บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1489: แค่ดาบเดียวนี้ก็ล้างเมืองได้แล้ว
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1489: แค่ดาบเดียวนี้ก็ล้างเมืองได้แล้ว
ตอนที่ 1489: แค่ดาบเดียวนี้ก็ล้างเมืองได้แล้ว
ฟ้าดินสว่างไสวเยี่ยงทิวากาล
และเผยร่างของพวกซูอี้อย่างชัดเจน
หัวใจคนทุกผู้บีบรัด รู้สึกหดหู่ในอก
ในเมืองซีหานมีตัวตนขอบเขตรวมวิถีอยู่เกือบแปดร้อยตน!
ในหมู่พวกเขายังมีตัวตนไร้เทียมทานปนอยู่ด้วย
ยามนี้ เพียงมองภาพอันปรากฏในเมืองก็รู้ได้ ว่าเหล่ายอดฝีมือจากเมืองซีหานต่างเตรียมการสร้างแผนล้อมสังหารอย่างชวนตะลึงไว้ล่วงหน้า!
“ใต้เท้าซู เรา…จะเข้าเมืองไปเช่นนี้หรือขอรับ?”
บางผู้ถามอย่างระมัดระวัง
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “ไม่จำเป็น นั่นจะเสียเวลามากไป”
เขากล่าวพลางโบกแขนเสื้อ
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาทะยานออก หมุนคว้างลอยควงตรงหน้าซูอี้
ตัวดาบโบราณสีครามทองเรืองประกายเย็นเยียบชวนใจหายท่ามกลางเพลิงแสงจากเมืองซีหาน
“แค่ดาบเดียวนี้ก็ล้างเมืองได้แล้ว”
ซูอี้ว่าพลางยกมือแตะดาบแห่งโลกาตรงหน้าเล็กน้อย
วูบ!
ดาบแห่งโลกาแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสงทะยานจากไป
……
กลางเมืองซีหาน
ตัวตนสูงสุดไร้เทียมทานสิบกว่าคนกระจัดกระจายอยู่
“ฐานที่มั่นในเมืองมีค่ายกลสังหารกระจายอยู่สี่สิบเก้าแห่ง แต่ละแห่งล้วนมีสหายเต๋าสิบสองคนประจำการ เมื่อใช้ค่ายกลทั้งสี่สิบเก้า จะเรียกใช้ ‘ค่ายกลมารฟ้าล้างภูมิ’ ซึ่งเพียงพอสังหารตัวตนขอบเขตจุติมงคลอย่างง่ายดายได้!”
บางผู้กระซิบ “ไม่ว่าคนบ้าจากเมืองตงเสวียนนั่นจะทรงพลังท้าทายสวรรค์เพียงไร เขาก็จะตายแน่!”
เมื่อสามวันก่อน ตัวตนไร้เทียมทานเหล่านี้รวมตัวตรวจสอบความแข็งแกร่งของชายหนุ่มชุดเขียวจากเมืองตงเสวียนด้วยกัน
ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่ทำให้พวกเขาทั้งหลายล้วนหวาดกลัว
ต่อให้พวกเขาร่วมมือ โอกาสชนะก็มีไม่มาก!
เพราะเหตุนี้ ในสามวันผ่านมา พวกเขาจึงจัดทัพทุ่มสุดตัว หากล้านิ่งนอนใจไม่
“บางที อีกฝ่ายอาจกลัวจนมิกล้ามาก็เป็นได้ อย่างน้อยหากเป็นข้า คงมิโง่พอมาตายลำพังหรอก”
บางผู้กล่าวยิ้ม ๆ
“หากเขาไม่มา ไม่ใช่เราทุ่มเทเสียเปล่าหรือ?”
“งั้นก็ไปลุยฆ่าที่เมืองตงเสวียนด้วยกันเลย!”
“ข้าได้ยินว่าคนบ้านั่นมิเพียงประกาศสงครามต่อเรา กระทั่งเมืองเป่ยเยวียนและเมืองหนานหั่วก็ถูกยั่วยุ บ้าสิ้นดี”
…ขณะสนทนา จู่ ๆ พลุแสงก็ระเบิดสู่ท้องนภาหน้าประตูเมือง
“เจ้านั่นมาแล้ว!”
ตัวตนไร้เทียมทานสิบกว่าคนเหล่านี้ล้วนตะลึง เผยสีหน้าประหลาดใจตาม ๆ กัน
“ไม่ใช่ว่านี่ดีแล้วหรือ?”
