เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2979 หัวขโมย / ตอนที่ 2980 หอประมูล
ตอนที่ 2979 หัวขโมย
หาได้ยากที่จะเจอคนที่มีวรยุทธ์เหนือนาง หากไม่เอาเขามาซ้อมมือด้วยเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้ก็น่าเสียดายแย่
เหลิ่งหวาเห็นดังนั้น จึงเดินออกไปเรียกอาวุโสเหมยไปที่ลานประลอง
อาวุโสเหมยได้รับคำสั่งก็พึมพำออกมาอย่างจนใจ “จะซ้อมมืออีกแล้วหรือ นางสู้ข้าไม่ได้เสียหน่อย ฝึกซ้อมอย่างไรก็เหมือนเดิม” เขาส่ายหน้าขณะพูด แต่ก็ยังเดินไปที่ลานประลอง
เป็นอย่างเขาพูด เฟิ่งจิ่วสู้เขาไม่ได้จริงๆ ทั้งสองฝึกซ้อมกันทั้งบ่าย กระทั่งอาวุโสเหมยหอบด้วยความเหนื่อย “ไม่ไหวแล้วๆๆ ข้าไม่เอาแล้ว หากยังซ้อมต่อข้าคงต้องถวายชีวิตไปด้ว วยแล้ว คนแก่เช่นข้าจะเทียบกับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าได้หรือ? เทียบไม่ได้หรอก”
เขาเอ่ย พลางถอยหลัง “ข้าต้องกลับไปพักผ่อนก่อน” เอ่ยจบก็วิ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับทาน้ำมันไว้ใต้ฝ่าเท้า
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ สะบัดแขนทั้งสองข้างเป็นการยืดเส้น เช็ดเหงื่อบนหน้า รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว ไม่ได้ฝึกซ้อมอย่างเต็มที่แบบนี้มานานแล้ว เพียงแต่ระดับวรยุทธ์ต่างกันจริงๆ ความเร็ว ก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด การโจมตีของนางเหมือนจะช้ากว่าอาวุโสเหมยไปครึ่งก้าวเสมอ ทำให้ไม่สามารถโจมตีถึงตัวเขาได้สักครั้ง
แต่ว่า การฝึกซ้อมเช่นนี้ทำให้ท่าร่างและความสามารถในการหลบเลี่ยงการโจมตีมีพัฒนาการขึ้น ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
นางเดินไปที่ลานบ้าน ตั้งใจจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนอาวุโสเหมยหลังจากหนีออกมา บังเอิญเจอเหลิ่งซวงกำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ระหว่างทางกลับเรือน พอเห็นเหลิ่งซวง เขาก็ลูบหนวดพ พร้อมเผยรอยยิ้ม
“เหลิ่งซวงเอ๋ย! เจ้าอุ้มเสี่ยวห้าวเอ๋อร์ออกมาเดินเล่นอีกแล้วหรือ! ดีจริงๆ เจ้ายังไม่แต่งงานก็เลี้ยงเด็กเป็นแล้ว ต่อไปหากมีลูกของตนเองคงชำนาญแล้ว”
เหลิ่งซวงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ถามว่า “ท่านมาทำอะไรตรงนี้”
“ฮะๆ ข้าเพิ่งเป็นคู่ซ้อมให้คุณหนูเสร็จกำลังจะกลับเรือน! นึกไม่ถึงว่าจะเจอพวกเจ้า” เขายิ้มตาหยีขณะตอบ สายตาจับจ้องไปที่ตัวเด็ก บอกว่า “เจ้าตัวเล็กนี่เลี้ยงอย่างไรจึงได้อวบอ อ้วนเช่นนี้ ข้าเห็นแล้วก็เอ็นดูนัก อยากอุ้มเล่นสักครั้ง”
“นายท่านน้อยไม่ใช่ใครจะอุ้มก็ได้” เหลิ่งซวงบอก ก่อนจะอุ้มห้าวเอ๋อร์ที่กำลังหัวเราะเอิ้กอ้ากเดินผ่านเขาไป “ในเมื่อท่านจะกลับเรือน อย่างนั้นก็รีบกลับไปเถอะ! ข้ายังต้องพา นายท่านน้อยไปหานายท่าน ไม่มีเวลาคุยกับท่านตรงนี้”
“ได้ อย่างนั้นพวกเจ้าไปเถอะ!” เขาโบกมือ ยืนมองพวกเขาเดินห่างออกไปอยู่ที่เดิม กระทั่งเมื่อไม่เห็นเงาร่างของนางแล้ว เขาจึงค่อยลูบหนวดและเดินทอดน่องกลับไปที่เรือนของตนเอง
