ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 247 ชัดเจนทุกสิ่ง-1
บทที่ 247 ชัดเจนทุกสิ่ง-1
ทุกคนล้วนต้องการค้นหาสภาวะที่สบายที่สุด
แต่สภาวะที่สบายไม่จำเป็นต้องเหมาะสมกับตน
ความสบายของบางคนคือการนอนนิ่งไม่ไหวติง
ทว่าบางคนกลับหมกมุ่นอยู่กับงานที่ยุ่งเหยิง
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่นับว่าเป็นความสบายอย่างแท้จริง
อย่างมากก็เพียงดีเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นนิ่งสงบเย็นชาหรือความกระตือรือร้นเร่งรีบ
หรืออาจเป็นทั้งสองสิ่งรวมกัน
หลิวรุ่ยอิ่งตั้งสติ
ไม่อยากรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกเหล่านั้น
เขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
ความเหนื่อยประเภทนี้ไม่ได้เป็นความเหน็ดเหนื่อยทางกาย
แต่เป็นจิตวิญญาณและหัวใจ
ว่ากันว่าร่ำสุราเพื่อคลายความเหนื่อยล้า
แต่ยามที่ความเหนื่อยล้าแท้จริงมาเยือน กลับไม่อยากดื่มสุราแม้เพียงอึกเดียว
ไม่มีทางคลายความเหนื่อยล้าได้
หลิวรุ่ยอิ่งยืนขึ้นและเหยียดแขน
เหลือบมองเซียวจินข่านที่ยังคงจมอยู่ในภวังค์
เขากำลังจะจากไป
เพราะเดิมนี่ก็เป็นที่พักของเขาในหอทรงปัญญา
ที่เขาจะจากไปคือหอทรงปัญญาต่างหาก
ยามที่ออกจากสถานที่แห่งหนึ่งมักจะทำใจไม่ได้และทอดถอนใจเล็กน้อย
น่าเสียดายที่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้อาวรณ์
มีเพียงทอดถอนใจ
“ในที่สุดก็จะไปแล้วหรือ”
เซียวจินข่านเอ่ยอย่างกะทันหัน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเขาถูมือบนร่างกาย
เช็ดเม็ดเหงื่อเหล่านั้นบนเสื้อผ้าอาภรณ์
ทำให้สีของอาภรณ์พลันเข้มขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
ไม่เอ่ยคำใด
รู้มานานแล้วว่าเขากล่าวลาไม่เก่ง
ดังนั้นการตอบรับอย่างเงียบๆ ในเวลานี้จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาถือกระบี่ในมือ
นิ้วโป้งถูไถด้ามกระบี่ซ้ำๆ
ในใจประหม่ายิ่งนัก
แม้ว่าผู้พูดจะเป็นเซียวจินข่านก็ตาม
ผู้ที่เขาสนิทจนไม่อาจสนิทไปได้มากกว่านี้
แต่ไม่ว่าจะสนิทเพียงใด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาก็ยังประหม่า
เขาสามารถคำนวณทุกสิ่งได้อยู่แล้ว
คำนวณว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะไปเมื่อใด กระทั่งคำนวณว่ายามเขาจากไปจะไม่เอ่ยคำใดหรือเอ่ยคำใดออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเขาคำนวณไว้แล้ว
แต่หนนี้ หลิวรุ่ยอิ่งคิดเอาเองฝ่ายเดียว
เซียวจินข่านไม่ได้คำนวณ
สติของเขาเพิ่งกลับจากการต่อสู้ระหว่างตี๋เหว่ยไท่และเสิ่นชิงชิวทั้งสองคนเมื่อครู่นี้
“ผลลัพธ์เป็นเช่นไร”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
จนแล้วจนรอดเขาก็เอ่ยปาก
ทว่าคำถามประโยคนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เซียวจิ่นข่านเอ่ยไปก่อนหน้านี้
“เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เซียวจิ่นข่านย้อนถาม
เขาระบายยิ้ม ไม่ตอบทันที แต่ยึกยักลีลา
หลิวรุ่ยอิ่งก็หัวเราะเช่นกัน
ความประหม่าก่อนหน้านี้หายไปพร้อมกับรอยยิ้มนี้
เขารู้เจตนาของเซียวจินข่าน
หลายประโยคที่ไร้แก่นสารไม่เป็นความจริง อันที่จริงหลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกเสียใจอยู่หลายส่วน
