีเลือดปรากฏขึ้นแล้ว ทว่าไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนบ้าจากเมืองตงเสวียนนั่นจะกล้ามาจริง ๆ หรือไม่”
บนกำแพงเมืองโอ่อ่าของเมืองซีหาน ตัวตนขอบเขตรวมวิถีกลุ่มหนึ่งประจำการอยู่
ในสามวันนี้ ยอดฝีมือจากเมืองซีหานซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วสนามรบที่สองล้วนกลับถึงเมืองหมดแล้ว
ภายใต้แผนของตัวตนไร้เทียมทานสิบกว่าผู้ ค่ายกลสังหารอันหนาแน่นก็ถูกสร้างขึ้นในเมืองซีหานวันนี้!
ทุกผู้เชื่ออย่างหนักแน่นว่าแผนการสังหารนี้ ต่อให้ผู้มาเยือนเป็นตัวตนในขอบเขตจุติมงคลก็ตายอยู่ดี!
“หากเขาไม่มา เราจะไปบุกเมืองตงเสวียน เข่นฆ่ามิให้เหลือ!”
บางผู้กล่าวด้วยแววตาเย็นเยียบ
สามวันมานี้ ยอดฝีมือเกือบแปดร้อยคนในเมืองซีหานล้วนกลั้นโทสะไว้ในใจ แค้นเคืองซูอี้ผู้มาจากเมืองตงเสวียนถึงกระดูก
จันทราสีเลือดลอยคว้าง ย้อมรัตติกาลด้วยสีแดงจาง ๆ
หมอกหนาคล้อยวนบนอากาศ เผยบรรยากาศที่กดดันทั่วทั้งชั้นฟ้าดิน
ทันใดนั้น บุคคลกลุ่มหนึ่งก็แหวกหมู่หมอกกลางอากาศมาแต่ไกล
ผู้นำอยู่เบื้องหน้าคือซูอี้ และเบื้องหลังของเขามียอดฝีมือจากเมืองตงเสวียนยี่สิบกว่าคนตามมา
“เจ้านั่นมาแล้ว!”
“เขาพาคนจากเมืองตงเสวียนมาด้วย… กลัวเราเหนื่อยมิพอฆ่าหรือไร?”
กลุ่มยอดฝีมือซึ่งประจำการอยู่บนกำแพงเมืองซีหานล้วนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวนี้ก่อนใคร
หนึ่งในนั้นขยี้สารในมือ
เปรี้ยง!
เพลิงแสงระเบิดขึ้นสู่นภา
ทันใดจากนั้น สารพัดเพลิงแสงพลันทะยานจากทั่วทั้งเมืองซีหาน
ทั่วทั้งเมืองพลันเรืองประกาย ทอแสงสาดทั่วโลกหล้า เจิดจรัสเยี่ยงกลางวัน!