ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 559 แจ้งให้ทราบ
เนื่องจากมีเรื่องที่ตําหนักองค์ชายสี่ส่งธูปมาให้ ถึงเมื่อวันสรงนํ้าพระพุทธเจ้า เฉิงลู่จึง
ตัดสินใจไปจุดธูปพร้อมกับเฉินซื่อ
เฉินซื่อดีใจเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางและเฉิงลู่ออกไปข้างนอกด้วยกันนับตั้งแต่
แต่งงานกันมา ด้วยเหตุนี้จึงปรึกษาเฉิงลู่ว่า “ท่านเจ้าอาวาสวัดต้าเซียงกั๋วเป็นสหายสนิทของท่าน
พ่อ พวกเรามิสู้ไปวัดต้าเซียงกั๋วจะดีกว่า!”
เฉิงลู่กลับกล่าวว่า “ถึงวันนั้นทุกคนต่างหลั่งไหลไปที่วัดต้าเซียงกั๋ว จะได้จุดธูปหรือได้ดู
คนกันแน่? ตามความเห็นของข้าแล้วมิสู้ไปวัดหงหลัวที่นอกเมืองดีกว่า ได้ยินว่าที่นั่นเป็นสถานที่
ประกอบพิธีกรรมขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ขอบุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง”
เป็นถ้อยคําที่กล่าวจนเฉินซื่อหน้าแดงหูแดงไปหมด ยินดีขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ รีบกล่าว
ว่า “เช่นนั้นก็ไปวัดหงหลัวก็แล้วกัน ข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกันว่าที่นั่นเป็นที่นิยมในหมู่ผู้นับถือ
เป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าอยู่ไกลไปเล็กน้อย จะไปครั้งหนึ่งไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก”
เฉิงลู่ไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ค้างที่นั่นสักคืนก็แล้วกัน พวกเราเองก็นานๆ ทีจะได้
ออกจากบ้าน รอพวกเรากลับมาแล้ว ข้าก็ตั้งใจจะปิดประตูอ่านหนังสือ เตรียมตัวเข้าร่วมการสอบ
ระดับภูมิภาคครั้งถัดไปแล้ว”
นี่เป็นการพูดสื่อเป็นนัยว่าต่อให้เป็นเรื่องสําคัญอย่างเรื่องมีทายาทก็ต้องวางเอาไว้ก่อน
แล้ว!
เฉินซื่อรู้สึกร้อนใจ
นางอายุมากแล้ว ระหว่างสามีภรรยาก็ถือได้ว่ารักใคร่กลมเกลียว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด
เรื่องทายาทช่างยากเย็นเหลือเกิน หากอีกสามปียังไม่ตั้งครรภ์ นางก็คงต้องช่วยรับอนุให้เฉิงลู่แล้ว5181
บุตรที่อนุคลอดออกมาจะมีความเกี่ยวพันอะไรกับตระกูลเฉินของนางเล่า? เช่นนี้การแต่งบุตรเขย
เข้าบ้านยังจะมีความหมายอะไรอีก
เฉินซื่อจึงตระเตรียมเรื่องการเดินทางไปข้างนอกอย่างใส่ใจเป็นพิเศษ ไม่เพียงนําตั๋วเงิน
ไปห้าร้อยเหลี่ยงเท่านั้น ยังละเว้นเนื้อสัตว์และของมึนเมาเตรียมตัวให้สะอาดก่อนล่วงหน้าหลาย
วัน และคัดพระธรรมหลายม้วนไปถวายองค์พระโพธิสัตว์ที่วัดหงหลัวอีกด้วย
ไม่คาดคิดว่าเมื่อถึงวัดหงหลัวแล้วพระผู้ให้การต้อนรับของทางวัดจะแจ้งว่า “…กลุ่มสตรี
จากบ้านของขุนนางใหญ่หยวน ขุนนางใหญ่เฉิง ใต้เท้าเหอสํานักสารบรรณกลาง ใต้เท้าอู๋สํานัก