“ข้าไม่รู้ แต่ดูจากสีหน้าเจ้า คำตอบน่าจะถูกใจเจ้ายิ่งนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่นับว่าพึงพอใจ บอกได้เพียงไม่ผิดหวังกระมัง…”
หากกล่าวว่าพึงพอใจยากเกินไป
เช่นนั้นไม่ผิดหวังจะไม่ยากยิ่งกว่าหรือ
ความคาดหวังสูงต่ำของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
ทว่าอาศัยความเข้าใจต่อเซียวจิ่นข่านของหลิวรุ่ยอิ่ง ความคาดหวังของเขาต้องสูงมากเป็นแน่
อย่างน้อยก็สูงยิ่งกว่าตน
เดิมหลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นคนที่มีความคาดหวังสูงมาก
ดังนั้นตอนจบที่ทำให้เซียวจิ่นข่านรู้สึกไม่ผิดหวังย่อมต้องสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง
“นี่ถือเป็นเรื่องดี นับว่าเป็นความสุขใจถ้วนหน้าก่อนที่ข้าจะไป”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แม้ว่าท้ายที่สุดหอทรงปัญญาจะเป็นเช่นไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แต่เขารู้สึกว่าตนควรจะกล่าวกับเซียวจินข่านให้มากหน่อย
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดใด ทั้งสองสามารถโต้ตอบประโยคไปเรื่อยๆ ก็พอ
เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดจริงๆ
ดังนั้นทำได้เพียงแค่ยกเรื่องนี้ขึ้นมา
“สุขใจถ้วนหน้าหรือ เกรงว่าจะมีบางคนยินดีโดยเปล่าประโยชน์”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ครั้นหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินประโยคนี้ ความสนใจพลันกลับมาอีกครั้ง
คิดไม่ถึงว่าจะกลับมานั่งที่โต๊ะอีกครั้ง
พร้อมกับเอียงศีรษะด้วยความสนอกสนใจ รอคำพูดต่อไปของเซียวจินข่าน
“เจ้าจะไปแล้วไม่ใช่หรือ”
เซียวจินข่านกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ข้าจะไป แต่เจ้ายังพูดไม่จบเลยนี่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“คนจะไป ไม่มีทางใส่ใจคำพูดผู้อื่น”
เซียวจินข่านรินสุราให้ตนเอง แต่ไม่รีบร้อนกระดกมัน
“เพียงได้ยินคำพูดที่ข้าสนใจโดยบังเอิญต่างหาก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างสบายๆ
“เจ้าสนใจสิ่งใด”
เซียวจิ่นข่านถาม
“อย่างน้อยข้าก็ไม่เหมือนเจ้าที่เอาแต่สนใจดื่มสุรา”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้จอกสุราตรงหน้าเซียวจิ่นข่านพลางกล่าว
“แต่ตอนนี้เจ้าก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการดื่มสุราก็เป็นสิ่งที่เจ้าโปรดปรานอย่างหนึ่ง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ไม่ พอกลับเมืองหลวง ข้าจะเลิกสุรา เรื่องนี้ก็เคยพูดไปแล้ว เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าจำไม่ได้จริงๆ แต่ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าตอนที่เจ้าพูด ข้าอยู่ที่นั่นหรือไม่”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เขายกจอกสุราขึ้นมาจิบ นี่ช่างดูไม่เหมือนท่าทีที่เขาดื่มสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งมองเขาดื่มสุราเช่นนี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความขบขัน
“เหตุใดจึงดื่มสุราจอกนี้เฉกเช่นสตรีไปได้เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยค่อนแคะ
เซียวจินข่านไม่เอ่ยวาจา เพียงจิบเงียบๆ อีกครั้งแล้ววางจอกสุราลง
