บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1493: มีเงื่อนงำอื่นอยู่
ตอนที่ 1493: มีเงื่อนงำอื่นอยู่
วิหคผีปีกโลหิตทะยานขึ้นสู่เวหา ปีกสีเลือดยาวร้อยจั้งกระพือส่งประกายแสงสีเลือดคมกริบเยี่ยงใบมีดสะบั้นแดนดินจนเกิดรอยแยกเป็นทางยาว
ดวงตาของมันเป็นเช่นตะเกียง เรืองรองดุร้าย ร่างขวางทางตรงหน้าเยี่ยงม่านสวรรค์ ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ขณะที่ฉยงฉีซึ่งดูราวกับพยัคฆ์ใหญ่อาบเพลิงนิลกาฬกลับมีปราณอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า
มันเดินไร้เสียง อำนาจปรกนภา
สัตว์ร้ายไร้เทียมทานสองตัวนี้ยังเป็นผู้ล่าสูงสุดในหมู่สัตว์ร้าย ณ สนามรบแรกนี้ด้วย!
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองและคณะล้วนพรั่นพรึง ทั้งขาและท้องปั่นป่วน
อสรพิษฟ้าอัคคีเขียวที่พวกเขาเคยออกล่า ทำให้ได้รับบาดเจ็บ และสิ้นเปลืองอำนาจมหาวิถีไปมาก
ยามนี้ เมื่อเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว หัวใจของทุกผู้จึงดิ่งลงเหว!
จะสู้ได้อย่างไรกัน?
วิหคผีปีกโลหิตตัวเดียวก็ฆ่าตัวตนขอบเขตจุติมงคลทั้งหลายได้อย่างง่ายดายแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีฉยงฉีซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าประกบหลังอยู่!
“จากนี้ ข้าจะเปิดทางให้พวกเจ้า หากถึงเวลานั้น ให้พาสหายเต๋าจากจักรดาราตงเสวียนผู้นั้นหนีไปด้วยกันเสีย!”
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
อารมณ์ของทุกผู้พลันหนักอึ้งขึ้น ใครเล่าจะคาดคิดว่าขณะกำลังจะพ้นหนองน้ำอสูรแห่งนี้ พวกเขาจะมาเจอกับหายนะเช่นนี้อีก?
“พี่ชายร่วมวิถีหลิง ทุกคนสาบานแล้วว่าจะเป็นตายร่วมกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน! เจ้ามิกลัวตายแล้วเราหรือต้องกลัว? เราก็จะสู้!”
ชายร่างผอมสูงในชุดสีดำกัดฟันกล่าว
คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน
ไกลออกไป วิหคผีปีกโลหิตและฉยงฉีกำลังประชิดเข้ามาทีละน้อย
“สัตว์ร้ายสองตัวนี้ ให้ข้าจัดการเถอะ พวกเจ้าดูเฉย ๆ ก็พอ”
ทันใดนั้น เสียงเฉยเมยก็ดังขึ้น
เจ้าของเสียงคือซูอี้นั่นเอง
ทุกผู้ล้วนตกตะลึง แทบมิอาจเชื่อหูตนเอง
“ตาไม่ถึงอย่าก่อเรื่อง!”
ชายร่างผอมสูงในชุดดำกล่าวตำหนิ ใบหน้าของเขาดำคล้ำ ยามใดกันที่คนจากจักรดาราตงเสวียนกล้ากล่าววาจาสามหาวเพียงนี้!
“สหายเต๋า เจ้า…”
ขณะที่ชายวัยกลางคนชุดเหลืองกำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง
ตู้ม!
แดนดินที่อยู่ไกลออกไปพลันพังทลาย
วิหคผีปีกโลหิตบินทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ฆ่า!”
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองดวงตาแดงฉาน เขาและสหายชิงลงมือก่อน
ทว่าพริบตานั้นเอง การโจมตีของพวกเขาก็สลายไป
รุ้งทิพย์สีเลือดสายนั้นถาโถมเข้ามา มันคมกริบเยี่ยงมีดและอำนาจร้ายกาจยิ่ง และไม่ใช่สิ่งที่ผู้ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้จะสามารถสู้ได้เลย
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและพรรคพวกก็หน้าซีดขาว วิญญาณละล่องลอย
จบเห่แน่!
แม้พวกเขาจะคาดไว้แล้วว่าวิหคผีปีกโลหิตร้ายกาจยิ่ง แต่ยามเผชิญหน้าจริง ๆ พวกเขาก็ได้ตระหนักว่ายังห่างชั้นกันเพียงใด
อย่าว่าแต่เปิดทางรอดเลย ขนาดจะตอบโต้ยังไร้ทางสู้ด้วยซ้ำ!