ฮั่นหลินและอีกหลายบ้านล้วนมาจุดธูปกันที่นี่ บ้านพักแขกหลายหลังล้วนให้คนมาทําความ
สะอาดเอาไว้แล้ว”
ความหมายก็คือ ไม่มีบ้านพักที่เหมาะสําหรับนางแล้ว
เฉินซื่อตระหนกตกใจ หันกลับมามองพ่อบ้านของตัวเองด้วยสายตาคมปลาบ
ดวงหน้าของพ่อบ้านผู้นั้นก็ปิดความประหลาดใจเอาไว้ไม่มิด กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้พระ
ผู้ให้การต้อนรับของที่วัดก็กล่าวเช่นนี้ ข้ากลับไปรายงานท่านบุตรเขยแล้ว ท่านบุตรเขยบอกว่าไม่
ต้องเป็นห่วง เขาจะจัดการเรื่องนี้เองขอรับ”
ขณะที่กําลังกล่าวนั้น เฉิงลู่ที่เมื่อครู่ไม่รู้ว่าขี่ม้าวิ่งไปที่ไหนแล้วนั้นจู่ๆ ก็กลับเข้ามาจาก
ทางเดินขนาดเล็กที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
พ่อบ้านไม่กล้ากล่าวอะไร
เฉิงลู่มองแล้วก็เข้าใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง” ถามพระผู้ให้การต้อนรับผู้
นั้นว่า “ในวัดของพวกท่านยังมีเรือนพักอื่นอีกหรือไม่”5182
“จะว่ามีก็มี” พระผู้ให้การต้อนรับผู้นั้นกล่าวอย่างลังเล “เพียงแต่ว่าไม่มีเรือนพักเดี่ยว
เหลือแล้ว”
“เช่นนั้นก็หาเรือนปีกให้พวกข้าสักสองสามห้องก็แล้วกัน” เฉิงลู่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เพียงแต่ว่าต้องช่วยเลือกเรือนปีกที่สะอาดสะอ้านให้พวกข้าสักสองสามห้องถึงจะดี” กล่าวจบ
ส่งสายตาให้บ่าวชายเด็กที่อยู่ข้างกายครั้งหนึ่ง บ่าวชายเด็กรีบก้าวออกไปยัดถุงเงินให้พระผู้ให้
การต้อนรับผู้นั้น
พระผู้ให้การต้อนรับรับเอาไว้เงียบๆ หาเรือนปีกขนาดสามห้องที่หันหน้าเข้าหาทิศใต้
ทั้งหมดตรงบริเวณมุมของเรือนปีกตะวันตกให้พวกเขา แต่อย่างไรก็เทียบไม่ได้กับเรือนพักเดี่ยว
อยู่ดี เฉินซื่ออดพรํ่าบ่นไม่ได้ว่า “ท่านบุตรเขยก็จริงๆ เลย หากบอกข้าแต่เนิ่นๆ ข้าจะได้นําป้ายชื่อ
ของท่านพ่อมาให้ทางวัดเก็บเรือนเล็กๆ เอาไว้ให้พวกเราสักหลังหนึ่ง”
เฉิงลู่กล่าว “เนื่องจากเป็นการมาขอบุตร จึงต้องจริงใจสักหน่อย ตอนข้ามาถึงครอบครัว
เหล่านั้นก็จองเรือนพักเอาไว้ก่อนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าทําอะไรก็ต้องมีมาถึงก่อนมาถึงทีหลัง
ครอบครัวเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวบัณฑิตทั้งสิ้น ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่ชอบ
ใจเพียงดื่มสุราสักจอกก็ผ่านไปแล้ว เรื่องไม่ดีหนึ่งอย่าง หากทําให้ท่านพ่อถูกฟ้องร้อง นั่นไม่สู้ไม่
มาจะดีกว่า นอกจากนี้สตรีจากครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้นก็มาขอบุตรเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าจุด
ธูปเทียนขอพรที่วัดแห่งนี้นั้นศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