“สตรีดื่มสุรา ไม่เพียงจิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือท่าทีเขินอาย เมื่อครู่เจ้าเห็นว่าข้ามีท่าทีเอียงอายงั้นหรือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
“ไม่มี…”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดอย่างจริงจังอีกครั้งแล้วกล่าว
จริงอยู่ที่ว่าเซียวจินข่านจิบสุรา แต่ไม่ได้แสดงความเขินอายใดจริงๆ
ครั้นกล่าวเช่นนี้แล้ว ผู้ใดกำหนดว่าการจิบสุราจึงเป็นสตรีไร้เหตุผลเล่า
สองจิบของเซียวจินข่านเมื่อครู่แม้จะไม่องอาจผึ่งผาย แต่ก็ใจกว้างอย่างยิ่งจริงๆ
“ดังนั้น สุรานี้ไม่ว่าจะดื่มอึกใหญ่หรือแค่จิบ วีรบุรุษก็ย่อมเป็นวีรบุรุษ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
นี่ช่างเป็นการยกยอตนเองที่หาได้ยากของเขา
“ขอรับท่านวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เพียงแต่วิธีดื่มเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจนถึงรุ่งเช้าก็ยังไม่เมาหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามแกมขบขัน
“ไฉนต้องดื่มจนเมา เหตุใดต้องดื่มจนถึงรุ่งเช้า”
เซียวจิ่นข่านย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งตะลึงงัน
มันก็เป็นเช่นนี้จริงๆ
ก่อนหน้านี้ เขาคิดมาตลอดว่าการดื่มสุราปรารถนาจะดื่มให้เมา
“ผู้ที่ปรารถนาการเมากับผู้ที่ปรารถนาการตายเหมือนกันทุกประการ หากไม่มีเรื่องทุกข์โศกมากเกินไป ก็ต้องไร้ความกังวลระดับหนึ่ง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ผู้ที่ไร้กังวลเหตุใดจึงปรารถนาการตายเล่า”
หวาหนงถามแทรกกะทันหัน
เขาออกจากป่ามายังโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก
แม้เขาจะเข้าใจทุกคำที่เซียวจินข่านเอ่ย แต่กระจ่างแจ้งในความหมายช่างยากนัก
“เพราะผู้ที่ไร้กังวลไม่มีสิ่งใดต้องทำ เมื่อไม่มีสิ่งใดต้องทำ จึงรู้สึกว่ามีชีวิตต่อไปเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์อย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงปรารถนาความตาย อย่างไรเสียก็ไม่มีสิ่งใดต้องทำอยู่แล้ว”
เซียวจินข่านแบมือพลางกล่าว
“ข้ายังอยากฟังเรื่องเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาเคาะข้อนิ้วบนโต๊ะเบาๆ
สำหรับเขาแล้วหลักการเหล่านี้มีหรือไม่มีย่อมได้
ยามที่ร่ำสุราก็พูดๆ ไปเท่านั้น
แต่เรื่องที่เขาใส่ใจจริงๆ ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตี๋เหว่ยไท่และเสิ่นชิงชิว
“ข้าก็พูดแล้วว่าไม่ผิดหวัง”
เซียวจินข่านกล่าวเสียงสูง
หากเป็นผู้อื่น ย่อมเข้าใจความหมายโดยนัย
นั่นก็คือเซียวจิ่นข่านไม่เต็มใจกล่าวถึงเรื่องนี้ให้มากความ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งต่างออกไป
อย่างแรก ความสัมพันธ์ของเขากับหลิวรุ่ยอิ่งต่างจากผู้อื่น
อย่างที่สอง ผลลัพธ์ของเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับเขายิ่งนัก
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาล้วนต้องตีหม้อดินให้แตกแล้วถามจนถึงที่สุด
ประโยค ‘ไม่ผิดหวัง’ ง่ายๆ ของเซียวจินข่านไม่อาจทำให้เขาพอใจได้
“ไม่ว่าจะวิหารหรือยุทธภพ ตอนจบของเรื่องราวมีเพียงไม่กี่ตอนเท่านั้น”
เซียวจินข่านเห็นท่าทียืนกรานของหลิวรุ่ยอิ่งจึงปริปากเอ่ยอีกครั้งอย่างจำยอม
“จริงอยู่ที่มีไม่กี่ตอนพวกนั้น…อีกอย่างผู้คนบนโลกมักจะเลือกคำพูดที่น่าฟังเสมอ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
