บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1537: เหล่าผู้ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง
ตอนที่ 1537: เหล่าผู้ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง
โถงชั้นเก้า
ซูอี้ยืนตรงหน้ากระดองเต่าสีดำขนาดราวหนึ่งจั้งและหยิบก้านเซียมซีอีกก้านออกมาอย่างหน้าตาเฉย
บนเซียมซีก้านนั้นเขียนไว้ว่า ‘สี่ฤดูอยู่ยง’
ในใจซูอี้อดนึกถึงนักพรตเฒ่าเลอะเทอะผู้ยืนตระหง่านเหนือหุบผาหิมะ ใช้หนึ่งมือไพล่หลังขึ้นมามิได้
ในขณะที่อีกมือยกขึ้นค้ำนภา!
เยี่ยชุนชิว
หนึ่งตัวตนสูงสุดในสำนักเต๋าแห่งวิถีเซียน ครั้งหนึ่งยามทำศึกอันภาคภูมิสูงสุด เขาเคยใช้หนึ่งมือค้ำนภาบนหุบผาหิมะโปรย สังหารราชันย์มารสามคนจาก ‘อาณาจักรมารโบราณ’!
ศึกนี้ที่ด่านสวรรค์ชั้นแปดแห่งโลกเซียนเกิดขึ้นเพื่อสันติภาพแห่งโลกภูมินับหมื่น!
“เจ้าเฒ่าเลอะเทอะนี่ ไม่รู้ป่านนี้เป็นหรือตาย…”
หัวใจของซูอี้ปรากฏความรู้สึกประหลาดเอ่อขึ้น
เมื่อนานมาแล้ว เยี่ยชุนชิวและหวังเย่เคยรบกันมาแปดพันปี เย่ชุนชิวเป็นฝ่ายแพ้มากกว่าชนะ
แปดพันปีต่อมา เย่ชุนชิวมิอาจกำชัยได้อีกเลย
หวังเย่ได้ให้สุราแก่อีกฝ่ายหนึ่งไห แย้มยิ้มให้ยามล้างแค้น และจากนั้นมา ทั้งสองก็เป็นสหายร่วมวิถีกัน
กล่าวได้ว่าหวังเย่และเยี่ยชุนชิวซึ่งอยู่ ณ จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนทั้งคู่นั้นเรียกได้ว่าเป็น ‘สหายเต๋า’ โดยแท้จริง
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ดึงสลักเซียมซีหยกออกมาอีกก้าน
บนก้านหยกเขียนไว้ว่า ‘หรูอี้น้อยวิถีเซียน’
มุมปากของซูอี้มิอาจข่มรอยยิ้มไว้
หรูอี้น้อยวิถีเซียน สุขสบายอยู่กับตน!
เงาร่างอันอรชรสะดุดตาปรากฏในใจของซูอี้
สตรีผู้นั้นถือสุราไหหนึ่งด้วยหนึ่งมือ อีกมือเท้าคาง นั่งเอกเขนกเหนือเมฆาเก้าสวรรค์ เบื้องล่างมีโลหิตเจิ่งนองเยี่ยงสมุทรไร้จุดจบ ซากศพเกลื่อนกลาดดุจป่าไม้
เซียวหรูอี้
ปีศาจไร้เทียมทานผู้ก้าวสู่จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียน ถูกปีศาจนับหมื่นขนานนามเป็น ‘จักรพรรดิปีศาจหรูอี้’!
นางมักรำพึงบ่อยครั้งว่าโลกนี้มีจุดบกพร่อง ชีวิตมีความอาวรณ์ นางมิได้ไขว่คว้าหาความสมบูรณ์แบบ แต่ปรารถนาเพียงเล็กน้อย เพื่อให้นางแสนสุขสบาย
ก่อนยุคอวสานเซียน ‘หอน้อยสมปรารถนา’ ซึ่งตัวตนทรงอำนาจมากมายในโลกเซียนชื่นชมนี้ถูกตั้งชื่อตามนาง*[1]!