บางผู้เชิดหน้าหัวเราะลั่นนภา
ตู้ม!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทะยานเวหาจากเมืองซีหาน ลบล้างความมืดแห่งรัตติกาล สาดรัศมีสว่างไสวแก่ฟ้าดินตาม ๆ กัน
“ทุกท่าน ถึงกาลเราลงมือแล้ว!”
บางผู้กู่ร้องอย่างมาดร้าย
“หลังฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายนี่ ข้าจะเชิญทุกท่านดื่มฉลองให้เมาหลับเลย!”
สตรีทรงเสน่ห์ผู้หนึ่งกล่าวยิ้ม ๆ
ทุกผู้ต่างตกลงเป็นเอกฉันท์
ทว่ายามนี้ จู่ ๆ ก็มีบางผู้เงยหน้ามองท้องนภา “หือ? พวกเจ้าดูนั่น!”
ทุกผู้เงยหน้ามองตาม
ยอดท้องนภามีดวงจันทร์เพ็ญสีเลือดลอยสูง
และหนึ่งดาบก็ทะยานเป็นเส้นแสง ปรากฏขึ้นเหนือเมืองซีหาน
แล้วดาบก็ฟาดลง
ตู้ม!!!
พริบตานั้น ปราณดาบอันหนาแน่นฉวัดเฉวียนก็ทะยานลงเยี่ยงธารดาราเก้าสวรรค์
ทุกปราณดาบเป็นเช่นเส้นแสง งดงามตระการสี เจิดจรัสบนท้องนภายามราตรี
มองปราดแรก มันดูราวกับธารดาราเคลื่อนทะลักผ่านฟ้า เจิดจ้าพรรณรายทุกแห่งหน
ทุกผู้ในเมืองซีหานตะลึงตาค้าง
ทันใดนั้น หลายคนก็หน้าเปลี่ยนสี
ปราณดาบซึ่งทะลักโปรยปรายลงดูงดงามถึงขีดสุด ทว่าแท้จริงช่างน่าสะพรึงกลัวเหนือสิ่งใด ฉีกกระชากแดนดินแหลกร้าวร้ายกาจเกินคณานับ!
เพียงมองจากไกล ๆ หัวใจผู้คนก็เจ็บแปลบ ตับไตแทบแหลกร้าว
“รีบใช้มหาค่ายกลเร็วเข้า!!!”
เหล่าตัวตนไร้เทียมทานไหวตัวเร็วที่สุด และพากันคำราม
ตู้ม!
สารพัดอำนาจค่ายกลปรากฏเหนือเมืองซีหาน ปกคลุมทั่วเมืองราวชั้นสมุทรเชี่ยว
ค่ายกลสังหารนี้ เดิมทีเตรียมไว้เพื่อซูอี้ ทว่ายามนี้หามีผู้ใดมัวสนใจไม่ พวกเขาล้วนดำเนินอำนาจค่ายกลสังหารสุดกำลัง
ทว่าภาพหนึ่งพลันอุบัติ ทำให้ทุกผู้ตกตะลึง…
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ปราณดาบพรั่งโปรยแต่ละสายล้วนเผยอำนาจเกินทำลาย ทะลวงค่ายกลสังหารได้ทันใด
สารพัดปราณดาบโปรยปราย ทะลวงมหาค่ายกลจนระเบิดสิ้นในพริบตา
คนทุกผู้ตะลึงงันราวถูกอสนีบาตใส่
นั่นฆ่าตัวตนขอบเขตจุติมงคลได้เชียวนะ!
แต่ยามนี้ มันกลับระเบิดออกจากการจิ้มทีเดียวราวฟองคลื่น!
“ไม่นะ!”
“เผ่น เผ่นเร็ว!!”
…เสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาดังออกมาจากในเมือง
ทว่าก็สายไป
ปราณดาบไร้ผู้เทียบโปรยปรายเยี่ยงห่าฝน สังหารตัวตนขอบเขตรวมวิถีในเมืองตายตกไปตาม ๆ กัน!
กระทั่งตัวตนร้ายกาจไร้ผู้เทียบเหล่านั้น เมื่อทุ่มสุดกำลังรับมือพิรุณดาบจากนภา พวกเขาก็ต้องพรั่นพรึงยามพบว่าตนปวกเปียกเพียงไร
และถูกฆ่าลงในพริบตา!
กล่าวคือ ภายใต้ปราณดาบกราดเกรี้ยวนั้น ยอดฝีมือขอบเขตรวมวิถีทั้งหมด ไม่ว่าจะแข็งแกร่งอ่อนแอเพียงไรก็ล้วนหาต่างจากมดไม่
……
นอกเมือง
ขณะที่เหล่ายอดฝีมือจากเมืองตงเสวียนกำลังคิดว่า ‘แค่ดาบเดียวนี้ก็ล้างเมืองได้แล้ว’ หมายความเช่นไร เหตุนองเลือดนี้ก็ปรากฏขึ้น
ทั้งเมืองซีหานถูกปกคลุมด้วยปราณดาบไพศาล!
เสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงคำรามอย่างหวาดผวา เสียงร้องอย่างไม่เต็มใจ… ดังตาม ๆ กันมา
เพลิงแสงเดือดพล่าน คลื่นทำลายล้างกวาดถล่มในเมือง สร้างเป็นภาพสีเลือดโหดร้ายเยี่ยงอเวจี
คนทุกผู้ตัวสั่นนิ่งค้าง
ยามนี้ พวกเขาไม่ต้องคิดแล้ว เห็น ๆ กับตาอยู่ว่า ‘แค่ดาบเดียวนี้ก็ล้างเมืองได้แล้ว’ เป็นเช่นไร!!!
ครู่ต่อมา พิรุณดาบก็เลือนหาย สรรพสิ่งค่อย ๆ ดับวจี
การเคลื่อนไหวในเมืองซีหานเองก็สาบสูญ บรรยากาศเงียบสงัดเยี่ยงป่าช้า
มีเพียงกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งโชยมากับสายลมยามรัตติกาล ชวนให้ผู้คนเบ้หน้าอยากสำลักอย่างขยะแขยง
ตู้ม!
ทันทีที่ซูอี้กวักมือ ดาบแห่งโลกาก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงตกลงในมือเขา
“พวก… พวกเขาตายกันหมดแล้วหรือ?”
บางผู้พึมพำอย่างอึ้ง ๆ
หนึ่งดาบทะยาน เปี่ยมปราณล้างนคร!
เหตุละเลงเลือดนี้ชวนสะเทือนจิตเกินไปโดยไร้กังขา
“ช่างดี… ช่างเลิศนัก…”
จ่านอวิ้นกล่าวทั้ง ๆ ที่ตัวสั่น
ศัตรูผู้ฆ่าศิษย์พี่ของนางมาจากเมืองซีหาน
และยามนี้ เมืองซีหานก็ถูกล้างด้วยหนึ่งดาบ!
นี่ย่อมหมายความว่าหนี้เลือดศิษย์พี่ของนางได้รับการชำระแล้ว
ผู้อื่นล้วนเงียบกริบ
ดาบของซูอี้ทรงอำนาจน่าสะพรึงกลัวเกินไป ทำให้ความคิดของพวกเขาสะท้านสะเทือนร้ายแรงเกินสงบใจได้เนิ่นนาน
ยามพวกเขาออกเดินทางมาที่นี่ ในใจพวกเขาเคยคิดถึงฉากสารพัดการต่อสู้ และคาดการณ์เหตุการณ์อันตรายมากมาย
แต่ไม่มีผู้คาดเลยว่าหลังมาถึงรังศัตรู ซูอี้จะไม่แม้แต่จะเข้าเยือน ใช้เพียงหนึ่งดาบล้างศัตรูสิ้นเมือง!
“อาจมีผู้รอดชีวิตอยู่บ้าง แต่ก็ยากปรากฏ”
ซูอี้ละสายตา “ไปเถิด ไปเมืองเป่ยเยวียนกันต่อ”
เขาหันหลังจากไป มิใส่ใจจะตรวจหาผู้รอดชีวิตในเมืองซีหานอีก
คนทุกผู้พลันฟื้นสติจากความตกตะลึง รีบตามซูอี้ไปทันที
หลังพวกเขาจรจาก ร่างหนึ่งก็ค่อย ๆ ทะยานมาจากไกล ๆ
เขาเป็นชายชราร่างผอมในชุดดำจากเมืองเป่ยเยวียน
“เพียงหนึ่งดาบ คนทุกผู้ในเมืองซีหานก็ตกตาย?”
ชายชราชุดดำตกตะลึง ดวงตามองตรงไปยังเมืองซีหานจากไกล ๆ และทั่วร่างของเขาก็สั่นเทิ้มเกินควบคุม
เมืองซีหานเงียบกริบ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเยี่ยงเมืองผี!
มิอาจจินตนาการได้เลยว่า ณ เมืองนี้เมื่อกาลก่อนมียอดคนจุติสรวงจากจักรดาราซีหานประจำอยู่แปดร้อยกว่าคน
“คนผู้นั้นจากเมืองตงเสวียนคือใครกัน? เป็นไปได้หรือที่จะมีอำนาจร้ายกาจเพียงนั้นในขอบเขตรวมวิถี?”
