ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 176 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-3
บทที่ 176 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-3
เถี่ยกวนอินปักกระบี่ทองลงบนพื้น
เขาหอบเหนื่อยพิงที่ด้ามดาบ
“เป็นอย่างไรบ้าง”
เถี่ยกวนอินเอ่ยถามเยี่ยเหว่ย
“จวนจะเสร็จแล้ว”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เขายกมีดตัดฟืนขึ้น และมองดูมีดด้วยสายตาเรียบเฉย
จากนั้นก็ใช้มือปาดคมมีดอีกครั้ง
“มา เริ่มกันเถอะ!”
เยี่ยเหว่ยกล่าวด้วยความตื่นเต้น
แต่เถี่ยกวนอินกลับโบกมือให้เขา
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
เยี่ยเหว่ยเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ข้าหิวแล้ว…กินข้าวก่อนได้หรือไม่”
เถี่ยกวนอินเอ่ยถาม
“ถ้าข้าให้อาหารเจ้า เช่นนั้นเจ้าจะมีแรงจัดการข้ามากขึ้นหรือ”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“เมื่อข้ากินอิ่มแล้วก็จะมีแรงจัดการเจ้ามากขึ้น”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่สามารถให้อาหารเจ้าได้ ข้าต้องการจบเรื่องนี้กับเจ้าตอนนี้เลย มีดของข้าก็เพิ่งลับเสร็จ ตอนนี้คือเวลาที่มันคมที่สุด”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ถ้าเจ้าต้องการจบเรื่องตอนนี้ ข้าก็ตามใจเจ้า แต่ข้าจะแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่แม้ว่าข้าจะแพ้ ใจข้าก็ไม่ยอมแพ้ สักวันข้าจะกลับมาหาเจ้าอีก!”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“แล้วถ้าให้เจ้ากินอิ่มแล้ว แต่ก็ยังแพ้อยู่อีกล่ะ”
เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม
“งั้นข้าก็ยังไม่ยอมแพ้เสียทีเดียว”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“เจ้าบอกว่าข้าแปลก ทั้งที่ตัวเองกำลังเล่นไม่ซื่อ!”
เยี่ยเหว่ยชี้หน้าเถี่ยกวนอินด้วยความโกรธ
“ดังสุภาษิตที่ว่า เรื่องเดียวกันไม่ควรเกิดซ้ำเกินสามครั้ง ถ้าข้ายอมแพ้ตั้งแต่ครั้งแรก จะไม่เป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งใต้หล้าหรอกหรือ”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“ที่นี่มีแค่เราสองคน คนทั้งใต้หล้ามาจากไหน”
เยี่ยเหว่ยถามกลับ
“โลกไม่ได้อยู่ที่ขนาดใหญ่เล็กหรือจำนวนผู้คน ถ้ามีเจตจำนง เจ้ากับข้าก็สามารถสร้างใต้หล้าของเราเองได้”
เถี่ยกวนอินกล่าว
หลังจากพูดจบเขาก็ส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ
เหมือนแปลกใจที่เยี่ยเหว่ยไม่เข้าใจแม้กระทั่งหลักการง่ายๆ เช่นนี้
“บางอย่างเจ้าก็พูดถูก…แต่เจ้าแน่ใจนะว่าไม่เกินสามครั้ง มีข่าวลือหนาหูว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่ยอมหยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“การไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเพราะข้ารู้ว่าเป้าหมายนั้นสามารถบรรลุได้จริง แค่ต้องใช้เวลาและพยายามหน่อยเท่านั้น แต่เรื่องระหว่างเราถ้าบรรลุไม่ได้ก็คือไม่ได้ ใช้เวลาและพยายามเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“แค่สามครั้งหรือ”
เยี่ยเหว่ยถามกลับ
“มากสุดสามครั้ง หรืออาจจะแค่สองครั้ง หรือแค่ครั้งเดียวก็เป็นไปได้!”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“คำพูดลอยๆ ไม่มีหลักฐาน เจ้าต้องสาบานด้วย!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“จะสาบานอย่างไร เราสองคนยังต้องใช้วิธีนี้ด้วยหรือ”