“สตรีผู้นี้ใฝ่ฝันถึงความปรารถนาเล็กน้อย สุขสำราญอยู่กับตน นางจากไปเหย้าเยือนยุคสมัยต่าง ๆ บ่อยครั้งนับแต่กาลก่อนยุคสมัยอวสานเซียน และไม่รู้ว่านางประสบหายนะอวสานเซียนกับเขาด้วยหรือไม่…”
เมื่อซูอี้ครุ่นคิดถึงตรงนี้ เขาก็ดึงก้านเซียมซีหยกออกมาอีกชิ้น
มันเขียนไว้ว่า ‘สูงส่งเป็นที่สรรเสริญในโลกหล้า’
ซูฝูซื่อ
หนึ่งผู้เฒ่าอารมณ์ดีซึ่งก็เป็นยักษ์ใหญ่ค้ำนภา ณ จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนเช่นกัน ครั้งหนึ่ง เขาเคยลั่นวาจาจะปราบศัตรูทั้งหลายในขอบเขตเดียวกันลง
ทว่าผลลัพธ์คือถูกจอมราชันย์ซิงจ้าวเอาชนะซ้ำ ๆ มิเคยพลิกกลับมาชนะได้เลยสักหน…
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกสนุกปากเยี่ยชิงชิว ทุกครั้งที่พบซูฝูซื่อเป็นต้องยกเรื่องนี้ขึ้นล้อทุกคราไป
และขณะที่ซูอี้กำลังหวนระลึกความหลังอยู่นั้นเอง
ร่างสง่างามร่างหนึ่งได้มาถึงนอกโถงหลักแล้ว
นางคือหญิงงามผู้มีรูปลักษณ์สะโอดสะองทรงเสน่ห์ ร่างงามสง่า
นางยืนมองซูอี้หยิบก้านเซียมซีออกจากถ้วยเซียมซีสมปรารถนาก้านแล้วก้านเล่าราวกับหยิบของออกจากกระเป๋าด้วยหัวใจปั่นป่วน
ใบหน้างดงามเจิดจรัสเปี่ยมด้วยความตะลึง ตื่นเต้น เหม่อค้างและไม่อยากเชื่อ
แสนนานกาลก่อน กระทั่งก่อนยุคอวสานเซียน ไม่มีผู้ใดหยิบก้านเซียมซีออกจากถ้วยเซียมซีสมปรารถนาได้ตามใจ!
เพราะบนกระดองเต่าสีดำนั้นปกคลุมด้วยค่ายกลสูงสุดวิถีเซียน
กระทั่งตัวกระดองเต่าเองยังเป็น ‘กระดองเสวียนอู่’ ซึ่งมีลวดลายวิถีอันเกินหยั่งคาดเกิดขึ้นตามธรรมชาติอัดแน่นไปหมดอยู่แต่เดิม!
ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่บนวิถีเซียน หรือผู้เลิศล้ำมากฝีมือล้วนต้องหยุดมือตรงหน้ากระดองเต่าสีดำนี้ทั้งสิ้น
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับดึงก้านเซียมซีก้านแล้วก้านเล่าอย่างไม่แยแสราวกับไม่มีค่ายกลวิถีเซียนและกระดองเต่าสีดำนี้อยู่!
เป็นปาฏิหาริย์โดยแท้
ทว่าหญิงงามรู้ว่านี่หาใช้ปาฏิหาริย์ไม่ และกาลก่อนก็มีผู้ทำเช่นนี้ได้!
“หรือจะเป็นใต้เท้าจอมราชันย์ผู้นั้น…”
หญิงงามตรึงตารู้สึกกระวนกระวายเกินพรรณนา หัวใจเต้นระทึกครึกโครม
“มองพอหรือยัง?”
