บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1492: กฎเกณฑ์
ตอนที่ 1492: กฎเกณฑ์
หลังจากเงียบไปครู่สั้น ๆ ชายวัยกลางคนชุดเหลืองพลันกล่าวขึ้นมาว่า “หรือสหายเต๋าเพิ่งจะมาถึงสนามรบแรกกัน?”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
ทุกผู้ทำหน้าถึงบางอ้อ และมองซูอี้ด้วยแววตาประหลาดใจ
ผู้เข่นฆ่าทะลวงจากสนามรบที่สองสู่สนามรบแรกได้นั้นล้วนแต่เป็นตัวตนสูงสุดไร้เทียมทานขอบเขตรวมวิถี!
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองอธิบายเหตุผลให้ฟัง
ปรากฏว่าในเดือนแรกหลังจากเปิดเขตแดนสมรภูมิ ผู้นำสามจักรดารา เป่ยเยวียน ซีหานและหนานหั่วหารือกันและตั้งกฎหนึ่งขึ้นมา
ในสนามรบแรก ตัวตนขอบเขตจุติมงคลจากจักรดาราต่าง ๆ จะต้องไม่ฆ่ากัน!
ผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎนี้จะกลายเป็นศัตรูร่วมของจักรดาราทั้งมวล และถูกไล่ล่าสังหาร
ทันทีที่กฎนี้ถูกตั้งขึ้น ตัวตนทั้งหมดในขอบเขตจุติมงคลก็เห็นพ้องทันที
เพราะถึงอย่างไร ไม่ว่าตัวตนขอบเขตจุติมงคลจะมาจากจักรดาราใด พวกเขาก็ล้วนมาเพื่อค้นหาวาสนา เพื่อบรรลุวิถีเซียนกันทั้งสิ้น
หากมัวแต่สู้กันเอง ความเสียหายที่ไม่จำเป็นก็ย่อมเกิดมากมาย
แน่นอนว่า นี่ไม่ได้หมายความว่ายอดฝีมือในหมู่จักรดาราทั้งหลายจะอยู่สุขได้
ในสนามรบแรก การแข่งขันยังคงดุเดือดและโหดร้าย
เพื่อรวบรวมเกียรติประวัติให้เพียงพอ ยอดฝีมือส่วนใหญ่จากสี่จักรดาราล้วนเลือกประลองเดียวกันที่ ‘สนามเต๋าแรกเยือน’
แม้จะเป็นเพียงการตัดสินแพ้ชนะ ไม่ได้ชี้เป็นชี้ตาย แต่ผู้ชนะจะสามารถได้รับเกียรติประวัติครึ่งหนึ่งของผู้แพ้!
หากสิ้นเกียรติประวัติ คนผู้นั้นก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ก้าวขึ้นสู่ ‘วิถีแรกเยือน’
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ในสนามรบแรกนี้ การฆ่ากันเป็นสิ่งต้องห้าม
และการประลองระหว่างสองจักรดาราจะเกิดขึ้น ณ ‘สนามเต๋าแรกเยือน’!
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็พยักหน้าน้อย ๆ “กฎนี้ดีจริง ๆ”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองกล่าวขึ้นอีกว่า “ในอดีต มีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งจากจักรดาราเป่ยเยวียนซุ่มลอบโจมตีกลุ่มยอดฝีมือจากจักรดาราหนานหั่วของข้า”
“หลังเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป อวี่เฉิน ผู้นำฝ่ายจักรดาราเป่ยเยวียนก็ลงมือฆ่าผู้ฝึกตนผิดกฎเหล่านั้นด้วยตนเอง มิเหลือผู้ใดรอด!”
“จากนั้นมา ในสนามรบแรกนี้ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือจากจักรดาราใดก็ล้วนไม่กล้าฝ่าฝืนกฎ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มก็อดกล่าวมิได้ว่า “จากที่เจ้าว่า กฎนี้ถูกสรุปขึ้นโดยผู้นำสามจักรดารา คือเป่ยเยวียน หนานหั่วและซีหาน แต่จักรดาราตงเสวียนเล่า… มิส่งผู้ใดไปประชุมเลยหรือ?”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวขึ้น สีหน้าของทุกผู้ก็ดูประหลาดเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนคนเดิมไอแห้ง ๆ และกล่าวว่า “จักรดาราตงเสวียนไร้หัวหน้า เมื่อไม่มีผู้ใดควบคุมพวกเขา ย่อมไม่มีผู้ใดขึ้นรับหัวโขนนี้”
“ทว่ายามกฎนี้ถูกตั้ง ยอดฝีมือจากฝั่งจักรดาราตงเสวียนล้วนสนับสนุนกฎนี้ ไร้ผู้ใดโต้แย้ง”
แม้วาจาจะสุภาพ แต่ซูอี้หรือจะไม่รู้ว่าไม่มีผู้ใดในจักรดาราตงเสวียนมีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมตั้งกฎ?