เถี่ยกวนอินยิ้มกล่าว
“ใช้สิ แม้วิธีนี้จะดูเด็กและธรรมดา แต่ข้าก็ชอบสิ่งที่เด็กและธรรมดาเช่นนี้”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“บังเอิญจริง ข้าเองก็ชอบ”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“ไม่ ข้าชอบมันจริงๆ เจ้าชอบเพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าเจ้าเหมือนข้า เจ้าก็จะไม่มาขอรับการสืบทอดจากข้า”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“เหตุใดเจ้าไม่พูดว่าเพราะเจ้าได้รับการสืบทอดมา ถึงได้กลายเป็น ‘ชอบจริงๆ’ ก่อนจะมีความธรรมดาสามัญมาก ต้องมีความสง่างามมากก่อน ก่อนจะโง่เขลามาก ต้องฉลาดมากก่อน ข้ายังไม่เคยมีความสง่างามหรือความฉลาดมาก่อน เหตุใดเจ้าถึงต้องการให้ข้าเป็นคนธรรมดาและโง่เขลาเสียเลยเล่า”
เถี่ยกวนอินกล่าว
ได้ยินเช่นนั้น เยี่ยเหว่ยก็ลูบคางตัวเอง ก้มหน้าลงเหมือนกำลังครุ่นคิด
“ได้ ข้ายอมรับว่าที่เจ้าพูดมีเหตุผล ข้าสามารถให้เจ้ากินข้าวได้ แต่เจ้าต้องสาบานก่อน”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“เจ้าต้องการให้ข้าสาบานอย่างไร”
เถี่ยกวนอินเอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้ เจ้าคิดเองเถอะ แต่ต้องเจาะจงหน่อยนะ!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“เช่นนั้นข้าก็จะสาบานว่าหากเกินสามครั้ง จากนี้ไปข้าจะไม่มีอะไรกิน”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“ได้! ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เถี่ยกวนอินจึงสาบานตามนั้น
ดึงกระบี่สีทองขึ้นจากพื้นแล้วยัดกระบี่เข้าฝัก
“ตอนนี้สามารถไปกินข้าวได้หรือยัง”
เถี่ยกวนอินเอ่ยถาม
“เจ้าอยากกินอะไร”
เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม
“ข้าอยากกินเต้าหู้แช่รังนก”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“ที่ร้านอาหารไม่มีน้ำแล้ว เจ้าไปตักน้ำที่บ่อในเมืองมาสองถัง ข้าจะกลับไปเตรียมการที่โถงหลังร้านก่อน”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“ได้!”
เถี่ยกวนอินตอบด้วยความยินดี
“จำไว้นะ โยนถังลงไปกวนหนึ่งครั้ง เพื่อให้สิ่งสกปรกบนผิวน้ำกระจายออกแล้วค่อยตักน้ำ ไม่เช่นนั้นน้ำจะรสชาติไม่ดี”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
“น้ำในเมืองจิ่งผิง ไม่ใช่ว่าหวานมากๆ หรอกหรือ”
เถี่ยกวนอินเอ่ยถาม
“ไม่ปฏิเสธว่าน้ำหวานอร่อยจริง แต่เจ้าต้องการกินเต้าหู้แช่รังนก ลิ้นของเจ้าจะลิ้มรสไม่ได้ถ้าน้ำมีสิ่งเจือปน แต่เต้าหู้ที่ทำออกมานั้นหลอกคนไม่ได้”
เยี่ยเหว่ยกล่าว
เถี่ยกวนอินพยักหน้าด้วยความคิดหลายอย่าง
เขาเปิดปาก เหมือนยังอยากถามอะไรอีก
แต่เยี่ยเหว่ยเหน็บมีดตัดฟืนไว้ที่เอวแล้ว
หันหลังกลับ ลากขาเดินไปยังร้านอาหาร
เถี่ยกวนอินจำต้องกลืนคำพูดที่จะพูดกลับลงไป จากนั้นเดินไปตักน้ำที่บ่อตามคำสั่งของเยี่ยเหว่ย
………………
ในหอทรงปัญญา
หลิวรุ่ยอิ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เปรียบเทียบแขนซ้ายกับมือของสี่พี่น้องที่เหลือของเบญจลักขีอย่างละเอียด
พบว่ามันตรงกันอย่างน่าตกใจ
ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างกระดูกหรือเนื้อเยื่อผิวหนัง ล้วนแล้วแต่เหมือนกันราวกับถูกสร้างมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่มั่นใจว่ามีคนจงใจสร้างความสับสนหรือไม่