บางทีอาจเป็นเพราะยิ่งเป็นของที่ทุกคนแย่งชิงกันก็ยิ่งทําให้คนรู้สึกดีก็เป็นได้
เฉินซื่อได้ยินแล้วก็ยินดีปรีดายิ่ง กล่าวขึ้นว่า “จริงหรือ สตรีจากหลายๆ ครอบครัวนั่นก็มา
ขอบุตรเช่นกันหรือ”
“ข้าจะหลอกเจ้าไปทําไม” เฉิงลู่กล่าว “ประเดี๋ยวไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้พบสตรีจาก
หลายๆ ครอบครัวนั่นก็เป็นได้”5183
เฉินซื่อพยักหน้า กล่าวอย่างลังเลว่า “ครอบครัวขุนนางใหญ่เฉิง มิใช่ว่าเป็นตระกูลของ
ท่านหรอกหรือ”
นางจําได้ว่าเฉิงลู่ถูกตระกูลเฉิงถอดชื่อออกจากตระกูล
สีหน้าของเฉิงลู่ดูไม่ชอบใจ กล่าวขึ้นว่า “มีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ ตอนนั้นข้าประสบ
ความสําเร็จตั้งแต่อายุน้อย ตระกูลเฉิงกลัวว่าสายรองจะข่มสายตรง อีกทั้งกลัวว่าจะถูกคนที่เมือง
จินหลิงประณามว่าไม่สนับสนุนข้า ข้าเองก็ไม่ค่อยพอใจด้วยเหตุนี้เหมือนกัน ถึงได้เป็นปรปักษ์
กับตระกูลตัวเอง แต่สักวันข้าจะต้องกลับไป ไม่อาจหลบเลี่ยงพวกเขาด้วยเหตุนี้ได้”
แต่งงานกันมาระยะหนึ่งแล้ว เฉิงลู่แสดงออกอย่างทระนงมาโดยตลอด อีกทั้งเฉินซื่อมีพื้น
เพมาจากครอบครัวเล็กๆ จึงคิดเพียงว่าตระกูลบัณฑิตที่เจียงหนานเหล่านั้นก็คงล้วนแล้วแต่
เหมือนกับเจ้าของที่ดินผู้รํ่ารวยที่หมู่บ้านของพวกเขา ที่มีผืนดินสักหนึ่งหมู่สามเฟินก็กลัวว่าจะถูก
ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมาหาผลประโยชน์ นอกจากนี้เฉินลี่ช่วยให้เฉิงลู่ได้รับยศตําแหน่งกลับคืนมา
อีกครั้ง อีกทั้งเฉิงลู่ก็เป็นสามีของนาง นางจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ล้างหน้าล้างตาผลัดเปลี่ยน
อาภรณ์ ล้างมือจุดธูป เรียกบ่าวชายเด็กมาให้ไปเชิญพระผู้ให้การต้องรับของวัด พาสาวใช้คน
สนิทสองคนไปสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมที่วิหารใหญ่
เฉิงลู่ยิ้ม ไปที่ภูเขาด้านหลัง จากทางเดินเล็กๆ ตรงเขาด้านหลังลอดไปโผล่ที่บ่อปล่อย
ปลาที่อยู่ใกล้ๆ
หมิ่นเจียกําลังปล่อยปลาโดยมีบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่
ผู้คุ้มกันที่อยู่ใกล้ๆ สังเกตเห็นเฉิงลู่ ร้องเตือนเสียงดังว่า “ผู้ใดทําตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น?
ที่นี่มีสตรีอยู่ เชิญหลบออกไปเสีย!”
เฉิงลู่เดินออกมาจากพงป่ายิ้มๆ5184
รูปร่างสูงโปร่ง รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน แต่งกายแบบบัณฑิต อากัปกิริยาสบายๆ ทําให้
เสียงพูดของผู้คุ้มกันเหล่านั้นเบาลงหลายส่วนอย่างช่วยไม่ได้ “สตรีจากครอบครัวของขุนนาง
ใหญ่หยวนและขุนนางใหญ่เฉิงกําลังจุดธูปสักการะกันที่นี่ ขอเชิญคุณชายหลบออกไปก่อน!”