ชายร่างผอมสูงในชุดสีดำกล่าวขึ้นว่า “กระทั่งยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนยังต้องยอมรับว่ากฎนี้เป็นประโยชน์ต่อจักรดาราตงเสวียนที่สุด หากไม่มีกฎนี้ปกป้อง ข้าเกรงว่าพวกเขาคง…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็หุบปากฉับทันที แต่ความหมายของวาจาดังกล่าวถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน
นั่นคือ หากไม่ใช่เพราะกฎนี้ ยอดฝีมือฝั่งจักรดาราตงเสวียนคงเสียหายหนักที่สุด!
ซึ่งมิต่างกับการดูถูกกัน
ทว่าซูอี้มิได้อยู่ในจุดที่กล่าวโต้เถียงได้ เพราะว่า… นั่นคือสัจธรรม
ซูอี้ชี้ไปยังอสรพิษฟ้าอัคคีเขียว และกล่าวว่า “ยามแข่งกันแย่งโอกาส เราก็ต้องทำตามกฎนี้หรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองพยักหน้า “ถูกต้อง แม้จะเป็นการต่อสู้ชิงโอกาส จะฆ่าศัตรูก็ทำไม่ได้ หากมีข้อพิพาทที่มิอาจแก้ไขได้จริง ก็ต้องไปชี้วัดแพ้ชนะ ล้างความขุ่นข้องกันในสนามเต๋า”
สายตาของซูอี้กวาดมองชายวัยกลางคนคนนั้นกับคณะ แล้วกล่าวขึ้นอย่างงุนงงเล็กน้อย “แต่พวกเจ้าจะฉวยสัตว์ร้ายนี่ไปก่อนเลยก็ได้ ไฉนจึงเลือกยอมความเล่า?”
กฎก็คือกฎ แต่เขาไม่เชื่อว่ายอดฝีมือจากจักรดาราหนานหั่วเหล่านี้จะยอมบอกหมดเปลือกแต่โดยดี
ชายวัยกลางคนคนนั้นดูไม่สบายใจเล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็ยิ้มแห้ง ๆ พลางกล่าวขึ้นอย่างสุขุม “ตอบสหายเต๋าตามตรง ข้าแน่ใจว่าหากสัตว์ร้ายนี้ต่อสู้กลับอย่างจนตรอก เกรงว่าฝั่งเราคงต้องเสียหายกันนิดหน่อย”
“แต่โชคดีที่สหายเต๋าช่วยเราไว้ได้มาก”
“อีกอย่าง…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้ากังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายวัยกลางคน ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วแดน และกล่าวว่า “ที่แห่งนี้มีนามว่า ‘หนองน้ำอสูรโลหิต’ เป็นสถานที่ร้ายกาจอันลือนามในสนามรบแรก มีสัตว์ร้ายอันทรงพลังมากมายเกินคณานับ”
“ด้วยเหตุนี้ หากมีพิพาทกับสหายเต๋าเพราะสัตว์ร้ายตัวเดียว ก็ไม่คุ้มค่ากันจริง ๆ”
ถึงจุดนี้ ซูอี้ก็เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง
ยามก่อนที่คนเหล่านี้ตระหนักว่าการยุ่งกับเขามิใช่เรื่องง่าย พวกเขาก็จะเลือกรอมชอม ทำให้เขาประหลาดใจเอาการ
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มก็ตระหนักแล้วว่าตัวตนจากจักรดาราหนานหั่วเหล่านี้หาได้กลัวเขาไม่ แต่มีกังวลเรื่องอื่นต่างหาก!
“สัตว์ร้ายตัวนี้เป็นของพวกเจ้า”
ซูอี้ว่า
ทันทีที่กล่าวขึ้น สีหน้าของพวกชายวัยกลางคนชุดเหลืองก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด และสายตาที่มองมายังซูอี้ก็เป็นมิตรขึ้นมาก
ชายหนุ่มจากจักรดาราตงเสวียนผู้นี้เป็นคนฉลาดโดยแท้!
