บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1536: พบข้าประหนึ่งพบสวรรค์
ตอนที่ 1536: พบข้าประหนึ่งพบสวรรค์
ในโลกหล้าทุกวันนี้ น้อยคนนักจะเคยได้ยินเกี่ยวกับหอน้อยสมปรารถนา
เหมือนเช่นในนครเซียนเทียนติ่งนี้ ชื่อเสียงของหอน้อยสมปรารถนานั้นด้อยกว่าหอวาณิชเยี่ยงหอบุหลันฟ้ายิ่งนัก กล่าวได้ว่าไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรเลย
ทว่ามีเพียงผู้อาวุโสและผู้ทรงอำนาจซึ่งรอดจากยุคอวสานเซียนเท่านั้นจะรู้ว่าภูมิหลังของหอน้อยสมปรารถนานั้นเก่าแก่เพียงไร!
“สี่ฤดูอยู่ยง หรูอี้น้อยวิถีเซียน!”
ประโยคนี้ถูกใช้เมื่อนานมาแล้วในโลกเซียน สื่อถึงหอวาณิชลึกลับแห่งหนึ่งอันเป็นขุมกำลังสูงส่ง ที่เพียงพอให้เหล่ายักษ์ใหญ่ในวิถีเซียนเหล่านั้นต้องชื่นชม
ยามนั้น มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ในวิถีเซียนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะเข้าสู่ประตูหอน้อยสมปรารถนาในฐานะแขกได้!
และในหอน้อยสมปรารถนา มีกฎโบราณข้อหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมาอยู่
กฎข้อนี้เกี่ยวข้องกับเซียมซีสมปรารถนา น้อยคนนักจะได้รู้
กระทั่งในหอน้อยสมปรารถนายังมีน้อยคนรู้กฎนี้
กฎข้อนั้นง่ายมาก… ผู้ใดก็ตามที่มาเพื่อเสี่ยงเซียมซี จะต้องถูกปฏิบัติด้วยเยี่ยงแขกชั้นหนึ่ง!
ผู้ใดก็ตามที่มาไขปริศนา หากสามารถหยิบก้านเซียมซีหยกหนึ่งก้านจากกระถางเซียมซีสมปรารถนาได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยขอสิ่งใด หอน้อยสมปรารถนาจะต้องเติมเต็มความต้องการนั้นอย่างเต็มกำลัง!
นี่คือสาเหตุที่ยามเข้ามาในหอน้อยสมปรารถนา เขาจึงกล่าวว่าจะมาไขปริศนา มิได้มาเสี่ยงเซียมซี
และยามนี้ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไขปริศนากลลวดลายวิถีบนกระดองเต่าสีดำ และหยิบก้านเซียมซีออกมาหนึ่งก้านได้สำเร็จ สตรีในชุดชาววังพลันตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด อดสั่นสะท้านทั้งกายใจมิได้!
บนใบหน้าหยกสง่างามนั้นตกตะลึงด้วยความตื่นเต้น
เพราะนับแต่ยุคอวสานเซียน หอน้อยสมปรารถนาที่ประจำอยู่ในนครเซียนเทียนติ่งนี้ไม่เคยมีคนมา ‘เสี่ยงเซียมซี’ สักคน
ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าหนนี้เป็นผู้มา ‘ไขปริศนา’ ด้วย!
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จริงแท้!
ทว่าทันใดนั้น สตรีในชุดชาววังก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เซียมซีหยกก้านนั้น… มันพุ่งออกมาเอง!
เรื่องนี้เหนือความเข้าใจของนางโดยสิ้นเชิง แม้จะรับใช้หอน้อยสมปรารถนามาเนิ่นนาน แต่ก็เป็นครั้งแรกที่นางได้ประสบเหตุประหลาดเช่นนี้อยู่ดี
“ว่าแล้วเชียว ยังเหมือนกาลก่อนอยู่…”
ซูอี้กระซิบ
เซียมซีหยกซึ่งพุ่งมาในมือของเขาถูกสลักด้วยอำนาจผนึกพิเศษเฉพาะ และเมื่อสัมผัสได้ว่าผนึกกฎเกณฑ์นี้เคยถูกเขาแก้ได้มาก่อน มันก็จะสั่นพ้องและมาหาเขาเอง!