“ตระกูลเฉิงที่ซอยซิ่งหลินหรือ” เฉิงลู่เผยแววประหลาดใจออกมา มองหมิ่นเจียที่ถูกบ่าว
รับใช้ห้อมล้อมอยู่ตรงกลางพลางเอ่ยเสียงดังว่า “ใช่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลเฉิงหรือไม่ ข้ามีนามว่า
เฉิงเซียงชิง ส่งเทียบไปหลายครั้งแล้วท่านล้วนไม่สนใจ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับสะใภ้ใหญ่ที่นี่! นี่
ช่างเป็นโชคชะตาแล้วจริงๆ! ข้าไปหาท่านเพราะอยากคุยกับท่านเรื่องของเฉิงเจียซ่าน ท่านว่า
ท่านให้บ่าวรับใช้ข้างกายหลบออกไปครู่หนึ่งดีหรือไม่ แน่นอนว่า หากท่านคิดว่าเฉิงเจียซ่านไม่มี
เรื่องอะไรให้ต้องปิดบัง ข้าเองก็พูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าบ่าวรับใช้เหล่านี้ได้เช่นกัน”
หมิ่นเจียสีหน้าเขียวครึ้ม ในใจลอบรู้สึกเสียใจอย่างช่วยไม่ได้ หากรู้ก่อนว่าจะได้พบเฉิง
เซียงชิงผู้นี้ที่นี่ นางก็คงจะมาที่นี่พร้อมกับเซี่ยซื่อและสะใภ้เล็กที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ของตระกูลอู๋ผู้
นั้นไปแล้ว เพียงแต่ว่าพระผู้ให้การต้อนรับผู้นั้นกล่าวอะไรทํานองว่าราคาอยู่ที่ความจริงใจ จะให้ดี
ที่สุดคือให้ปล่อยปลาทีละคน ให้พระพุทธองค์ได้รู้ว่าเป็นความกตัญ�ูของผู้ใด…แต่ถ้าหากพวก
นางตามมาด้วยจริงๆ ด้วยนิสัยที่กัดไม่ปล่อยจะต้องพบนางให้ได้ของเฉิงลู่แล้ว รับประกันไม่ได้
เลยว่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง…ไม่มาก็ดีเหมือนกัน
นางลอบถอนใจอย่างโล่งอกครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเป็นสตรีในห้องหอผู้หนึ่ง ต่อให้เป็น
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสามีข้า เจ้าก็ควรจะไปหาสามีของข้าหรือไม่ก็พ่อสามีของข้าถึงจะถูก เจ้ามา
หาข้ามีประโยชน์อะไร”
เฉิงลู่หันไปค้อมตัวให้หมิ่นเจีย กล่าวขึ้นว่า “หากว่าสะใภ้ใหญ่ไม่ถือสา เช่นนั้นข้าก็จะพูด
กับสะใภ้ใหญ่ตรงนี้เลย”5185
หมิ่นเจียโกรธจนปลายนิ้วสั่นระริก แต่ยังคงอดทนไว้ไม่เผยความผิดปกติออกมาทางสี
หน้าเลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้มาเยือนถือเป็นแขก เชิญเฉิงซิ่วไฉเข้ามาดื่มชาในศาลา
สักจอกเถิด”
ผู้คุ้มกันและข้ารับใช้ต่างเลี่ยงออกมา ยืนไกลๆ อยู่รอบๆ บ่อปล่อยปลา
เฉิงลู่ยืนอยู่ตรงบ่อปล่อยปลากล่าวยิ้มๆ ว่า “สะใภ้ใหญ่เกรงใจมากไปแล้ว ข้าเองก็มีเรื่อง
พูดเพียงไม่กี่ประโยค พูดเสร็จก็จะไปเลย” เขารู้ว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นตรงนี้ไม่นานข่าวก็น่าจะ