ชายชราชุดดำร่างชุ่มเหงื่อเย็นเฉียบ
คืนนี้ เขาได้รับคำสั่งให้มาสืบข่าว ตั้งใจจะมาดูว่าคนบ้าจากเมืองตงเสวียนจะตายในเมืองซีหานหรือไม่
แต่ไม่คาดเลยว่าจะได้มาเห็นฉากล้างเมืองแทน!
“แย่แล้ว!”
ทันใดนั้น สีหน้าของชายชราชุดดำก็แปรเปลี่ยนอย่างร้ายกาจ “เราต้องส่งข่าวนี้โดยเร็วที่สุด คนผู้นั้นร้ายกาจเกินไป มิอาจเอาชนะได้เลย!”
วูบ!
ชายชราชุดดำหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
เขากระวนกระวายเคลื่อนขยับอย่างสิ้นหวัง อยากกลับเมืองเป่ยเยวียนโดยไวที่สุด
“เจ็บใจนัก! ในสนามรบที่สองนี้ใช้ป้ายยันต์ส่งสาส์นมิได้ หาไม่ เราก็คงส่งข่าวให้คนทุกผู้ในเมืองเป่ยเยวียนได้แล้ว!”
“เร็วเข้า! ต้องรีบแล้ว!”
…ชายชราชุดดำกัดฟันใช้เคล็ดวิชาต้องห้าม เพิ่มความเร็วทวีคูณอีกครั้ง
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
ชายชราชุดดำก็เห็นเค้าเมืองเป่ยเยวียนจากไกล ๆ
เขาคำรามโดยมิสนใจสิ่งอื่นอีก “หนี! ทุกคนเผ่นเร็ว!”
“เมืองซีหานล่มแล้ว คนทุกผู้ตายสิ้น! คนจากเมืองตงเสวียนผู้นั้น… ไม่ใช่ผู้ที่เราสู้ได้เลย!”
“หนีไปซะ!”
เสียงนั้นสนั่นนภายามราตรี เผยให้เห็นความกระวนกระวายอย่างยิ่งยวด
ทว่าเมืองเป่ยเยวียนไกล ๆ นั้น มันก็หามีการขยับเคลื่อนไม่
“หรือว่า…”
สีหน้าของชายชราชุดดำพลันแปรเปลี่ยนและชะงักกะทันหัน
ยามนี้ เขาได้กลิ่นเลือดคละคลุ้งโชยแตะจมูก
กลิ่นเลือดนั้นโชยออกมาจากในเมืองเป่ยเยวียน
ตู้ม!
ชายชราชุดดำตกตะลึงราวต้องสายฟ้าฟาด ดวงตาพร่ามัวเห็นดวงดาว ร่างร่วงจากอากาศทรุดลงแน่นิ่งกับพื้น
จบแล้ว!
ใบหน้าของเขาซีดขาวแสนโศก
เขาไม่ต้องคิดก็รู้ได้ ว่าสิ่งที่เกิดกับเมืองซีหานก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้น ณ เมืองเป่ยเยวียนก่อนเขาจะกลับมาถึงแล้ว!
“ไฉนเป็นเช่นนี้ได้ ไฉนเรื่องเลวร้ายบ้าบอเช่นนี้จึงเกิดในเขตแดนสนามรบได้?”
“ต่อให้เปลี่ยนเป็นตัวตนในขอบเขตจุติมงคล ทำเช่นนี้ยังเป็นไปไม่ได้เลย!”
“คนจากเมืองตงเสวียนผู้นั้น… หรือเขาจะเป็นเซียน?”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้! อำนาจกฎเกณฑ์ในเขตแดนสนามรบนี้ กระทั่งเซียนยังแทรกแซงมิได้ พวกเขาหรือจะปรากฏในสนามรบที่สองได้?”
ชายชราชุดดำงุนงง หัวมึนอื้อไปหมด
เขาไม่อาจเข้าใจ และไม่อาจยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้
อันที่จริง ไม่ใช่เพราะชายชราชุดดำส่งข่าวเร็วมิพอแต่อย่างใด แต่คืนนี้ซูอี้เร่งรีบกวาดชัยชนะ มิคิดเปลืองเวลาแม้แต่น้อย
ดังนั้นเขาจึงแซงหน้าชายชราชุดดำ ใช้วิธีเดิมทำลายศัตรูทั้งหมดในเมืองเป่ยเยวียนในคราเดียว
ยามนี้ ซูอี้และกลุ่มยอดฝีมือจากเมืองตงเสวียนได้มุ่งหน้าไปยังเมืองหนานหั่วแล้ว!