สตรีในชุดชาววังอดถามมิได้ “คุณชาย ข้าน้อยขอถามได้หรือไม่ว่าก้านเซียมซีในมือท่านเขียนข้อความใดไว้เจ้าคะ?”
ซูอี้ส่งก้านเซียมซีให้ “เจ้าอ่านเองแล้ว”
สตรีในชุดชาววังรับก้านหยกมา เห็นลวดลายลับวิถีเซียนราวธรรมชาติสรรค์สร้างปรากฏขึ้นบนก้านหยกเป็นห้าอักษร
‘พบข้าประหนึ่งพบสวรรค์!’
สตรีในชุดชาววังอ้าปากค้าง คู่เนตรงามเบิกกว้าง “อ่า นี่… เจ้า… ไม่สิ… หรือว่า…”
นางดูตะลึงจนพูดจาไม่เป็นคำ ขยับปากพะงาบไร้วาจา
ซูอี้อดกล่าวอย่างขบขันมิได้ “ในฐานะเจ้าของหอน้อยสมปรารถนา เจ้าไม่รู้กฎบัญญัติของเซียมซีนี้หรือไร?”
ใบหน้างดงามของสตรีในชุดชาววังร้อนผ่าวขึ้นมา นางก้มหน้างุดอย่างละอาย “ขอคุณชายโปรดอย่าถือสา หากเป็นไปได้ ขอให้ข้าน้อยรายงานเรื่องนี้แก่ท่านอาจารย์ก่อนเถิด”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “รีบไปเถอะ”
สตรีในชุดชาววังจากไปอย่างรีบร้อน
ข้างใต้พิภพ เบื้องใต้หอคอยสมบัติเก้าชั้นหอน้อยสมปรารถนามีแดนพำนักหนึ่งอยู่ในโลกเร้นลับ มันไม่ได้กว้างขวาง และมีอาณาเขตเพียงพันจั้งเท่านั้น
ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยปราณเซียน ปลูกสนเขียวต้นไผ่ชอุ่มงาม และมีสระบัวเล็ก ๆ งอกเงย
มันดูราวกับแดนล้ำค่าแห่งเซียน
ยามนี้ ในศาลาแห่งหนึ่งมีสี่บุคคลในอิริยาบถต่าง ๆ
ผู้สะดุดตาที่สุดคือสตรีนางหนึ่งซึ่งกำลังทอดกายสบายใจอยู่บนฟูกนุ่ม
รูปลักษณ์ของนางเลอโฉมชวนตะลึง บนศีรษะสวมเครื่องประดับหยก ผิวขาวเหมือนครีม แต่งกายล่อตาล่อใจเป็นที่ยิ่ง อกพันด้วยผ้าขาว เผยเอวคอดน่าคว้าจับ ขาคู่นั้นเรียวยาว เท้าหยกขาวสวมกำไลหยกสองวง
เจิดจรัสงดงามราวนางเซียนผู้งามสง่า
โดยเฉพาะดวงตาทรงเสน่ห์เปี่ยมจิตวิญญาณคู่นั้น ทุกกิริยาล้วนงดงามเปี่ยมเสน่ห์สะกดใจ กล่าวได้ว่าเป็นหญิงงามล่มเมืองผู้ไร้เทียมทาน
“เมื่อไม่นานนี้ เหตุการณ์ใหญ่บางเรื่องเกิดขึ้นในแดนบรรลุสรวงบนขุนเขากวางขาว แม้ข่าวจะถูกลัทธิไร้มลทินและขุมกำลังเซียนอื่น ๆ ปิดไว้ มันก็ยังซ่อนจากหูตาของเราหอน้อยสมปรารถนามิได้อยู่ดี”
ชายผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายเยี่ยงบัณฑิตกล่าว “ในหมู่มนุษย์ผู้จุติสรวงสู่โลกเซียนกลุ่มนี้ มีหนึ่งบุคคลซึ่งพิเศษยิ่ง คาดว่าเขาจะมีความลับยิ่งใหญ่ ถูกฉีเนี่ยผู้เป็นเจ้าลัทธิไร้มลทินหมายหัวก่อนจะมายังโลกเซียนเสียอีก”
“รู้หรือไม่ว่าผู้จุติสรวงผู้นั้นคือใคร?”