เมื่อเห็นรุ้งทิพย์สีเลือดทะยานผ่านนภาเข้ามา ทันใดนั้นเอง มือเรียวขาวข้างหนึ่งก็ประทับลงบนอากาศ
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังระรัว และรุ้งทิพย์สีเลือดก็กลับกลายเป็นพิรุณแสงพร่างพรม
ทุกผู้ล้วนตะลึง
สายตาทุกคู่เบนไปมองเจ้าของหัตถ์ใหญ่ข้างนั้นอย่างมิรู้ตัว จากนั้นพวกเขาก็ล้วนดูไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
ชายหนุ่มในขอบเขตรวมวิถีซึ่งเพิ่งมาจากสนามรบที่สองผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงนี้เลยหรือ!?
“ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าแค่มองก็พอ”
ซูอี้กล่าวขณะก้าวออกไป จากนั้นมือของเขาก็วาดไปบนอากาศ
ตู้ม!
ในแดนดินที่อยู่ไกลออกไป วิหคผีปีกโลหิตถูกคว้าคอไว้มั่น มันตีปีกอย่างดิ้นรนระคนบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกัน หนึ่งแสงทมิฬก็แหวกอากาศมา
มันคือฉยงฉี! ความเร็วของมันมิต่างอันใดกับลำแสงสีทมิฬ เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างใหญ่โตที่ปกคลุมด้วยเพลิงทิพย์ทมิฬก็ทะยานเข้าหาซูอี้
ซูอี้ดีดนิ้ว
เปรี้ยง!
ประหนึ่งถูกบรรพตศักดิ์สิทธิ์ถล่มทับ ร่างของฉยงฉีกระเด็นหัวทิ่มลงพื้นอย่างรุนแรงไกลออกไปสิบกว่าจั้ง ร่างของมันแผ่แน่นิ่ง ดูเหมือนจะถูกฟาดจนหมดสติมิอาจยืนตั้งหลักได้
“มานี่”
ซูอี้ใช้มือขวาคว้าวิหคผีปีกโลหิตในอากาศแล้วลากเข้าหาตัว
ตู้ม!
ร่างของวิหคผีปีกโลหิตถูกลากมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ราวกับมิอจควบคุมได้
และภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อของคนทั้งหลาย วิหคผีปีกโลหิตซึ่งยาวร้อยจั้งก็พลันหดตัวลงไม่รู้กี่เท่า
จนกระทั่งมันก็กลายเป็นวิหคน้อยที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ถูกกำไว้ในมือซูอี้
“นี่…”
ทุกผู้ตกตะลึงไปครู่
“โฮก!
ไกลออกไป ฉยงฉีดูตื่นกลัว ขณะส่งเสียงคำรามอย่างหวาดผวา และรีบหลบลี้ลนลานหนีไปไกล
“จะหนีไปไหนกัน การพบกับข้านั้นเป็นวาสนายิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้าแล้ว”
ซูอี้แย้มยิ้ม ขณะคว้ามือไปบนอากาศ
ตู้ม!
ร่างมโหฬารของฉยงฉีก็ถูกมือของซูอี้ลากเข้ามาใกล้
สัตว์ร้ายไร้เทียมทานตัวนี้เองก็กลายเป็นลูกแมวที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ถูกซูอี้คว้าขนนุ่ม ๆ ที่ต้นคอเอาไว้ สี่ขาห่อคู้ตัวสั่นระริก ดวงตาสีฟ้าครามเปี่ยมความหวาดผวา สิ้นกำลัง อ่อนแรงน่าสงสาร
ทุกผู้ล้วนตะลึงนิ่ง ราวกับภาพตรงหน้าคือความฝัน
สัตว์ร้ายไร้เทียมทานทั้งสองตัวนั้นทรงพลังเสียจนพวกเขาครั่นคร้ามแทบสิ้นหวัง
ใครเล่าจะคิดว่าเพียงชั่วพริบตา พวกมันจะพ่ายแพ้จนสิ้นท่าเช่นนี้!
และผู้ลงมือยังเป็นชายหนุ่มจากจักรดาราตงเสวียนซึ่งพวกเขาอารักขาก่อนหน้านี้ด้วย…
ผิดปกติยิ่งนัก!