ซูอี้โยนก้านเซียมซีหยกในมือกลับเข้าไปในถ้วยเซียมซีสมปรารถนาและหันมองมา
ยามนั้นเอง ร่างสง่างามสะโอดสะองของหญิงงามก็สั่นสะท้าน ก้มหัวย่อเอวอรชรลงโดยไม่รู้ตัว และคำนับกล่าวกับซูอี้
“ผู้น้อยชิงเวย เจ้าของหอน้อยสมปรารถนาทั้งสิบสองสาขาในแคว้นจิ่งคำนับใต้เท้าจอมราชันย์เจ้าค่ะ!”
เสียงอ่อนหวานสั่นอย่างเกินหยุดยั้ง
นางดูตื่นเต้น
ทว่าก็ดูประหม่า
ซูอี้นั่งลงบนเก้าอี้ มองไปยังหญิงงามร่างบางซึ่งดูราวกับนงคราญล่มเมืองและกล่าวว่า “ใต้เท้าจักรพรรดิปีศาจของพวกเจ้ายังอยู่หรือไม่?”
สำหรับเขา มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักตัวตนของเขา
เพราะถึงอย่างไร ผู้ที่รู้กฎนี้แม้เพียงน้อยก็น่าจะรู้ว่าการที่เขาดึงเซียมซีออกมาจากเซียมซีสมปรารถนาโดยง่ายหมายความเช่นไร
หญิงงามผู้เรียกตนว่าชิงเวยก้มหัวลงกล่าวอย่างนอบน้อม “เรียนใต้เท้าจอมราชันย์ ใต้เท้าจักรพรรดิปีศาจได้ออกเดินทางแสนไกลแสนนานก่อนยุคอวสานเซียนมาถึง และยังไร้ข่าวคราวจวบยามนี้ ยามนี้เจ้าของหอน้อยสมปรารถนาคือมหาเซียนหลิวอวิ๋น ขุนพลลำดับสามภายใต้บัญชาใต้เท้าจักรพรรดิปีศาจเจ้าค่ะ”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย ชิงเวยก็กล่าวต่อ “ใต้เท้ามหาเซียนหลิวอวิ๋นเก็บตัวฝึกฝนตั้งแต่สามพันปีก่อน และไม่ได้อยู่ในอาณาเขตแคว้นจิ่งเจ้าค่ะ”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
อันที่จริง ซูอี้จะแสนระแวงหากได้พบเซียวหรูอี้จริง ๆ เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะจับเขาไปศึกษาอย่างละเอียดด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เพราะถึงอย่างไร สำหรับยักษ์ใหญ่ค้ำนภาผู้อยู่ ณ จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียน หากได้รู้ว่าเขาคือร่างเวียนวัฏของหวังเย่ นางจะเกิดความสนอกสนใจอย่างมหาศาลแน่นอน…
“อย่าเกร็งไปเลย นั่งลงเถอะ”
ซูอี้โบกมือ “เพราะถึงอย่างไร หอน้อยสมปรารถนานี้ก็เป็นแดนเหย้าของเจ้า และข้าก็แค่มาเป็นแขก”
ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย มิได้หันมองชิงเวยอีก
ไม่มีทางเสียล่ะ ราชันย์เซียนสตรีผู้เหยียบย่างสู่ขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ช่างใจกล้าจริงแท้ นางพันหน้าอกไว้ด้วยผ้าบาง ๆ สีขาว สวมกระโปรงเรียบ ๆ แขนเพรียวบางชมพูเรื่อ ไหล่เนียนมน เอวบางน่าคว้าจับ เรียวขาเพรียวบางตรงยาวล้วนถูกเผย