“ช่างเป็นบุญจริงๆ!” เขาพึมพำเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้น เพียงแต่ประโยคนี้ไม่มีใครได้ยิน และไม่มีใครรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
คืนวันเดียวกันนั้น อาวุโสเหมยเดินเอามือไพล่หลังลาดตระเวนไปทั่วจวน ปากก็ส่งเสียงพึมพำเป็นท่วงทำนองดนตรี ตอนที่เขาเดินไปถึงที่ประตูหลัง เห็นเงาร่างสองร่างลักลอบเข้ามาอย่างล ลับๆ ชั่วขณะที่พวกเขากำลังจะเหยียบเข้ามาในค่ายกล เขาก็โฉบพุ่งเข้าไปพร้อมกับสับฝ่ามือลงไปที่ทั้งสอง จากนั้นก็หิ้วร่างของสองคนนั้นที่หมดสติในพริบตาขึ้นมา
เขาดึงผ้าปิดหน้าสีดำของสองคนนั้นลง ก่อนจะหัวเราะในลำคอ “วรยุทธ์แค่นี้ก็ยังกล้าบุกเข้ามาในจวนนี้หรือ ไม่รู้จักกลัวตายกันเลยจริงๆ” เขาหิ้วคอเสื้อของสองคนนั้น จากนั้น ก็ลากออกไปอย่างอารมณ์ดี ตั้งใจว่าจะเอาสองคนนั้นไปขอรางวัลในวันพรุ่งนี้
เช้าวันต่อมา ขณะที่เฟิ่งจิ่วเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก นางเห็นอาวุโสเหมยลากคนชุดดำสองคนเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“เมื่อคืนข้าจับหัวขโมยได้สองคน คุณหนู ท่านว่าท่านควรเพิ่มสุราครึ่งจินให้ข้าในแต่ละวันหรือไม่” เขาถามด้วยสีหน้าตั้งความหวัง
………………………………….
ตอนที่ 2980 หอประมูล
“นี่เป็นหน้าที่ของท่านไม่ใช่หรือ เหตุใดยังมาขอสุราเพิ่มอีก?”
เฟิ่งจิ่วยักคิ้วมองเขาแวบหนึ่ง บอกว่า “อย่าลืมเล่า ใครเป็นคนบอกเองว่าให้อาหารกินให้ที่อยู่และสุราหนึ่งจินก็เพียงพอ ยังบอกอีกว่าไม่ปล่อยผ่านแม้แต่แมลงวันตัวเดียว ตอนน นี้แม้จะจับคนที่ลักลอบเข้ามาได้ ก็นับว่าเป็นหน้าที่ที่ท่านควรกระทำเท่านั้น”
“แต่เพิ่มสุราครึ่งจินก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้” เฟิ่งจิ่วเอ่ยยิ้มๆ “วันนี้ออกไปข้างนอกกับข้า เป็นคนขับรถให้ข้าก็แล้วกัน! กลับมาจะเพิ่มสุราให้ครึ่งจิน”
อาวุโสเหมยมุมปากกระตุก คิดในใจว่าสุราครึ่งจินก็จะให้เขาเป็นคนขับรถให้? เดาว่ามีแค่นางเท่านั้นที่พูดอย่างนี้ออกมาได้ ไม่ดูเสียบ้างเลยว่าเขามีวรยุทธ์ระดับไหน จะให้เขาเป ป็นคนขับรถให้นางหรือ?
นึกมาถึงตรงนี้ เขาถอนหายใจเบาๆ “ก็ได้! คนขับรถก็คนขับรถ จะออกไปเมื่อใดเล่า”
“อีกเดี๋ยวก็จะไปแล้ว” เฟิ่งจิ่วกล่าว
“อย่างนั้นก็ได้ ข้าไปจัดการหัวขโมยสองคนนี้ก่อน” อาวุโสเหมยว่า ก่อนจะลากสองคนที่หมดสติออกไป
เช้าตรู่ พวกเขาออกจากจวนไป เฟิ่งจิ่วพาไปแค่อาวุโสเหมยที่เป็นคนขับรถให้นาง ส่วนเหลิ่งหวาให้อยู่ดูแลจวน
ในเมืองสี่ทิศ กวางวิญญาณทองม่วงอันโดดเด่นสะดุดตาสองตัวกลายเป็นสัญลักษณ์ของเฟิ่งจิ่วกับเซวียนหยวนโม่เจ๋อ แม้คนในเมืองจะไม่ค่อยเห็นเซวียนหยวนโม่เจ๋อ แต่ก็รู้ว่าหากกวางวิญญ ญาณออกจากจวนมา ข้างในนั้นหากไม่มีเซวียนหยวนโม่เจ๋อนั่งอยู่ก็ต้องเป็นเฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่
รถลากสัตว์วิญญาณเคลื่อนผ่านในเมืองมาถึงหอสมบัติสวรรค์ เฟิ่งจิ่วลงจากรถก่อนหันไปพูดกับอาวุโสเหมยว่า “ท่านรอที่รถก็แล้วกัน!”