“น่าเสียดายที่มันเป็นแค่ผู้สืบสายเลือดแขนงหนึ่งของฉยงฉี ซึ่งยังเกินจะเทียบกับฉยงฉีที่มีสายเลือดบริสุทธิ์อยู่บ้าง”
ซูอี้มองฉยงฉีชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวอย่างเสียดาย
หรือคนผู้นี้จะเคยพบฉยงฉีตัวจริงมาก่อน?
หัวใจของทุกผู้ยิ่งเกินควบคุมเป็นเท่าทวี สายตาที่มองไปยังซูอี้ต่างแปรเปลี่ยน ทั้งตกตะลึงและหวาดกลัวสุดหยั่ง
ก่อนหน้านี้ เขาก็แค่ตัวตนเล็กจ้อยในขอบเขตรวมวิถีผู้ผ่านทางมา
ใครเล่าจะคิดว่านี่คือนักล่าเร้นกาย!
“หือ?”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ดูจะสังเกตเห็นบางอย่าง เขานำวิหคผีปีกโลหิตเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะยกปลายนิ้วมือขวาขึ้นแตะบนหว่างคิ้วของฉยงฉี
มันส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างรวดร้าว
บนหว่างคิ้วของมันปรากฏลวดลายมนตราลับสีเลือดออกมาลายหนึ่ง
“วิชาดึงวิญญาณ ว่าแล้วเชียว การปรากฏของสัตว์ร้ายทั้งสองตัวนี้หาเป็นเรื่องบังเอิญไม่”
ดวงตาของซูอี้เรืองประกายเย็นเยียบ
ทุกผู้ล้วนตะลึง หากนี่มิใช่เรื่องบังเอิญ ก็หมายความว่ามีผู้วางแผนอยู่เบื้องหลังเพื่อหาเรื่องพวกเขาอย่างนั้นหรือ!
“พวกเจ้ารอที่นี่นะ”
กล่าวจบ ร่างของซูอี้ก็วูบไหวไปมา ก่อนจะหายไปในทันที
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและสหายมองหน้ากันด้วยสีหน้าตกตะลึง
“หากมีผู้ลอบบงการเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ ก็ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
บางผู้กล่างขึ้นอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เฮ้อ ครานี้เราเสียหน้าไม่น้อย ตลอดทางมานี้ เราหรือจะปกป้องสหายเต๋าผู้นั้น เห็นกันชัด ๆ ว่าเป็นเขาต่างหากที่ปกป้องเรา”
ชายร่างผอมสูงในชุดดำรำพึงขึ้นว่า “เรื่องน่าขันคือเราหารู้ไม่ คิดแค่ว่าเขาเป็นตัวถ่วงก่อเรื่อง… น่าละอาย น่าละอายยิ่งนัก!”
ทุกผู้ล้วนละอายในใจ สีหน้าดูอึดอัดมาก
“ละอาย? ไม่เลย เราควรปลาบปลื้มสิ!”
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ครานี้ หากไม่ใช่เพราะสหายเต๋าจากจักรดาราตงเสวียนผู้นั้นช่วยไว้ เกรงว่าเราทั้งหลายคงถูกฝังอยู่ที่นี่เป็นแน่!”
ทุกผู้พยักหน้า
เมื่อนึกถึงฝีมือที่ซูอี้เผยออกมาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็มิอาจซ่อนความตะลึงไว้ในใจได้
ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่านี่จะเป็นความแข็งแกร่งที่หนึ่งบุคคลในขอบเขตรวมวิถีจะมีได้
……
ขณะเดียวกัน ภายในหนองน้ำอสูรโลหิต
ณ รากพฤกษายักษ์ไร้ใบต้นหนึ่ง ร่างผอมแห้งในชุดคลุมนักพรตสีเลือดกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
ตรงหน้าเขา มีคันฉ่องทองแดงสีดำที่ฉายประกายประหลาดลอยคว้างอยู่
“ศิษย์น้อง เจ้ากลับไปก่อน หลังข้ารวบรวมเกียรติภูมิในหนองน้ำอสูรโลหิตนี้จนเพียงพอ ข้าจะกลับไป”
ชายในชุดคลุมนักพรตสีเลือดกล่าวเบา ๆ
“ศิษย์พี่ เมื่อถึงยามนั้น ท่านต้องแบ่งข้าด้วยนะ”
บนโขดหินที่อยู่มิไกลนัก ชายชราร่างผอมสูงในชุดเขียวกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบาง
ชายในชุดสีเลือดกล่าว “อย่าห่วงเลย ข้ารับปากจะมอบโอกาสให้เจ้าก้าวสู่วิถีแรกเยือน รีบไปเถิด”
ชายชราชุดเขียวพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป
ทว่าไม่ทันไรก็เกิดเสียงดังเปรี้ยงเหมือนบางสิ่งระเบิด
ชายชราชุดเขียวหันมองจากระยะไกล และพบว่าคันฉ่องทองแดงสีดำซึ่งลอยอยู่ตรงหน้าผู้เป็นศิษย์พี่ระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ
สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน
นี่คือ ‘คันฉ่องครองวิญญาณ’ เป็นสมบัติชั้นเลิศที่สามารถแทรกซึมจิตวิญญาณของสัตว์ร้าย และสยบมันได้อย่างเงียบเชียบ!