กระทั่งเท้าขาวเนียนทั้งสองยังเปลือยเปล่า สวมกำไลกระดิ่งที่ข้อเท้า
ยามนางยืนค้อมตัวลง ภูผาตระหง่านขาวใต้แสงประทีปคู่นั้นเด่นเสียจนทำให้ซูอี้ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย…
ทว่าซูอี้ก็ต้องประหลาดใจเมื่อชิงเวยส่ายหน้ากล่าว “ใต้เท้าจอมราชันย์อยู่ตรงหน้า ผู้น้อยหรือจะมีคุณสมบัติพอจะนั่ง”
ซูอี้ “…”
เขานำไหสุราไหหนึ่งออกมาจิบ ก่อนจะกล่าวล้อ “เช่นนั้น เจ้าก็ควรยืนให้ตรงก่อนค่อยว่ากัน หาไม่ แม้จะเป็นสุภาพบุรุษเพียงไร เห็นเจ้าสภาพนี้ เกรงว่าคงมิอาจห้ามใจได้อยู่ดี”
ชิงเวยตะลึงไป
ราชันย์เซียนวิถีปีศาจผู้นี้ซึ่งสามารถปั่นป่วนโลกเซียนปัจจุบันให้แตกตื่นได้ บัดนี้เผยความเขินอาย ใบหน้าแดงเรื่อ
นางยืนตัวตรง โบกมือ แล้วชุดคลุมเรียบง่ายก็ปกปิดร่างสูงสง่าของนาง ปกปิดทิวทัศน์งดงามตระการไปอย่างเงียบเชียบ
“ผู้น้อยหาตั้งใจแต่งกายเช่นนี้ไม่ ทว่ายามได้ข่าวการมาถึงของใต้เท้าจอมราชันย์ ผู้น้อยหาสนใจเรื่องอื่นไม่ เร่งรีบมาพบท่านก่อน จึงไม่คาดว่าเป็นการเสียมารยาท ทำให้ใต้เท้าจอมราชันย์หัวเราะเสียแล้ว”
ชิงเวยก้มหัวลงอธิบายอย่างแสนประหม่า ราวกลัวซูอี้จะประทับใจนางในทางลบ
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ไม่ต้องคิดมากหรอก ข้ามิใช่พวกอวดดี หาถือสาไม่ ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเอาแต่ก้มหัวโค้งตัวตลอดน่ะ เดี๋ยวข้าจะกำไรมากไปหน่อย”
ชิงเวย: “…”
วาจาเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่นกล้าพูด นางคงตบอีกฝ่ายตายไปแล้ว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าใต้เท้าจอมราชันย์ตรงหน้านาง นางหากล้าทำเช่นนั้นไม่ และกระทั่ง… หัวใจกลับยิ่งสะท้านสั่น
ยามนี้ เสียงฝีเท้าดังขึ้น
หนึ่งบุรุษในชุดบัณฑิต หนึ่งชายวัยกลางคนชุดดำท่าทางทรงพลังและชายชราผมขาวผู้หนึ่งมาถึงอย่างรีบร้อน
ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในโถง ชิงเวยก็กล่าวตำหนิขึ้นก่อน “หากไร้สิ่งใดจะรายงาน ห้ามล้ำเข้ามาเด็ดขาด อย่ารบกวนใต้เท้าจอมราชันย์!”
พวกเขาทั้งสามพลันชะงัก เหงื่อเย็นเฉียบไหลอาบหน้าผาก ใต้เท้าจอมราชันย์!?
สมญายกย่องเช่นนี้ทำให้หนังศีรษะของพวกเขาชายิบอย่างตกใจ พวกเขาล้วนก้มหัวลงยืนอย่างประหวั่นพรั่นพรึงจากใจ
ซูอี้เหลือบมองทั้งสาม และกล่าวว่า “เข้ามาเถอะ อย่ามัวแต่เกร็ง ข้าไม่เคยชอบเรื่องพิธีรีตอง”
“ขอรับ!”
