ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 180 บทนำปรมาจารย์วรรณกรรม-1
บทที่ 180 บทนำปรมาจารย์วรรณกรรม-1
ตี๋เหว่ยไท่นั่งสบายๆ บนขั้นบันไดหน้าประตู
มือขวาวางอยู่บนเข่า
ปลายนิ้วชี้มีหยดเลือดสดที่ยังไม่แข็งตัว
เคราบริเวณขากรรไกรล่างก็มีรอยเปื้อนเลือด
ดวงตาของเขาไม่มีความเด็ดขาดเหมือนเก่า
กลายเป็นมัวหมองและสับสนกว่าปกติ
เมื่อก่อนทุกขณะล้วนเต็มไปด้วยความหวัง แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยความหดหู่
ตี๋เหว่ยไท่ยื่นมือเช็ดรอยเลือดออกจากเคราอย่างเบามือ
หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน
เสิ่นชิงชิวจากไปไร้ร่องรอย
คงจะออกเดินทางไปแล้ว
ก็ดีเหมือนกัน
ในที่สุดตี๋เหว่ยไท่ก็ระงับเรื่องกังวลใจมานานไปหนึ่งอย่าง
หากเขาไม่จากไป
ก็คงนั่งเงียบๆ อยู่ในบ้านผุพังบนแดนสุขสัญจร
สำหรับตี๋เหว่ยไท่แล้วก็ยังคงเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจ
ตอนนี้เขาจากไปแล้ว
ความคิดถึงนี้ก็ได้ขาดสะบั้นไปด้วย
ตี๋เหว่ยไท่เข้าไปในบ้านเพื่อล้างมือ แล้วตักน้ำขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะล้างหน้า
น้ำอยู่ในมือ
แต่เขาไม่เอาน้ำลูบไล้บนใบหน้า
แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับมองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในน้ำ
หยดน้ำไหลผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วทีละเล็กทีละน้อย
ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวและน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
ตี๋เหว่ยไท่เห็นแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมา
เขาจึงปล่อยมือ
ปล่อยให้น้ำที่เหลือทั้งหมดไหลลงอ่าง
ตี๋เหว่ยไท่มองดูน้ำในอ่างที่ค่อยๆ สงบลง
ดวงตาของเขาก็กลับมามีประกายเช่นในวันวาน
เพียงแต่มีความสุขุมลุ่มลึกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
แม้เขาจะมีความสุขุมเยือกเย็นในตัวเองมากพอแล้ว
แต่การที่มีความสุขุมเยือกเย็นของตัวเองมากขึ้นนี้ มันจะดีกว่าจริงหรือ
อย่างไรก็ตาม ความสุขุมลุ่มลึกนี้ ไม่ได้หมายความว่าจากนี้ไปตี๋เหว่ยไท่จะล้มเลิกความคิดเรื่องการวางแผนที่เสิ่นชิงชิวพูดไว้
กลับกัน มันจะทำให้การวางแผนเหล่านั้นมีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยากต่อการตรวจจับได้มากขึ้นด้วย
…………………
เซียวจิ่นข่านกดเบาๆ ที่หน้าผากของหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้ง
ภาพตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่งหายไปแล้ว
และสิ่งที่เห็นต่อจากนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าจริงๆ
แต่เบื้องหน้ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ดังนั้นสิ่งที่เขาเห็นก็มีแค่ใบหน้าของเซียวจิ่นข่านกำลังยิ้มให้เขา
“เขา…แพ้แล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยขึ้น
เขาใช้เวลาพอสมควรกว่าจะทำใจให้สบายขึ้น
เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นช่างน่าตกใจจริงๆ
เซียวจิ่นข่านไม่ได้ตอบ ยังคงทำท่าทางเป็นสัญญาณว่าห้ามพูด
จนกระทั่งช่วงเวลานี้
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกขาดแคลนทางภาษาและอักษร
แม้จะให้เขาพูด เขาก็ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบาย
“ชื่อ ‘เสิ่นชิงชิว’ ช่างไพเราะจริงๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“ก็แค่ชื่อเท่านั้น ไม่แบ่งว่าไพเราะหรือไม่ไพเราะหรอก”
เซียวจิ่นข่านหัวเราะเอ่ย