ทันใดนั้น ใครบางคนก็ออกมาตัดแบ่งร่างของอสรพิษฟ้าอัคคีเขียว
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองครุ่นคิดเล็กน้อย และกล่าวว่า “สหายเต๋า หนองน้ำอสูรโลหิตแห่งนี้อันตรายยิ่ง เจ้าตัวคนเดียว ยามกลับจะไปกับเราก็ได้นะ จะได้ช่วย ๆ กันไปตลอดทาง”
แม้วาจาจะสุภาพ แต่มีหรือซูอี้จะไม่รู้ว่า เพราะเขายอมยกอสรพิษฟ้าอัคคีเขียวให้ พวกเขาจึงคิดอยากช่วยปกป้องตน?
ส่วนที่ว่าช่วย ๆ กันอันใดนั่น แค่พูดบังหน้าไปอย่างนั้นเอง
ซูอี้กล่าวขึ้นพร้อมกับแย้มยิ้มบาง “ข้าขอรับไว้เพียงน้ำใจแล้วกัน”
ปฏิเสธอย่างนั้นหรือ?
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอึ้ง ๆ “สหายเต๋า… แน่ใจหรือว่าอยากเดินทางลำพังในหนองน้ำอสูรโลหิต?”
ต้องทราบว่ากระทั่งตัวตนขอบเขตจุติสรวงทั้งหลายยังต้องรวมกลุ่มกันหากจะบุกเข้าสู่หนองน้ำอสูรโลหิตนี้
และมิกล้าประมาทแม้แต่น้อย!
ชายร่างผอมในชุดดำก็เอ่ยวาจาขึ้นว่า “สหายเต๋า เจ้าไปกับเราจะดีกว่านะ หนองน้ำอสูรโลหิตนี้อันตรายกว่าที่เจ้าคิดเยอะ”
อีกผู้หนึ่งเสสรวลล้อเลียน “หรือสหายเต๋าจะกังวลว่าเราจะมีเจตนาร้าย?”
“ฮ่า ๆ วางใจได้เลย ยอดฝีมือจากจักรดาราหนานหั่วของเรา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็มิกล้าฝ่าฝืนกฎที่ใต้เท้าเริ่นฉางชิงตั้งขึ้นหรอก!”
เมื่อนามของ ‘เริ่นฉางชิง’ ถูกกล่าวขึ้น ชายหนุ่มก็พบว่าทุกผู้ล้วนมีสีหน้าเคารพต่ออีกฝ่ายยิ่ง
มิต้องสงสัยเลยว่าเริ่นฉางชิงผู้นี้คือผู้นำจักรดาราหนานหั่ว!
สิ่งใดคือผู้นำ?
หนึ่งบุคคลปกครองทั่วแดนดิน!
“ก็ได้”
ซูอี้ครุ่นคิดแล้วตอบรับ
เขายังไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในสนามรบแรกเลย ดังนั้นจะหาข้อมูลจากผู้ฝึกตนของจักรดาราหนานหั่วเหล่านี้ก่อนก็ได้
ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและคณะก็เก็บกวาดซากอสรพิษฟ้าอัคคีเขียวเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะจากไปพร้อมกับซูอี้ทันที
ซูอี้ดูเยือกเย็นที่สุด ขณะถือไหสุราเดินทอดน่องตามหลัง
ท่าทางของเขาทำให้ผู้คนงุนงงอย่างยิ่ง
คนผู้นี้คิดว่าทุกสิ่งไร้กังวลเพียงเพราะมีพวกเขาคุ้มครองอยู่หรือไร?
ชายร่างผอมสูงในชุดดำอดกล่าวเตือนขึ้นมาไม่ได้ “สหายเต๋า ระวังตัวไว้ดีกว่านะ สัตว์ร้ายเก่งฉกาจบางตนโจมตีเฉียบพลันได้ทุกเมื่อ ถึงยามนั้น ต่อให้มีเราคุ้มกัน แต่เหตุฉุกละหุกปานนั้น คงมิอาจคุ้มกันเจ้าได้”
ซูอี้พยักหน้าโดยมิได้กล่าววาจาใด
ทว่าไร้สิ่งใดเปลี่ยนแปร เขายังคงดูเอ้อระเหยเช่นกาลก่อน ดูไม่เหมือนเดินทางในเขตแดนต้องห้าม แต่เหมือนเดินเล่นในสวนหลังบ้านมากกว่า
สิ่งนี้ทำให้ทุกผู้หมดคำพูดไปชั่วขณะ
แต่ละผู้ล้วนระแวดระวังมิต่างกัน ทั้งยังถือสมบัติวิเศษเอาไว้ เพื่อป้องกันมิให้ได้รับบาดเจ็บด้วยเหตุมิคาดฝัน
ทว่าซูอี้กลับมีท่าทางผ่อนคลายสบายใจเยี่ยงออกชมนกชมไม้
ใครเล่าจะมิรู้สึกงุนงง?