พวกเขาทั้งสามรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะเข้ามาในโถงหลัก
และแล้ว ซูอี้ก็ได้รู้ตัวตนของทั้งสามจากการแนะนำของชิงเวย
ในหมู่ทั้งสาม ชายในชุดบัณฑิตคือเจ้าของหอน้อยสมปรารถนาในนครเซียนเทียนติ่งแห่งนี้ มีนามว่าเว่ยหมิง เป็นเซียนแท้ขอบเขตสุญตาขั้นกลาง
ชายวัยกลางคนชุดดำและชายชราผมขาวเป็นบุคคลมือขวาและซ้ายของเว่ยหมิง ทั้งคู่ต่างเป็นเซียนขอบเขตจักรวาล
หลังเสวนาเป็นพิธีเล็กน้อย สตรีในชุดชาววังเยว่หนิงก็รีบร้อนมาพร้อมเมรัยเซียนอันล้ำค่าของเว่ยหมิงผู้เป็นอาจารย์ ชาและติ่มซำ
เมื่อนางพบว่าสี่ผู้ยิ่งใหญ่รวมถึงชิงเวยล้วนยืนอย่างนอบน้อม ขณะที่ซูอี้นั่งเอกเขนกอยู่ในโถง หัวใจของเยว่หนิงก็สั่นสะท้านรุนแรง
ว่าแล้วเชียว ผู้ไขปริศนาผู้นี้เป็นตัวตนน่าสะพรึงกลัวเหลือพรรณนา!
น่าเสียดายที่นางไร้คุณสมบัติอยู่ที่นี่ นางจึงรีบหันหลังจากไป
“ข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งหนึ่ง”
ซูอี้ไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้ เขาเข้าเรื่องทันทีว่ามารวบรวมโอสถเซียนกลุ่มหนึ่ง
กล่าวจบ เขาก็เขียนไล่เรียงรายนาโอสถลงกระดาษ ส่งให้กับชิงเวย
แม้เขาจะมอบหมายให้หอบุหลันฟ้าจัดประมูลสูตรโอสถเพื่อแลกกับโอสถเซียนเหล่านี้แล้ว เขาก็ยังต้องรออีกสามวัน
และการจะได้โอสถเซียนทั้งหมดนี้หรือไม่ก็มิแน่นอน
ยามนี้ ย่อมเป็นเรื่องดีกว่าหากหอน้อยสมปรารถนาจะจัดการเรื่องนี้ให้
“ใต้เท้าจอมราชันย์ ท่านให้เวลาผู้น้อยสามวันก็พอ… ไม่สิ ในสองวัน ผู้น้อยจะรวบรวมโอสถเซียนทั้งหมดนี้ให้ท่านได้แน่นอนเจ้าค่ะ!”
ชิงเวยกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ต้องรอสองวันหรือ…”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
หัวในของชิงเวยบีบตัวแน่น กล่าวว่า “หากใต้เท้าจอมราชันย์ต้องการโอสถเซียนเหล่านี้เป็นการด่วน ผู้น้อยจะไปรวบรวมมันมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “มิจำเป็นหรอก”
ชิงเวยสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างระมัดระวัง “ผู้น้อยขอบังอาจถือวิสาสะถามใต้เท้าจอมราชันย์ ท่านรวบรวมโอสถเซียนเหล่านี้ เพื่อหลอมโอสถเพื่อคลี่คลายบาดแผลวิถีเซียนหายหรือเจ้าคะ?”
ซูอี้นิ่งไป ก่อนจะกล่าวอย่างประหลาดใจ “สายตาดีนี่”
ใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามของชิงเวยเผยเค้าความยินดี กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ใต้เท้าจอมราชันย์ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ผู้น้อยพอจะรู้เรื่องการหลอมโอสถอยู่นิดหน่อย จึงพอจะเดาได้บ้างเจ้าค่ะ”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “เจ้าเดาถูก แต่ข้าไม่ต้องการหลอมโอสถ แค่จะใช้โอสถเซียนเหล่านี้ขับอำนาจหนึ่งในร่างของข้าเท่านั้นแหละ”
ทุกผู้ผงะไป
และชิงเวยก็ไม่รู้ว่าจำเรื่องอันใดขึ้นได้ นางกัดริมฝีปากแดงเรื่อของนางเบา ๆ คู่เนตรงามวูบไหวด้วยประกายอันเกินพรรณนา
[1] ชื่อเล่นของเซียวหรูอี้ (萧如意) คือเสี่ยวหรูอี้ (小如意) หรือ หรูอี้น้อย ที่แปลว่าเจ้าสมปรารถนา เป็นที่มาของชื่อหอน้อยสมปรารถนา 小如意斋