ทว่าสมบัติชิ้นนี้กลับระเบิดออก!
“บัดซบ มีผู้ทำลายอำนาจมนตราลับที่ข้าทิ้งไว้บนร่างฉยงฉี!”
สีหน้าของชายในชุดสีเลือดตึงเครียดจนบิดเบี้ยว
เขาลุกขึ้นกล่าวกับผู้เป็นศิษย์น้องจากระยะไกล “ศิษย์น้องรีบกลับไปเร็ว ข้าจะไปดูว่าสารเลวผู้ใดทำลายสมบัติข้า!”
“ได้ขอรับ!”
จากนั้นชายชราในชุดสีเขียวก็จากไป
ชายในชุดสีเลือดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนำดาบยาวสีเงินออกมาจากแขนเสื้อ แล้วทะยานออกไปไกล
ทว่ามิทันไร เขาพลันชะงักกึกและพบกับชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งกำลังเดินมาทางนี้
คิ้วของเขาขมวดหากัน ตระหนักแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนจะหันหลังจากไป
“หยุดก่อน”
เสียงนั้นดังขึ้นอย่างเฉยเมย
ชายในชุดสีเลือดเพิ่มความเร็วในการหลบหนี ร่างของเขาทะยานผ่านเวหา กวาดสู่ภายในหนองน้ำเสียงลำแสง
เขาคิดจะล้างแค้น ตามหาผู้ทำลายสมบัติตน
ทว่ายามนี้ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มาหาเอง เขาพลันตระหนักว่าหนนี้ตนคงเจอตัวตนร้ายกาจเข้าแล้ว!
“หือ?”
ทันใดนั้น สีหน้าของชายชุดสีเลือดก็แปรเปลี่ยน เมื่อเขาเห็นว่าบนหนทางตรงหน้ามีร่างของชายหนุ่มชุดสีเขียวขวางไว้แต่ยามใดมิอาจคาดหยั่ง
“ท่านทำเช่นนี้ หมายความเช่นไร?”
ชายในชุดสีเลือดขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นงุนงง
ซูอี้แย้มยิ้มขณะสาวเท้าเข้าหา “ข้าให้โอกาสเจ้า หากยอมจำนน ข้าจะไว้ชีวิตให้”
“โอหัง!”
ชายในชุดสีเลือดกล่าวเสียงแข็งขณะถอยกรูดไปข้างหลัง “ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งจากฝ่ายใด หากกล้าเข่นฆ่ากันก็จะถูกถือเป็นศัตรูร่วม เจ้ายังคิดจะฝ่าฝืนกฎอยู่หรือ?”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเฉยชา “ยามกฎถูกบัญญัติ พวกเขามิได้ถามความเห็นข้า หากข้าต้องการ ข้าก็จะทำตาม แต่หาไม่ ใครจะทำอันใดข้าได้?”
วาจายังมิทันสิ้นเสียง เขาก็ตบลงไปบนอากาศ
เปรี้ยง!!!
ชายในอาภรณ์สีเลือดถูกตบจนกระเด็น ร่างปรากฏบาดแผลมากมาย โลหิตพร่างพรมทุกแห่งหนทันที
สีหน้าของเขาเปี่ยมความตระหนก มีตัวตนร้ายกาจถึงเพียงนี้อยู่ในจักรดาราตงเสวียนตั้งแต่เมื่อใดกัน?
“หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าก็ฝืนกฎ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องตายแน่!”
ชายในอาภรณ์สีเลือดเค้นเสียงกล่าว ก่อนจะหันหลังเผ่นหนี โดยมิลังเลแม้แต่น้อย
ทว่าไม่ทันไร หนึ่งปราณดาบก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ฆ่าเขาลงทันที!
“งั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่ากฎนี้จะหยุดคมดาบของข้าได้หรือไม่”
ซูอี้กระซิบกับตนเองและจากไปโดยไม่ได้ชายตามองชายในอาภรณ์สีเลือดอีก
………………..