แต่วิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการเปิดโลงศพ
เปิดโลงศพของเหลี่ยงเฟิน เพื่อตรวจสอบว่าแขนซ้ายของเขายังอยู่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ย่อมโดนสี่พี่น้องเบญจลักขีคัดค้าน
พวกเขาคิดว่าเหลี่ยงเฟินพี่ชายคนรองของพวกเขาตายอย่างน่าเวทนาแล้ว
เพิ่งจะฝังลงดินได้อย่างสงบ จะไปเปิดโลงอีกครั้งเพื่อรบกวนการหลับใหลของเขาได้อย่างไร
นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด
หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีความคิดหรือแผนใดๆ ในใจ
แต่เขากลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
เรื่องนี้ละเอียดอ่อนกว่าการเปิดโลงศพของเหลี่ยงเฟินมาก ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่ได้พูดออกมา
เพียงสงบนิ่งแล้วหันไปถามตี๋เหว่ยไท่
“ขอถามท่านประมุขหอตี๋ ในหอทรงปัญญานี้มีที่เก็บบันทึกหรือไม่”
“บันทึก? เจ้าหมายถึงบันทึกของบุคคลหรือเหตุการณ์”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม
“บุคคลกับเหตุการณ์ยังต้องแยกกันอีกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เพราะเหตุการณ์ล้วนเกิดจากการกระทำของคน
บุคคลและเหตุการณ์นั้นเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้วจะแยกกันได้อย่างไร
บันทึกในกรมสอบสวนกลางก็จัดแบ่งเช่นนี้
คิดไม่ถึงว่าหอทรงปัญญาจะแปลกประหลาดเพียงนี้
“บันทึกของบุคคลและเหตุการณ์นั้นแน่นอนว่าถูกแยกจากกัน ทว่าอยู่ในที่เดียวกัน เพียงแต่…”
ตี๋เหว่ยไท่ลังเลอยู่บ้าง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าตนถามคำถามนี้ออกมาเร็วเกินไป
ถึงอย่างไร บันทึกก็เกี่ยวข้องกับความลับมากมาย
หอทรงปัญญามีหลายเรื่องที่คนนอกไม่รู้ หรือเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้ล้วนถูกบันทึกไว้ในบันทึก
“ท่านประมุขตี๋ไม่ต้องใส่ใจ หากไม่สะดวกก็ถือว่าข้าน้อยทำตัวเสียมารยาทไปบ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
“ในเมื่อข้ามอบป้ายคำสั่งให้แก่เจ้า ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะใส่ใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่ข้าอยากรู้คือเจ้าต้องการเข้าดูบันทึกด้วยจุดประสงค์ใด”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม
“ข้ามีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมากะทันหัน เพื่อต้องการยืนยันบางอย่าง อย่างไรก็ได้รับความไว้วางใจจากท่านประมุขตี๋ ข้าจะทุ่มเทเต็มที่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
คำพูดนี้นับได้ว่าไม่มีช่องโหว่ใดๆ
ถึงขนาดทำให้ตี๋เหว่ยไท่รู้สึกเหมือนยกหินขึ้นมาทุบตัวเอง
เพราะตัวเขาเองได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อให้ป้ายคำสั่งแล้วก็หมายความว่าไม่กังวลอะไรทั้งสิ้น
การที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดตามน้ำไปเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
หลังจากที่ตี๋เหว่ยไท่บอกให้หลิวรุ่ยอิ่งทราบถึงที่ตั้งของบันทึกแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งจึงลาทุกคน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องการให้ทังจงซงเดินนำหน้าไปก่อน
เพราะสถานะของเขาพิเศษเกินไป
บางทีตี๋เหว่ยไท่อาจไม่ต้องการให้บันทึกของหอทรงปัญญาถูกเปิดเผยต่อหน้าศิษย์ของติ้งซีอ๋อง
ทว่าทังจงซงกลับไม่สนใจคำใบ้ของหลิวรุ่ยอิ่งแม้แต่น้อย