“พี่ชายร่วมวิถีหลิง คนผู้นี้ไม่ถือตนเป็นคนนอกเลยจริง ๆ”
บางผู้ส่งกระแสปราณออกมาอย่างมิพอใจ “หากรู้เช่นนี้ มิน่าพาเขามาด้วยเลย”
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะช่วยอันใดเราได้หรอก ขอแค่มิเพิ่มภาระก็พอแล้ว”
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองดูใจกว้างยิ่ง แล้วกล่าวปลุกใจทุกคนผ่านกระแสเสียงปราณ “อย่าระแวงมากนักเลย เพราะถึงอย่างไร ยามเราฆ่าอสรพิษฟ้าอัคคีเขียวเมื่อครู่ สหายเต๋าผู้นั้นก็ช่วยเรานะ”
ทุกผู้พยักหน้า
ระหว่างทาง ซูอี้เอ่ยถามขึ้นเบา ๆ “บอกสถานการณ์ในสนามรบแรกนี้ให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
“สหายเต๋า หนทางนั้นเปี่ยมอันตรายทุกชั่วกาล มิใช่เวลามาคุยเล่นได้นะ”
ชายร่างผอมสูงในชุดดำกล่าวเสียงเย็น “สิ่งที่เจ้าควรทำคือดูแลตนเอง อย่าก่อภาระใด”
ซูอี้แค่นเสียง มิได้กล่าวอันใดอีก
เขาสังเกตมาตลอดทางได้ว่ามีบางผู้ดูจะมิสบายใจกับเขาเล็กน้อย…
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ระหว่างทางไร้อุบัติเหตุ
“ไม่ถึงสองเค่อ เราก็จะออกจากหนองน้ำอสูรโลหิตนี่ได้แล้ว!”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพรรคพวกเบื้องหน้าดูโล่งใจขึ้น ขณะกล่าวว่า “แม้ทุกคนในครานี้จะทุลักทุเล แต่ก็ยังได้ผลงานมากมาย เมื่อกลับไปเราต้องดื่มฉลองกันหน่อย”
ทุกผู้เองก็อารมณ์ดี ดูผ่อนคลายขึ้นมาก
ชายร่างผอมสูงในชุดดำกล่าวยิ้ม ๆ “ตรงนี้เป็นบริเวณริมหนองน้ำอสูรโลหิตแล้ว ต่อให้มีสัตว์ร้ายปรากฏกายขึ้น ก็มิใช่ตัวตนร้ายกาจไปได้หรอก”
ทันทีที่เขากล่าวขึ้นเช่นนี้ หนองน้ำที่อยู่ไกล ๆ พลันเดือดพล่านจนวารีสาดกระเซ็นขึ้นสู่นภา
วิหคยักษ์สีเลือดตัวหนึ่งพุ่งออกมา!
ตู้ม!
อำนาจดุร้ายอันน่าสะพรึงขยายออกไปทั่วแดน
“วิหคผีปีกโลหิต!”
บางผู้ร้องเสียงหลง
สีหน้าของพวกชายวัยกลางคนชุดเหลืองเองก็เผยความกลัวสุดขีดออกมา
นี่คือหนึ่งในปีศาจนกอันแกร่งกล้าไม่กี่ชนิดในหนองน้ำอสูรโลหิต!
ชายร่างผอมสูงในชุดดำสีหน้าบิดเบี้ยวกว่าผู้ใด
เขาเพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่าที่นี่จะไม่มีสัตว์ร้ายที่มีความสามารถโหดหิน แต่ทันทีที่สิ้นคำ วิหคผีปีกโลหิตก็โผล่มา!
แต่นั่นยังไม่ใช่จุดจบ
ป่าไม้ที่อยู่ไกลออกไปในหนองน้ำพลันลุกไหม้เป็นเถ้าถ่าน หนองน้ำระเหยไปในพริบตา
จากนั้นพยัคฆ์อาบเพลิงทิพย์ดำทมิฬตัวหนึ่งก็เดินออกมาอย่างเงียบเชียบ
“ฉยงฉี!?”
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองกล่าวพลางตัวสั่นอย่างมิอาจสะกดกลั้น ใบหน้าถอดสี เหงื่อกาฬผุดขึ้นที่หน้าผาก
ทุกผู้เองก็ล้วนดูหวาดผวา
นี่มันอะไรกัน เหตุใดสัตว์ร้ายไร้เทียมทานอย่างฉยงฉีซึ่งใกล้จะสูญพันธุ์อยู่แล้วจึงปรากฏกายขึ้นกัน?
มีเพียงซูอี้ที่ยังคงยืนนิ่ง ถือไหสุราดูเอ้อระเหยเช่นกาลก่อน
………………..