อาวุโสเหมยได้ยินก็ถามอย่างแปลกใจ “ไม่ต้องให้ข้าตามไปหรือ ฐานะอย่างเจ้าไม่มีคนติดตามไม่ค่อยดีกระมัง”
เฟิ่งจิ่วเม้มปากยิ้ม “แค่ในหอนี้เท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นได้เล่า ท่านรออยู่บนรถลากกวางวิญญาณนี่แหละ!” ขณะเอ่ย เฟิ่งจิ่วก็หมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน สาวรับใช้คนหนึ่งเดินออกมา าต้อนรับและพานางเข้าไปข้างใน จากนั้นก็พาไปนั่งตรงที่นั่งแถวแรก
ขนมอบชาวิญญาณรวมถึงผลไม้ต่างๆ ถูกยกมาวางบนโต๊ะ เฟิ่งจิ่วนั่งแถวแรก ที่นั่งด้านซ้ายและขวายังว่างเปล่า เพราะแสงสว่างที่นี่ค่อนข้างน้อย จึงรู้ว่าคนที่นั่งแถวแรกยังไม่มา
นางนั่งเอนพิงเก้าอี้ ดื่มชาวิญญาณและกินขนมว่าง นั่งมองคนทยอยเข้ามาในนี้ไปพลางๆ ไม่นานที่นั่งแถวแรกก็ค่อยๆ เต็ม
คนที่มาในวันนี้ส่วนมากเป็นคนต่างถิ่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยมีคนรู้จักเฟิ่งจิ่ว รู้เพียงว่า ท่ามกลางแสงสว่างอันเลือนราง หญิงสาวชุดแดงคนนั้นช่างงามสะคราญยิ่งนัก
สายตาพิจารณาจากรอบข้างไม่ได้ทำให้เฟิ่งจิ่วสนใจแต่อย่างใด อย่างไรเสียเรื่องอย่างนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยมาก จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนาง นางกำลังคิดว่า ของที่นำมาประมูลในครั้ง งนี้ไม่เลวเลยจริงๆ หากประมูลมาได้ก็จะประมูล หากประมูลมาไม่ได้ ก็ค่อยคิดหาวิธีอื่น
เทียบกับบรรยากาศคึกคักในหอประมูล ในอีกด้านหนึ่ง หลัวอวี่ที่กำลังนั่งพักริมถนนหยิบคันฉ่องขึ้นมาส่องหน้าตนเอง ครั้นเห็นว่าเริ่มบวมน้อยลงแล้ว แต่ตรงเบ้าตายังมีรอยเขียวช ช้ำอยู่ ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ตลอดทางนี้ ข้าได้แต่เดินแบกใบหน้าเช่นนี้อวดให้ผู้คนเห็น”
ฟั่นหลินที่อยู่ข้างๆ ยิ้มบางๆ “นี่ก็ดีขึ้นมากแล้ว เหลือแค่รอยช้ำเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้ตาบวมจนมองไม่เห็น”
“เจ้ายังจะมาพูดอีก! น่าโมโหจริงๆ พวกเราทุกคนพร้อมใจกันพุ่งเข้าใส่ เจ้ากลับถอยหลัง” หลัวอวี่มองใบหน้าที่ไร้รอยขีดข่วนของฟั่นหลิน ก่อนจะประชดประชันอย่างไม่พอใจ
ฟั่นหลินหัวเราะในลำคอ มองพวกเขาแวบหนึ่ง “ใครใช้ให้พวกเจ้าไม่เชื่อคำพูดของเหลิ่งหวาเล่า ข้าเชื่อใจเหลิ่งหวามาก เขาพูดขนาดนี้แล้ว ข้าย่อมไม่หาเรื่องลำบากให้ตนเอง”