ชายวัยกลางคนชุดดำผู้หนึ่งซึ่งมีหนวดเคราเต็มกรามเยี่ยงแผงคอกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก
“มิกระจ่าง”
บัณฑิตส่ายหน้า
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่งกล่าวเสียงแหบพร่า “ไม่นานหลังจากเกิดมรสุมขึ้นที่แดนบรรลุสรวงขุนเขากวางขาว ข่าวหนึ่งก็แพร่กระจายออกมาติด ๆ กันว่า มีเซียนแท้ขอบเขตสุญตากลุ่มหนึ่งจากสำนักเซียนเมฆาโปรยตายตกอย่างน่าสยดสยองในแคว้นจิ่ง กล่าวกันว่ามาถึงยี่สิบกว่าคน!”
เฮือก!
หนึ่งเสียงสูดหายใจ
“เซียนแท้ขอบเขตสุญตา… ในอาณาเขตแคว้นจิ่งก็ถือว่าเป็นตัวตนสูงสุดได้แล้ว ใครเล่าจะกล้าเชื่อว่าสำนักเซียนเมฆาโปรยเสียมือดีไปมากมายเพียงนี้ในคราเดียว?”
“ฝีมือผู้ใดกัน?”
“ข้าไม่รู้ ยามนี้ข่าวถูกสำนักเซียนเมฆาโปรยปิดไปแล้ว”
ขณะสนทนากัน ดวงตาของพวกเขาก็เหลือบมองไปยังหญิงงามผู้เอนร่างเอกเขนกอยู่บนฟูกนุ่มเป็นระยะ
“เรื่องพวกนี้หาเกี่ยวข้องกับเราไม่”
ทันใดนั้น หญิงงามผู้มิเคยปริปากก็กล่าวขึ้น น้ำเสียงของนางไพเราะเสนาะหู เจือความแหบพร่าที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เย้ายวนชวนสะท้านถึงทรวงใน
ทั้งบัณฑิต ชายวัยกลางคนชุดดำ และชายชราชุดขาวล้วนหัวใจหนาววาบและหยุดเสวนากัน ขณะเผยท่าทีตั้งใจฟัง
หญิงงามเท้าคางขาวกระจ่างขึ้น คู่เนตรเจิดจรัส ขณะกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ความสำคัญคือ…”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้
หนึ่งเสียงพลันดังออกมาจากนอกศาลาอย่างนอบน้อม “ศิษย์เยว่หนิงมีเรื่องสำคัญมารายงานเจ้าค่ะ”
หญิงงามสะกดตาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปทางชายในชุดบัณฑิต
แม้จะไร้วาจา แต่นางก็ทำให้บัณฑิตคนนั้นตัวแข็งทื่อได้ เพราะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ปะทะใส่หน้า และกล่าวอย่างยากลำบาก “ใต้เท้า เยว่หนิง เด็กคนนี้ไม่มีทางเป็นบุคคลงุ่มง่าม ในเมื่อนางมาเยือน นางจะต้องประสบเรื่องด่วนอันมิอาจแก้ได้ในหอน้อยสมปรารถนาแน่นอนขอรับ”
สตรีผู้งดงามแค่นเสียงอย่างมิถือจริงจัง “งั้นก็ฟังดูก่อนว่านางอยากรายงานอันใด หากเป็นเรื่องเล็กน้อยมิสลักสำคัญล่ะก็…”
โดยมิรอให้นางพูดจบ บัณฑิตก็กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง หน้าผากชุ่มด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ “ใต้เท้าโปรดอย่าห่วง ข้าจะลงโทษนางด้วยตนเองขอรับ!”