“พูดก็พูดเถอะ ทำไมเจ้าถึงชื่อว่า ‘จิ่นข่าน’”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่รู้สิ บิดามารดาตั้งให้ อาจจะเป็นเพราะพวกเขาหวังว่าข้าจะพูดเก่ง สามารถพูดคุยได้อย่างรื่นไหล และใช้คำที่เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้นกระมัง”
เซียวจิ่นข่านเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหัวไปมา
อธิบายเช่นนี้ก็พอเข้าใจได้
แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ใช้ตัวอักษร ‘ข่าน’ ในชื่อ
อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาของพ่อแม่มักจะมาจากใจบริสุทธิ์
ความหวังของพวกเขามักจะมีมากกว่าคนอื่น
แต่ความหวังที่มากเกินไปนั้น ถึงแม้จะเป็นการแสดงความห่วงใยและรักใคร่ บ่อยครั้งก็อาจนำไปสู่การกระทำที่ผิดพลาด
เพราะความหวังที่มากเกินไป บ่อยครั้งทำให้คนเราร้อนรน
จะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่สามารถพากเพียรจนบรรลุเรื่องยากๆ ได้แม้ตนจะมีกำลังน้อยเต็มที
แต่อีกนัยหนึ่ง ในโลกนี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถบรรลุได้ทันที
ต้องกินข้าวทีละคำ ใช้ชีวิตทีละวัน
ผลของการดึงต้นกล้าให้โต[1]นั้น ทุกคนต่างรู้ดี
แต่ก็มีไม่กี่คนที่สามารถต้านทานสิ่งเย้ายวนใจได้
พอพูดถึงชื่อขึ้นมา หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกว่าชื่อตัวเองแปลกประหลาดยิ่งนัก
และไม่สามารถอธิบายได้เลย
รุ่ยอิ่ง
‘รุ่ย’ หมายถึง ปัญญา
‘อิ่ง’ คือ เงา
เงาของปัญญา ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล
หากจะตีความให้มีความเกี่ยวข้องกันละก็ อาจพูดได้ว่าเงานั้นเกี่ยวข้องกับการสืบสวนของกรมสอบสวนกลางได้บ้างเล็กน้อย
แต่ในเวลาค่ำคืนนั้น ไม่มีเงา
ตามที่ชายชราเลี้ยงม้าเคยบอกไว้ ค่ำคืนนั้นบริสุทธิ์มาก
แต่ทำไมความบริสุทธิ์ของค่ำคืนถึงทำให้เราสูญเสียเงาไปล่ะ
หลิวรุ่ยอิ่งยังคงไม่เข้าใจ
กว่าจะรู้ตัว ก็ผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยชาแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งจมอยู่ในโลกของตัวเอง กระทั่งเสียงกระทบของโต๊ะและเก้าอี้ขณะที่เซียวจิ่นข่านลุกขึ้น ถึงทำให้เขาสะดุ้งกลับมาสู่ความเป็นจริง
“เจ้าจะไปที่ใด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“กลับห้อง”
เซียวจิ่นข่านตอบ
“จบทั้งอย่างนี้หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ดูเหมือนจะไม่อยากให้จบเพียงเท่านี้
“หรือเจ้าคิดว่าควรจะมีอะไรเกิดขึ้น”
เซียวจิ่นข่านหันมาพูดเบาๆ
“ข้าไม่รู้ เพราะข้าไม่เข้าใจพวกเขา”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหัวตอบ
“เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจพวกเขา”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แล้วทำไมเจ้าถึงให้ข้าดูล่ะ ข้าเดาว่าสองคนนั้นคงไม่อยากให้คนอื่นเห็นกระมัง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงอยากให้เจ้าดู แม้แต่ข้าเองก็ไม่ควรดูด้วยซ้ำ แต่ชั่วขณะนั้นราวกับมีอะไรดลใจให้ข้าต้องดู จึงต้องหาคนมาดูด้วย”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ดังนั้นเจ้าจึงมาหาข้า เพราะหาคนอื่นไม่ได้ หรือเพราะมันต้องเป็นข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เซียวจิ่นข่านพูดยิ้มๆ
เขาขบขันกับคำพูดของหลิวรุ่ยอิ่ง
ที่แท้ทุกคนต่างก็อยากที่จะมีความสำคัญ
แม้ว่าพวกเขาจะมีความสำคัญอยู่แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอ
มักรู้สึกว่าอยากจะมีความสำคัญยิ่งขึ้น
“แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างหลัง เป็นใครอื่นไปไม่ได้!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นก็เพราะต้องเป็นเจ้าเท่านั้นแหละ!”