แพร่ไปถึงหูของพวกคุณชายสองสามคนที่ตามมาด้วยแล้ว เขาจึงไม่กล้าชักช้า กล่าวอย่าง
ตรงไปตรงมาว่า “เดิมทีข้าและเฉิงสวี่เป็นสหายร่วมชั้นกัน แต่ข้าถูกตระกูลเฉิงใส่ร้ายจนถูกริบยศ
ตําแหน่งไป ทว่าเฉิงสวี่กลับสอบผ่านจิ้นซื่อได้อย่างราบรื่น เฉิงสวี่ไม่เพียงเรียนหนังสือเก่งกว่าข้า
ยังมีชาติกําเนิดดีกว่าข้า ตั้งแต่เล็กจนโตคนที่ข้าเกลียดชังที่สุดก็คือเขาแล้ว…”
เขาเปิดเผยความเกลียดชังที่มีต่อเฉิงสวี่ออกมาอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิดเช่นนี้ ทําให้
หมิ่นเจียที่รู้ทั้งรู้ว่าคําพูดต่อจากนี้ของเขาต้องไม่น่าฟังมากเป็นแน่ กระทั่งอาจจะไม่เป็นผลดีต่อ
ตัวเอง ทว่ายังคงอยากฟังต่อไปอย่างอธิบายไม่ได้
นางยังคงเงียบ
เฉิงลู่หัวเราะน้อยๆ
คนตระกูลใหญ่ตระกูลโตเหล่านี้ สิ่งที่ต้องการก็คือชื่อเสียงและเกียรติยศหน้าตา
ขอเพียงจับจุดนี้ได้ ย่อมจะประสบผลสําเร็จทุกครั้งไป
“สะใภ้ใหญ่น่าจะรู้จักโจวซื่อฮูหยินสี่ฉือกระมัง” สีหน้าเขาสลดหดหู่เล็กน้อย นํ้าเสียงก็
เปลี่ยนเป็นทุ้มตํ่าลง กล่าวว่า “ข้าเป็นสายรองของตระกูลเฉิง ทว่าเนื่องจากเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่
เล็ก จึงได้เข้าออกเรือนชั้นในของตระกูลเฉิงอยู่บ่อยๆ มีรักแรกแย้มกับโจวซื่อที่ติดตามพี่สาวมา5186
อาศัยอยู่ใต้ชายคาของตระกูลเฉิง เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก พวกเราทั้งสองรักใคร่กลมเกลียว
มารดาของข้าเองก็ชื่นชอบโจวซื่อยิ่ง เดิมทีตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่ข้าสอบได้ยศตําแหน่งแล้วจะ
ไปทาบทามเรื่องงานแต่งที่ตระกูลโจว ผู้ใดจะรู้ว่าเฉิงสวี่เองก็ถูกใจโจวซื่อด้วย…เขาเป็นหลานชาย
จากภรรยาเอกของจวนหลัก ข้าเป็นสายรองผู้ตํ่าต้อย โจวซื่อเป็นเด็กกําพร้า อีกทั้งหยวนซื่อยัง
ตามใจเขามาโดยตลอด…พวกข้าจะเอาชนะเขาได้อย่างไร…
…ไม่นาน ข้าก็ถูกหยวนซื่อไสส่งให้ไปเรียนที่สํานักศึกษาเย่ว์ลู่ พยายามแยกพวกเราออก
จากกัน”
หมิ่นเจียรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกับถูกฟาดด้วยสายฟ้าสายหนึ่งก็ไม่ปาน
นางรู้ว่าเฉิงสวี่ชอบโจวเสาจิ่น คิดไม่ถึงว่าเฉิงลู่ผู้นี้ก็ชอบโจวเสาจิ่นด้วยเช่นกัน…
หมิ่นเจียมองสํารวจสีหน้าของเฉิงลู่
เฉิงลู่มีท่าทางทั้งเจ็บปวดรวดร้าวและไร้ทางเลือก
โจวเสาจิ่นแต่งงานกับเฉิงฉือได้อย่างไรกันนะ
หมิ่นเจียนึกถึงคําพูดของเขาเมื่อครู่ พลันรู้สึกเห็นใจเฉิงลู่ขึ้นมาเล็กน้อย