บัณฑิตคนใดเสียชีวิตในสนามรบบ้างเล่า
วีรบุรุษถูกคนเข้าใจผิดจึงฆ่าตัวตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์บ้างล่ะ
สุดท้ายองค์ชายไร้เทียมทานใช้ชีวิตเพียรศึกษาอยู่ในวิหารเทพ
ความรักชาตินี้ดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุดลงแล้วก็ไม่อาจมาบรรจบกันได้
มีเพียงตอนจบเหล่านี้เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเกลียดชัง ความเห็นใจ หรือกลลวงอุบาย
หลังจากเปลี่ยนแปลงหลายครั้งหลายหนจนดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุด
ไม่ว่าเรื่องราวจะน่าตื่นเต้นเพียงใด ก็รอจนถึงช่วงเวลาสิ้นสุดเช่นกัน
แต่เรื่องราวจบลงแล้ว ยุทธภพยังอยู่ วิหารยังอยู่และผู้คนยังอยู่เช่นเดิม
ตราบใดที่มีผู้คนย่อมมีช่องทาง และย่อมมีจุดเปลี่ยนอยู่เสมอ
ไม่ว่าจุดเปลี่ยนจะดีหรือร้าย ล้วนทำให้ผู้คนสะเทือนใจ
“กระบี่ของเสิ่นชิงชิวเป็นกระบี่ยาวธรรมดา แม้ว่าจะยาวสักหน่อยแต่ก็หลอมจากเหล็กธรรมดาเท่านั้น พู่กันของตี๋เหว่ยไท่ก็เป็นเพียงพู่กันธรรมดา อาวุธของทั้งสองล้วนไม่มีเส้นสนกลในใดๆ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“คิดดูแล้วเขาทั้งสองไม่จำเป็นต้องพึ่งอาวุธแย่งชิงความเหนือกว่ากระมัง…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ก็ไม่แน่ทีเดียว!”
เซียวจินข่านไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้นัก
“อย่างไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“หากตี๋เหว่ยไท่ใช้พู่กันยามปกติของตน ส่วนเสิ่นชิงชิวใช้กระบี่ในมือเจ้า หรือระหว่างพวกเขาทั้งสองมีเพียงคนหนึ่งที่เปลี่ยนอาวุธ ตอนจบจะไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ดังนั้นเสิ่นชิงชิวพ่ายแพ้แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวยืนยัน
เขาคิดว่านี่เป็นความหมายที่เซียวจิ่นข่านจะสื่อ
“เจ้าเคยพบเสิ่นชิงชิวมาก่อนหรือไม่”
เซียวจิ่นข่านกล่าวถาม
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
“ตาเฒ่านั่นพิลึกและสกปรกมากอีกต่างหาก ทว่าตบะวิถียุทธ์สูงจนน่าขัน…ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดอาศัยแรงนิ้วหักกระบี่ทองคำของอาคันตุกะชุดแดงได้ราวกับหักตะเกียบมาก่อน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเขาเก่งกาจเพียงนี้ เหตุใดจึงตัดสินว่าเขาพ่ายแพ้เล่า”
เซียวจิ่นข่านย้อนถาม
“เจ้าเลิกอ้อมค้อมเสียทีได้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งร้อนรนเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการฟังคำตอบสุดท้ายตรงๆ
แต่เซียวจินข่านกลับเมินเฉย
เพียงอ้อยอิ่งตามจังหวะของตนและกล่าวต่อ
“คนมอมแมม อาบน้ำเสียหน่อยก็สะอาดแล้ว แต่หากจิตใจสกปรก เจ้าจะมีหนทางใดได้”
“ไม่รู้…แต่ไม่อาจควักออกมาล้างให้สะอาด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ย่อมเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจิตใจสกปรกก็นับว่าไร้ยารักษา ไม่มีทางรักษาได้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ดังนั้นตี๋เหว่ยไท่พ่ายแพ้แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งชิงพูด
เขารีบร้อนเกินไปจริงๆ
เซียวจินข่านหัวเราะพลางส่ายศีรษะ
เอือมระอากับสหายผู้นี้ของตนยิ่งนัก
………………………………………………………….