เซียวจิ่นข่านตอบกลับ
“เจ้ารู้เรื่องพี่ใหญ่ของเบญจลักขีที่เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถามขึ้นอย่างกะทันหัน
เขารู้ว่าเซียวจิ่นข่านต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน
เขาพอจะเดาสถานะของเซียวจิ่นข่านได้
ถึงแม้ว่าจะไม่ชัดเจนนัก
แต่เขาก็เริ่มเห็นภาพรวมได้รางๆ
“ข้ารู้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ข้ารู้กระทั่งว่าทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไร เหตุและผลที่ตามมานั้นเป็นอย่างไร ข้าล้วนรับรู้”
เซียวจิ่นข่านหยุดไปชั่วขณะ แล้วกล่าวต่อ
“แต่เจ้าไม่สามารถบอกข้าได้ใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ
“ใช่ ในฐานะเพื่อนแน่นอนว่าข้าอยากช่วยเจ้า แต่หลายครั้งที่ข้าต้องยืนอยู่ข้างกฎเกณฑ์”
เซียวจิ่นข่านตอบ
“มีวิธีใดที่สามารถช่วยข้าโดยไม่ฝ่าฝืนกฎบ้างหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ
ทุกเหตุการณ์ก็เหมือนปลายเส้นด้ายเล็กๆ
หลิวรุ่ยอิ่งสามารถคว้าทุกปลายเส้นด้ายเล็กๆ ที่เขาพบเห็นได้
เดิมทีคิดว่าเพียงแค่ตามเงื่อนงำไป ดึงปลายด้ายเล็กๆ นี้ออกมา ความจริงก็จะปรากฏและทุกอย่างจะชัดเจน
แต่เขาไม่คิดเลยว่า ปลายด้ายเล็กๆ ที่เขาพบจะเป็นเพียงปลายด้ายสั้นๆ เท่านั้น…
พวกมันไม่มีความลับใดๆ ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย
ก่อนที่เซียวจิ่นข่านจะปรากฏตัว หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยคิดที่จะไปหาเขา
ถึงอย่างไรตนก็พูดไปแล้ว หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นจะไปดื่มสุรากับเขา
ตอนนี้กลับทำในสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ได้
แต่ตอนนี้กลับเป็นเซียวจิ่นข่านที่เดินหน้ามาหาเขาเอง
หากจะบอกว่าไม่รักษาคำพูด พวกเขาทั้งคู่ก็มีส่วนเท่าๆ กัน
ไม่มีใครที่ถูกทั้งหมด แต่ก็ไม่มีใครที่ผิดทั้งหมด
“เฮ้อ…”
เซียวจิ่นข่านถอนหายใจ
เขามองไปทางแดนสุขสัญจร
“ข้าจะไปถามอาจารย์ของข้าดู”
เซียวจิ่นข่านพูด
“อาจารย์ของเจ้า? เขาจะมีทางออกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ก็พูดยาก…แต่เมื่อเป็นอาจารย์ แน่นอนว่าต้องมีทางออกมากกว่าข้าอยู่แล้ว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แต่ช่วงนี้เขายุ่งมาก มีเรื่องที่ทำให้เขาสุข และก็มีเรื่องที่ทำให้เขาทุกข์ ดังนั้นข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะมีเวลามาคิดหาทางช่วยหรือไม่”
เซียวจิ่นข่านหยิบขวดสุราเล็กๆ ออกมาจากที่ไหนไม่รู้ ดื่มมันหนึ่งอึกพร้อมพูดขึ้น
จิ่วซานปั้นดวงตาเปล่งประกายขึ้นทันที!
เพราะน้ำเต้าสุรานี้ดูหรูหรากว่าของเขาเยอะ
เพียงแต่ขนาดของมันเล็กไปหน่อย
เน้นดูดีไม่เน้นใช้งาน
“ข้าดื่มไม่เก่ง ฉะนั้นขวดนี้พอดีสำหรับข้า!”