“ถ้าหากแค่นี้ก็คงแล้วไปแล้ว” เฉิงลู่กล่าว ดวงตาล้วนแดงกํ่าขึ้นมา “ข้าสู้เฉิงสวี่ไม่ได้มา
ตั้งแต่แรก โจวซื่อแต่งกับเขาก็จะได้มีความสุข ข้าเองก็ช่างมันเสีย ทว่าหยวนซื่อรังเกียจที่โจวซื่อไร้
มารดา จึงดูถูกดูแคลนโจวซื่อ นางมุ่งมั่นปรารถนาจะสู่ขอบุตรสาวจากตระกูลใหญ่ให้เฉิงสวี่สัก
คนหนึ่ง จะได้ช่วยส่งเสริมเฉิงสวี่ในเส้นทางราชการของเขาได้ แต่ก็กลัวว่าเฉิงสวี่จะไม่ยอมและ
โวยวายขึ้นมาจนทําให้การลงสนามสอบของเขาต้องล่าช้า ด้านหนึ่งจึงใช้โจวซื่อเป็นเหยื่อล่อ บอก
ว่าขอเพียงเฉิงสวี่สอบเจี้ยหยวนได้ ก็จะไปทาบทามเรื่องแต่งงานที่ตระกูลโจวให้เขา อีกด้านหนึ่งก็
แอบไปทาบทามเรื่องงานแต่งกับตระกูลหมิ่นอย่างลับๆ กระทั่งจวนสี่รู้ว่าเงานแต่งระหว่างพวกข้า5187
ทั้งสองคนเป็นไปไม่ได้แล้ว ตอนที่คิดจะจับคู่โจวซื่อกับเฉิงอี้ญาติผู้พี่ของนางนั้น หยวนซื่อก็คิดจะ
ลงมือทําลายงานแต่งของโจวซื่อ…ถึงแม้ข้ากับโจวซื่อจะไร้วาสนาต่อกัน แต่ก็ไม่อาจทนมองจวน
หลักรังแกโจวซื่อเช่นนั้นได้!…
…ภายใต้ความเดือดดาล ข้าไปสอบถามเฉิงสวี่…
…เดิมคิดว่าเมื่อเฉิงสวี่ทราบเรื่องแล้วจะต้องวางมืออย่างแน่นอน…
…ผลปรากฏว่าเฉิงสวี่ไม่เพียงไม่วางมือ กลับตั้งใจจะข่มเหงโจวซื่อ คิดจะเปลี่ยนข้าวสาร
ให้เป็นข้าวสุก บีบคั้นให้โจวซื่อแต่งกับเขา บีบบังคับให้หยวนซื่อยอมตกลง…
…หยวนซื่อเป็นแม่สามีของเจ้า นิสัยของนางเจ้าย่อมกระจ่างแจ้งเป็นที่สุด…
…นางจะยอมได้อย่างไร…
…เวลานั้นผู้อาวุโสในบ้านล้วนไม่มีใครอยู่ คนของจวนหลักที่ตัดสินใจให้ได้ก็มีเพียงเฉิง
ฉือเท่านั้น…
…ตอนที่เฉิงฉือไปจัดการเรื่องนี้ ได้เห็นโจวซื่อ เขาถูกความงามของโจวซื่อทําให้ลุ่มหลง
ไม่สนความต่างของลําดับอาวุโส ไม่สนว่าหลานชายของตัวเองชอบโจวซื่อ บีบบังคับโจวซื่อมา
เป็นภรรยา…
…แม้นกล่าวว่าโจวซื่อเป็นดั่งนารีที่งดงามจนเป็นเหตุ แต่เฉิงฉือเฉิงสวี่อาหลานคู่นี้ ยังมี
หยวนซื่อสะใภ้เอกของตระกูลเฉิงผู้นี้ ก็ออกจะไร้ยางอายมากเกินไป…”
หมิ่นเจียยากจะปิดซ่อนความตระหนกเอาไว้ได้
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” หน้าผากของนางมีเหงื่อเล็กผุดออกมาเต็มไปหมด รู้สึกเสียใจครั้ง
แล้วครั้งเล่า โชคดีที่ตนทําอะไรก็ระแวดระวัง ไม่ได้ให้เขาตะโกนออกไป หากเขากล่าวเลื่อนเปื้อน5188
เช่นนี้ต่อหน้าคนของตระกูลอู๋ ตระกูลเหอและตระกูลหยวนล่ะก็ ชื่อเสียงของเฉิงฉือและโจวเสาจิ่
นคงจบสิ้นแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงเองก็คงจบสิ้นด้วยเช่นกัน