นับแต่ต้นจนจบ ชายวัยกลางคนชุดดำกับชายชราผมขาวมิกล้ากล่าววาจาใด
สตรีเลอโฉมมิได้เอ่ยต่อ
บัณฑิตคนนั้นไอแห้ง ๆ และกล่าวว่า “เยว่หนิง หากมีเรื่องด่วนใดก็รีบพูดมาเถิด”
“เรียนท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้มี ‘ผู้ไขปริศนา’ มาเยือนหนึ่งท่านเจ้าค่ะ!”
นอกศาลาปรากฏหนึ่งร่างสง่างามยืนอยู่ ซึ่งก็คือสตรีในชุดชาววังผู้ต้อนรับซูอี้
ผู้ไขปริศนา!
หนึ่งวาจานี้เป็นเยี่ยงก้อนศิลาแหวกเวหา ทำให้บรรยากาศในศาลาเงียบลงทันใด
ทั้งบัณฑิตชาย ชายวัยกลางคนชุดดำ และชายชราผมขาวล้วนตะลึงอึ้ง เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
หญิงงามสะกดใจบนฟูกนุ่มลุกขึ้นอย่างไร้เสียง คู่เนตรงามทรงเสน่ห์เผยประกายหวนรำลึก
หลังกาลผ่านแสนนาน ในที่สุดก็มีผู้มาไขปริศนาเยือนเหย้าอีกหน!!
สตรีในชุดชาววังหน้าศาลาดูจะมิได้รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้ นางจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ ข้าพาผู้ไขปริศนาสู่โถงชั้นเก้า และเห็นกับตาว่าเขาปลดผนึกเซียนบน ‘แท่นเทวะเสวียนอู่’ ลงมาได้อย่างง่ายดาย…”
ทันทีที่นางกล่าวถึงตรงนี้ บัณฑิตก็อดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งเร้ามิได้ว่า “ใต้เท้าท่านนั้น เขา… ดึงได้เซียมซีก้านใด?”
ด้วยวาจานั้น เขาเริ่มยกย่องด้วยคำว่า ‘ใต้เท้า’!
ขณะนี้ คนอื่น ๆ เองก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมองเห็นได้
กระทั่งหญิงงามเปี่ยมเสน่ห์เองก็เผยท่าทีตั้งใจฟัง อกตระหง่านที่พันผ้าขาวของนางกระเพื่อมขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของนางไม่ได้สงบเช่นกาลก่อน
สตรีในชุดชาววังนอกศาลากล่าวอย่างรีบร้อน “เรียนท่านอาจารย์ ผู้ไขปริศนาท่านนั้นไม่ได้ดึงเซียมซี แต่ก้านเซียมซีเป็นฝ่ายพุ่งออกไปอยู่ในมือผู้ไขปริศนาเองเจ้าค่ะ!”
“นี่…”
บัณฑิตและคณะมองหน้ากันอย่างงุนงงเล็กน้อย
หญิงงามบนฟูกนุ่มลุกขึ้นยืน เท้าเปลือยเปล่าดุจหยกขาวย่างลงไปบนพื้น กระดิ่งกำไลข้อเท้ากระทบกันส่งเสียงกังวานใส
ทุกผู้ล้วนสั่นสะท้านราวสดับฟังดนตรีอันเปี่ยมมนตรา!
เมื่อหันมองหญิงงามตรึงตาอีกหน ใบหน้าน้อยของนางในยามนี้เปี่ยมความตื่นเต้นอันมิอาจเก็บงำ เสียอาการ… อย่างหาได้ยาก!
นี่เป็นคราแรกที่พวกบัณฑิตได้เห็นใต้เท้าจอมปีศาจผู้มีฐานะสูงส่ง แข็งแกร่งเหนือใครผู้นี้ตื่นเต้นเพียงนี้
จังหวะหายใจของนางถี่รัวเล็กน้อย อกซึ่งพันด้วยผ้าขาวกระเพื่อมขึ้นลง เป็นภาพชวนตื่นตะลึง
ทว่าไร้ผู้ใดกล้าจ้องมอง
หนนี้ หญิงงามกล่าวขึ้นทันทีโดยไม่รอให้สตรีในชุดชาววังรายงานต่อ “บนเซียมซีก้านนั้นระบุข้อความ ‘พบข้าประหนึ่งพบสวรรค์’ ไว้หรือไม่?”
พบข้าประหนึ่งพบสวรรค์!
บัณฑิตและคณะหนังศีรษะชาวาบ
เสียงตอบรับของสตรีในชุดชาววังดังมาจากนอกศาลาอย่างนอบน้อม “ถูกต้องเจ้าค่ะ!”
วูบ!
ยังไม่ทันสิ้นคำ ทว่าร่างสูงสง่าของสตรีผู้เลอโฉมก็ได้หายวับไปแล้ว
บัณฑิตชายและคณะมองหน้ากัน เห็นความตกตะลึงในแววตาของกันและกันชัดเจน
“พบข้าประหนึ่งพบสวรรค์ ก้านเซียมซีหยกลึกลับนั่นถูกดึงออกจากเซียมซีสมปรารถนาอีกครั้งแล้วหรือ?”
บัณฑิตพึมพำราวย้อนรำลึกถึงบางสิ่งในอดีต สีหน้าอ่านไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
“สี่ฤดูอยู่ยง หรูอี้น้อยวิถีเซียน สูงส่งเป็นที่สรรเสริญในโลกหล้า พบข้าประหนึ่งพบสวรรค์!”
ชายวัยกลางคนชุดดำสูดหายใจลึก ๆ “กล่าวกันว่าสี่ประโยคนี้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นอยู่ภายในหอน้อยสมปรารถนา แต่ละประโยคเป็นตัวแทนยักษ์ใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งก้าวสู่จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียน และตัวตนในประโยคสุดท้ายนั้นลึกลับสูงสุด!”
“ใครกันหรือ?”
“ข้าไม่รู้ แต่ใต้เท้าจอมปีศาจย่อมรู้แน่นอน!”
“ยังมัวอึ้งอันใดอยู่เล่า ไป! ไปโถงชั้นเก้ากันเถอะ!”
ทันใดนั้น ทั้งบัณฑิต ชายวัยกลางคนชุดดำและชายชราผมขาวต่างรีบรุดขึ้นสู่ชั้นเก้าราวถูกไฟไล่จี้
“ท่านอาจารย์…” ทันทีที่สตรีชุดชาววังซึ่งยืนอยู่นอกศาลากำลังจะกล่าวบางอย่าง พวกบัณฑิตก็หายวับไร้ร่องรอยไปเสียแล้ว
มีเพียงเสียงของบัณฑิตแว่วมาไกล ๆ
“เยว่หนิง รีบไปนำเมรัยเซียนและใบชาในกรุสมบัติให้อาจารย์ จากนั้นหยิบมธุรสเซียนเก้ากระจ่างออกมาไหหนึ่ง ส่งไปยังโถงชั้นเก้าโดยเร็วเลยนะ!”
สตรีในชุดชาววังผงะ อาจารย์ของนางในอดีตช่างแสนเยือกเย็น บรรพตศักดิ์สิทธิ์ถล่มต่อหน้ายังหน้ามิเปลี่ยนสี ทว่ายามนี้กลับลนลานเสียแล้ว!
นางมิกล้าโอ้เอ้ พลันจากไปอย่างรีบร้อน
นางตระหนักแล้วว่า ตัวตนของผู้ไขปริศนาซึ่งมาในคืนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!