ราวกับผ้าปิดแผลแผ่นหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็จะตามไปด้วย
“ข้าก็จะไปด้วย!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
เหตุผลของนางนั้นง่ายดายและเพียงพอ
คนประหลาดพันผ้าที่แขนซ้ายหลุดออกทำร้ายนาง นางจึงเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเหตุผลที่นางควรจะไปสืบหาความจริง
หลิวรุ่ยอิ่งนวดหน้าผากตัวเอง
การเดินทางไปยังหอทรงปัญญาครั้งนี้มีผู้คนและอำนาจที่เกี่ยวข้องขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาเพียงแค่ต้องการหาความจริงว่าใครหรือองค์กรใดที่ต้องการมาชิง ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ของเขา
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแค่ตัวเขาและกรมสอบสวนเท่านั้น
แม้แต่อาณาจักรติ้งชีอ๋องและตระกูลโอวก็ถูกลากเข้าสู่ความยุ่งเหยิงนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม หลิวรุ่ยอิ่งยังจำคำที่เรียนรู้จากกรมสอบสวนได้
ยิ่งภาพลวงตามีความซับซ้อน ความจริงที่ซ่อนอยู่ยิ่งเรียบง่าย
ตอนนั้น หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่เข้าใจความหมาย
โชคดีที่เขายังมีคนที่สามารถสอบถามได้
ชายชราเลี้ยงม้าบอกเขา
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกนี้ก็เหมือนกับความมืดของเวลากลางคืน
มักจะมาถึงโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีวิธีใดที่จะป้องกันได้ เพียงต้องยอมรับมันอย่างผู้ถูกกระทำเท่านั้น
เมื่อก่อนนักรบผู้กล้ามักสวมใส่เสื้อคลุม
ขณะที่สะบัดเสื้อคลุมอย่างห้าวหาญ เขามักคิดว่าสามารถห่อหุ้มโลกทั้งใบไว้ได้
ชั่วขณะที่เสื้อคลุมถูกโบกสะบัด ใบหน้าของตนก็ยังกลายเป็นภาพเลือนรางได้
ต่อมาก็คิดว่าตัวเองข้ามผ่านและไม่กังวลเรื่องทางโลกอีกแล้ว
แต่แม้ว่าเสื้อคลุมนั้นจะประดับด้วยเพชรพลอยที่หรูหาและเจิดจรัสเพียงใด มันก็ไม่สามารถแข่งกับดวงดาวยามค่ำคืนได้
แต่ผู้คนมักคิดว่าสิ่งประดับเหล่านั้นคือดวงดาวในยามค่ำคืน
จึงมักจะหลงลืมตัวและตกอยู่ในกับดักโดยไม่รู้ตัว
เดิมควรจะเป็นการแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้าง มองดวงดาวที่พร่างพราวพร้อมอธิษฐานด้วยความปรารถนา
แต่กลับไปอธิษฐานผิดที่
ตนเองก็จะยิ่งหลงทางมากขึ้น
แต่จะมีคนบางคนเดินคนเดียวบนถนนยาวในเวลาที่ค่ำคืนเงียบสงบเพื่อสัมผัสถึงโลกมนุษย์
เขาจะหยุดนักรบผู้กล้าคนนั้น ใช้กระบี่ชี้ไปที่ปลายจมูกของเขา
สั่งให้เขาถอดเสื้อคลุมออก แล้วใช้กระบี่เลือกเพชรพลอยที่ส่องประกายบนเสื้อคลุมออกทีละเม็ด
เสื้อคลุมหายไปแล้ว
ความสว่างวาววับก็หายไปเช่นกัน
นักรบผู้กล้านั้นก็หนีไปแล้ว
เหลือไว้เพียงใบหน้าที่หลับใหลในยามค่ำคืน
เสียงกรนและเสียงพึมพำในความฝันที่ดังมาจากใบหน้าที่หลับสนิท
เขาหัวเราะอย่างมีความสุข
แต่เขาไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมา
เขาเพียงยิ้มน้อยๆ และเงยหน้าขึ้นมองทางฟ้าพร่างดาว
จนกระทั่งค่ำคืนสิ้นสุดลง
เขาถึงจากไป
ในคืนถัดไป จะมีนักรบผู้กล้าอีกคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น
แต่ผู้ที่สั่งให้ทำอาจจะไม่ใช่เขา
หลิวรุ่ยอิ่งถามชายชราเลี้ยงม้าว่าเขาเป็นใคร
ชายชราเลี้ยงม้าหัวเราะ
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านช่องว่างบนหลังคาคอกม้า
แล้วมองหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้ง
……………………………………………………………………….