เซียวจิ่นข่านพูดกับจิ่วซานปั้น
ในขณะเดียวกันเขายังยกน้ำเต้าสุราขึ้น
“ฮ่าๆ หากจะวัดกันจากปริมาณสุราจริงๆ ใครจะใช้น้ำเต้าดื่มกันเล่า มันก็แค่เพื่อความสวยงามเท่านั้นแหละ”
จิ่วซานปั้นหัวเราะแล้วพูด
“แต่ข้าก็ยังจะไปถามอยู่ดี ถึงแม้ถามไปก็ใช่ว่าจะมีหนทางช่วย แต่หากไม่ถามก็แทบจะไม่มีโอกาสเลย”
เซียวจิ่นข่านเก็บน้ำเต้าสุราและพูดกับหลิวรุ่ยอิ่ง
“เช่นนั้นข้าจะรอข่าวจากเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
เขารู้สึกมีความหวังอีกครั้ง
“ไม่ต้อง เจ้าควรทำสิ่งใดก็ไปทำ”
เซียวจิ่นข่านตอบ
“มีเรื่องให้ทำเยอะแยะ…แต่ข้าไม่รู้จะเริ่มต้นจากไหนดี หรือบางทีอาจจะทำอะไรไม่ได้เลย”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดด้วยความสิ้นหวัง
“เพื่อนของเจ้ายังรอเจ้าอยู่ในบ้าน คืนนี้เจ้าไม่ได้มีนัดกับฉางอี้ซานที่จะไปร่ำสุรากันที่หอจันทร์กระจ่างหรอกหรือ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรทำและสามารถทำได้”
เซียวจิ่นข่านพูด
“ข้ากลับลืมพวกนางสองคนไปเสียแล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งตบศีรษะตัวเองพลางลุกขึ้นพูด
เขาลืมสนิทว่าเขายังมีเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลอยู่ที่บ้านของเขา
“มีคำกล่าวว่า ‘ความรักที่มากเกินพอดีอาจเป็นภาระกับหญิงงาม’ ความรักของเจ้าก็ไม่มาก เจ้าถึงกับเป็นคนขี้ลืมและไร้หัวใจเชียวหรือ”
เซียวจิ่นข่านพูดหยอกล้อ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกอายไม่น้อย
เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
เขาแค่ประสานมือ ถือเป็นการอำลา
แล้วรีบวิ่งกลับไปยังที่พักของตน
“สองคนนั้นเป็นใคร”
โอวเสี่ยวเอ๋อถาม
“เอาเป็นว่างามมาก ล้วนเป็นหญิงงามทั้งคู่!”
ทังจงซงตอบ
“เหอะ…”
โอวเสี่ยวเอ๋อส่งเสียงจากจมูกเบาๆ
สตรีทุกคนล้วนมีใจที่รักในความงามและชอบเปรียบเทียบกัน
เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในกระดูกและเลือด
แม้แต่โอวเสี่ยวเอ๋อที่มีจิตใจกว้างขวางกว่าบุรุษก็ไม่เว้น
นางเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
อยากจะไปดูว่าสองหญิงงามเพื่อนของหลิวรุ่ยอิ่งจะงดงามเพียงใด
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยพบกันแล้ว แต่ตอนนั้นจิตใจของโอวเสี่ยวเอ๋อกลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่นั่น
จำได้เพียงสีของอาภรณ์ที่สวมใส่โดยรวม ส่วนลักษณะคิ้ว ตา จมูก เหล่านี้กลับไม่มีอยู่ในหัวเลย
…………………
เมื่อตี๋เหว่ยไท่เดินออกมาจากห้องด้านใน
เปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ทั้งหมด
เขาสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีน้ำตาลแดงหรูหรา ปักลวดลายมังกร
คาดเข็มขัดกว้างสีฟ้าครามรอบเอว ปักลายหงส์อย่างวิจิตร นอกจากนี้ยังห้อยประดับด้วยหยกแขวนสามแผ่น
หยกแขวนที่อยู่ทางด้านซ้าย สลักภาพเด็กหลายสิบคนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน
กลุ่มเด็กอ้วนหัวโล้นที่สวมเพียงผ้าเตี่ยว กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานในลานใหญ่ บรรยากาศรื่นเริงไม่น้อย
หยกแขวนที่อยู่ทางด้านขวา สลักภาพทิวทัศน์ในสารทฤดูของแดนสุขสัญจร
แม่น้ำไหลสี่ฤดูกำลังไหลเอื่อยอย่างสงบ ขณะที่เขาพันยอดหมื่นเริ่นยังคงทะยานขึ้นสู่ก้อนเมฆ
หญ้าเขียวชอุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน
แต่ยังมีใบไม้บางส่วนที่ปลายกิ่งไม้ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งขัน ไม่ยอมร่วงหล่น
………………………………………………………..
[1] ดึงต้นกล้าให้โต หมายถึง การพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือรีบร้อนเร่งให้งานใดๆ สำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิด จนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา