ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2278 หยกศักดิ์สิทธิ์มืดมัว
ตอนที่ 2278 หยกศักดิ์สิทธิ์มืดมัว
………………..
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ไม่มีอันใด ข้าแค่ให้ถวนจื่ออยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหมิง”
แม้ว่านางจะใช้กลอุบายหลอกล่ออวี้เชียน แต่เมื่อคิดว่า หลังจากนี้ถวนจื่อจะต้องอยู่ที่เป็นระยะเวลานาน ถวนจื่อต้องอยู่ที่นั่นคนเดียว ภายในใจของนางคงต้องกังวลมากแน่นอน
หรงซิวกดจูบที่หน้าผากของนาง
“เข้ามาพูดกันข้างในเถอะ”
…
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่จิ้นอวิ๋นไหล่ไปส่งฉู่หลิวเยว่ที่ภูเขาเฟิ่งหมิงแล้ว เขาก็กลับมายังตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่เดินผ่านจัตุรัสหยกดำ เขาก็ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย
เขาเห็นว่าคนสองคนยืนไม่ห่างจากจัตุรัสหยกดำ อีกทั้งยังพูดกระซิบกระซาบ
เขารู้จักผู้ชายที่อยู่ทางด้านซ้าย…ข่งชิงหลิน
เขาเป็นช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์คนเดียวในรอบหลายปีมานี้ที่ได้เข้าพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ และก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็ทะลวงด่านแล้วเข้าสู่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
การที่เขาปรากฏกายอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ
แต่ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างคนนั้น…
นางสวมกระโปรงยาวพริ้ว สวมผ้าคาดหน้าผาก ผมสีดำคลับห้อยยาวถึงข้อเท้า รูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าอ่อนโยน
จิ้นอวิ๋นไหล่ไม่รู้สึกคุ้นหน้านางเลย
ภายในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมีคนผู้นี้อยู่
“นั่นหมายความว่า…หากต้องการเป็นช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ ก็จำเป็นต้องได้รับแสงศักดิ์สิทธิ์จากที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ?”
นางถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและนุ่มนวล จนทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ
ขณะที่พูด เขาก็มองไปทางซูหลีด้วยความสงสัย
“จะว่าไปแล้ว ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าเจ้ามาจากอาณาจักรเสิ่นซวี่ ตอนที่มาก็ได้เป็นช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว นั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไร? ลำแสงศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่สามารถออกจากพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ได้”
กล่าวในอีกนัยหนึ่งก็คือ เดิมทีอาณาจักรเสิ่นซวี่อยู่ด้านล่างไม่มีทางมีช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นได้
เมื่อได้ยินคำพูดของข่งชิงหลิน จิ้นอวิ๋นไหล่ก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว
ที่แท้คนผู้นี้คือ ช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ฉู่หลิวเยว่บอกว่าจะเชิญมาก่อนหน้านี้
เขาขยับตัวไปด้านข้าง จากนั้นก็ตั้งใจฟัง…ความจริงแล้ว เขาก็อยากรู้ว่าเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ซูหลียิ้มบางๆ จากนั้นก็อธิบายว่า
“ความจริงแล้วข้าไม่ได้เพิ่งทะลวงด่านได้ในตอนนี้ ข้าทะลวงด่านได้ตั้งแต่หมื่นปีก่อนหน้านี้แล้ว ในตอนที่ข้ากำลังหลอมอาวุธอยู่นั้น ท้องฟ้าก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น โล่ชิ้นหนึ่งพุ่งออกมา แต่ข้าก็ไม่รู้เหตุใดข้าถึงสามารถหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ได้”
“โล่?”
ข่งชิงหลินชะงักไป
“ถูกต้อง นั่น…”
ซูหลียกมือขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปทางด้านหน้า
“รูปร่างของมันคล้ายกับชิ้นส่วนที่หายไปตรงกลางนั้น”
ข่งชิงหลินเข้าใจได้ในทันที
“อย่างนี้นี่เอง…”
ซูหลีถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ตอนนั้นพลังของโล่แข็งแกร่งจนน่าตกใจ แต่หลังจากที่ข้าหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์เสร็จ ข้าก็ตายตามกันไป เหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ กว่าจะฟื้นขึ้นชีพขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วเมื่อมาถึงตรงนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้โล่เช่นนั้นก็ออกมาจากตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง”
มุมปากของซูหลียกโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดเสียงเบา
หากเป็นหมื่นปีก่อนล่ะก็ น่าจะเป็นเพราะว่าที่แห่งนี้เกิดความวุ่นวาย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามของพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าเขาจึงไม่ได้พูดออกไป
ซูหลีหันมามองเขาครู่หนึ่ง แววตาเปล่งประกาย จากนั้นนางก็หัวเราะออกมา
“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่มีช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์มาหลายปีแล้ว แต่เจ้าสามารถทำสำเร็จได้ ถือว่าสุดยอดมาก”
ข่งชิงหลินได้ยินดังนั้นก็ลูบเขาของตัวเอง แล้วหัวเราะเสียงดัง
“ที่ไหนกันเล่า เมื่อเปรียบเทียบกับซูหลีแล้ว ข้าถือว่ายังห่างอีกไกล”
แม้เขาจะพูดแบบนั้น แต่เห็นได้ชัดว่า ภายในใจของข่งชิงหลินก็รู้สึกภาคภูมิใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
เดิมทีเขาก็มีความสามารถเหล่านี้อยู่แล้ว
ซูหลีถามขึ้นอย่างสงสัยเล็กน้อยว่า
“ความจริงแล้วข้ารู้สึกไม่เข้าใจบางอย่าง ตามหลักการแล้ว สถานที่อย่างพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์จะต้องเป็นสถานที่ที่รวมตัวของผู้แข็งแกร่ง คนที่เป็นช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ก็น่าจะมีไม่น้อย เหตุใดหลายปีที่ผ่านมานี้ถึงมีเพียงจ้าแค่คนเดียวล่ะ?”
ข่งชิงหลินพูดขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว
“แน่นอนว่าเป็นเพราะหยกศักดิ์สิทธิ์มืดมัว…”
เสียงของเขาชะงักค้างกลางอากาศ
ซูหลีสามารถคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว
“เพราะว่าชิ้นส่วนนั้นหายไป?”
ข่งชิงหลินมองไปทางซูหลีด้วยความลังเล จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดเสียงเบาลง
“เรื่องนี้ ทุกคนภายในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ล้วนรู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็พูดถึงกันน้อยมาก แต่เพราะเจ้ามาใหม่ อีกทั้งเหมือนว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหยกศักดิ์สิทธิ์มืดมัวก้อนนั้น ข้าก็บอกเจ้าเลยก็แล้วกัน แต่หลังจากนี้ห้ามพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”
ซูหลีกำลังจะถามต่อ แต่ทันใดนั้นเหมือนนางได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง
ทั้งสองคนจึงหันกลับไปมองพร้อมกัน
ซูหลีชะงักไป
ที่แท้คนผู้นี้ก็คือเสินสื่อลำดับที่เจ็ด ชื่อเสียงของเขาโด่งดังจริงๆ
เดิมทีนางคิดว่าตอนที่นางเข้ามาถึงประตูสวรรค์จะได้เจอเขา แต่เพราะเหตุผลบางประการ เสินสื่อลำดับที่เจ็ดจึงไม่ได้ปรากฏตัวออกมา
วันนี้จึงเป็นวันแรกที่นางได้พบกับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ
“ซูหลีคารวะเสินสื่อลำดับที่เจ็ด”
ภายในสมองของนางมีความคิดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แต่ใบหน้าของซูหลียังคงอ่อนโยนเช่นเดิม
จิ้นอวิ๋นไหล่หันมามองนางด้วยแววตาเย็นชา
“สามารถทะลวงด่านช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่อาณาจักรเสิ่นซวี่ ก็นับว่ามีความสามารถ แต่ว่าที่แห่งนี้คือตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนี้หากเจ้าจะพูดคุยอันใดกันก็ขอให้ระมัดระวังคำพูดด้วย อันใดที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม เข้าใจหรือไม่?”
นี่เขากำลังเตือนนางอยู่ว่าห้ามสืบค้นเรื่องราวในปีนั้น?
ความคิดของซูหลีหมุนวน ใบหน้าของนางเผยความกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย นางพยางค์หน้าลง
“เจ้าค่ะ”
ข่งชิงหลินที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกกังวลเช่นเดียวกัน
เขารู้ว่าคำพูดเหล่านี้ไม่สามารถพูดมั่วซั่วได้ แต่เมื่อเห็นว่าซูหลีกำลังสงสัย เขาจึงบอกไปอย่างทนไม่ได้
แต่ใครจะรู้เล่าว่าเสินสื่อลำดับที่เจ็ดก็อยู่ที่นี่ด้วย?
ในตอนที่ข่งชิงหลินกำลังรู้สึกกังวลอยู่นั้น เขาคิดว่าตัวเองจะต้องถูกลงโทษแล้ว แต่จิ้นอวิ๋นไหล่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินออกไปทันที
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไปแล้ว ซูหลีก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดพึมพำว่า
“ดูเหมือนว่าจะต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเลยนะ…”
ข่งชิงหลินเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง เมื่อสายลมพัดมา เขาก็รู้สึกเย็นสันหลัง
“ค่อยยังชั่ว…”
เขาเช็ดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผากออกมาจากความกลัว
“ซูหลี หลังจากนี้เราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย ที่เสินสื่อลำดับที่เจ็ดไม่ลงโทษเจ้าในวันนี้ อาจเพราะเห็นว่าเจ้าเพิ่งทำผิดครั้งแรก ดังนั้นจึงปล่อยไป แต่หากวันหน้าถ้าทำผิดอีกครั้ง เขาจะไม่ปล่อยไปอย่างง่ายดายแบบนี้แน่นอน”
ซูหลีมองท่าทางของเขา จากนั้นก็ครุ่นคิดขึ้นมา
“เสินสื่อลำดับที่เจ็ดเข้มงวดมากเลยหรือ?”
เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้ข่งชิงหลินตื่นตระหนกขนาดนี้
ข่งชิงหลินหัวเราะอย่างขมขื่น
“ไม่ใช่หรอก เสินสื่อทุกคนก็เป็นเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปีนั้น…ช่างเถอะ หลังจากนี้เจ้าก็อย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเลยนะ เพื่อหลีกยังไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น”
ซูหลีกะพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะขึ้นเบาๆ
“ได้”
…
อีกด้านหนึ่ง เดิมทีจิ้นอวิ๋นไหล่กำลังจะตรงกับที่พักของตัวเอง แต่เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง เขาก็นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง ก่อนเดินไปอีกทางหนึ่ง