ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 428 คู่แค้นในสถานการณ์ราบรื่น-2
บทที่ 428 คู่แค้นในสถานการณ์ราบรื่น-2
……….
เขาไม่เคยสนใจเสียงนกเสียงแมลงรอบกาย
และจะไม่หยุดยืนเพื่อดอกไม้บอบบางหรือสตรีงดงามคนใด
นัยน์ตาเห็นเพียงชามข้าว กาสุรา เตียงนอนและกระบี่
แต่ก็เพราะเหตุนี้เถ้าแก่ถึงรู้สึกแปลกใจนักที่คืนนี้เขานอนฟุบอยู่บนพื้นตามสะดวกเช่นนี้
ปกติตอนเขาดื่มเยอะแล้วมักจะพูดประโยคหนึ่งก่อน
“นี่ ข้าดื่มเยอะแล้ว!”
ถือว่าร้องทักแล้ว จากนั้นวิ่งไปขุดหลุมเล็กๆ บนพื้นที่ว่างหลังบ้านด้วยฝักกระบี่ แล้วก็เค้นคออาเจียนของในกระเพาะออกมารวดเดียวหมด
บ้วนปากเสร็จแล้วก็กลบหลุมเล็กนี้อีกครั้ง
ตอนฟ้าสาง เถ้าแก่เหลือบไปมองด้านหลังแล้วเห็นหลุมดินกับกองดินเล็กๆ จำนวนมาก
คนไม่รู้ยังนึกว่าดินผืนนี้มีหนูทำรังมากมาย
รายละเอียดเหล่านี้ เมื่อก่อนเถ้าแก่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร
ตอนนี้คิดถ้วนถี่ คนที่บอกว่าตัวเองเมาจะเมาจริงได้อย่างไร
แล้วคนที่ตั้งใจเค้นคออาเจียนจะอยากเมาจริงๆ ได้อย่างไร
แต่ถ้าเขาไม่เมา เหตุใดต้องบอกว่าตัวเองเมา
ถ้าเขาไม่อยากเมา เหตุใดต้องดื่มสุราด้วย
และทำไมวันนี้เขาถึงเมากะทันหันเช่นนี้…
เถ้าแก่พลันรู้สึกไม่เข้าใจเพื่อนผู้นี้เลยสักนิด
หากคนทำเรื่องขัดกับนิสัยผิดไปจากเดิม ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน
แต่เถ้าแก่รู้เพียงเพื่อนของตนชอบดื่มสุรา เย็นชาและเคร่งขรึมนัก นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย
เขาอาจมีชีวิตขมขื่นยิ่ง เขาอาจมีคนที่รักลึกซึ้งแต่ไม่อาจครอบครอง
เหล่านี้เถ้าแก่ไม่รู้เลย
เถ้าแก่คิดถึงตรงนี้แล้วหายใจยืดยาว
เคราะห์ดีคืนนี้เขาดื่มเยอะ
ไม่ได้พรวดพรวดบอกเป็นสหายกับเพื่อนของตน
ไม่เช่นนั้นถูกปฏิเสธยังเป็นเรื่องเล็ก
ถ้าเกิดเพื่อนตอบรับจริง เถ้าแก่กลับจะรู้สึกผิดนัก
เพราะคำว่าสหายไม่เหมาะใช้กับเขาสองคนอย่างแท้จริง
แต่จู่ๆ ให้เพื่อนที่เย็นเยือกดั่งดวงจันทร์ เยียบเย็นดุจหิมะเมาเละเต็มที่สบายใจเฉิบเช่นนี้จะไม่ขัดแย้งไปหน่อยหรือ
เถ้าแก่พลันรู้สึกสนใจอดีตของเพื่อนผู้นี้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กระเด้งตัวทีหนึ่งลุกขึ้นจากเตียงเล็กที่ต่อรวมกัน
จากนั้น ‘เตียงเล็ก’ นี้ก็ค่อยๆ พังลงเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
เถ้าแก่ทนกลิ่นสุราฉุนจมูกกลับเข้าบ้านอีกครั้ง
เขาเปิดตู้ของเพื่อนและดึงลิ้นชักออกมา
แต่กลับว่างเปล่า
ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับความเข้าใจที่เขามีต่อเพื่อนของตน
อย่างไรในตู้ของเขาก็มีเสื้อผ้าเปลี่ยนสองสามชุด ยังมีรองเท้าใหม่คู่หนึ่งที่เพิ่งซื้อเมื่อวานซืน
แต่ที่เพื่อนไม่มีอะไรเลย
ต่อมาเถ้าแก่จึงนึกได้ว่าเพื่อนเหมือนไม่เคยเปลี่ยนชุด
ตอนเสื้อบนกายสกปรกจนสวมไม่ได้และส่งกลิ่นเหม็นจางๆ เขาก็จะไปซื้อตัวใหม่ในตลาดมาเปลี่ยน
แม้การเปิดตู้และดึงลิ้นชักของเพื่อนไม่ใช่สิ่งที่ดี
แต่ตอนนี้อารมณ์หดหู่ในใจเถ้าแก่กลับมีมากกว่าความละอายใจเยอะ
วันรุ่งขึ้นเถ้าแก่ยังคงตื่นขึ้นมาบนเตียงเล็กที่รวมเข้าด้วยกันของตน
เพื่อนไม่อยู่ในบ้าน
กาสุราที่ดื่มหมดเมื่อคืนถูกเก็บกวาดสะอาดหมดจด
เถ้าแก่รีบวิ่งไปหลังบ้าน เห็นมีกองดินใหม่เพิ่มบนพื้นที่ว่างดังคาด
ดูขนาดแล้วใหญ่กว่ากองดินอื่นไม่น้อย
นี่ก็ยืนยันแล้วว่าเมื่อคืนเพื่อนของตนเมาหนัก เมาเต็มที่ยิ่งกว่าหลายครั้งที่ผ่านมาจริงๆ
วันนี้จนถึงค่ำเพื่อนก็ยังไม่กลับมา
เถ้าแก่ไม่รู้เขาไปไหน แน่นอนว่าไม่มีร่องรอยให้ตามหา
ดื่มสุรารอมาครึ่งชั่วยาม ตอนความง่วงเข้าจู่โจมก็อยากจะนอนบนเตียง
การนอนครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เขาหลับเต็มอิ่ม
เขาตื่นมาท่ามกลางแสงไฟ
สิ่งที่ไหม้กลับเป็นหมอนของเขา
กลิ่นเนื้อไหม้เกรียมลอยมา สิ่งที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดแสนสาหัส
เถ้าแก่ร้องลั่นลุกขึ้น คว้ากระบี่ของตนวิ่งไปนอกบ้าน
เขาวิ่งถึงริมแม่น้ำในหนึ่งลมปราณ กดหัวจมลึกลงในแม่น้ำ
แม่น้ำในหน้าร้อนเป็นน้ำอุ่น
แต่ใบหน้าของเขาแสบร้อนจากแผลไฟไหม้
น้ำอุ่นในแม่น้ำไม่อาจทำให้เขาเจ็บปวดน้อยลง
แต่ฤดูร้อนจะหาหิมะเย็นมาจากไหน
สิ่งที่เถ้าแก่ทำได้มีเพียงกดหัวอยู่นิ่งๆ ในน้ำตลอดเวลา
ฉับพลันนั้นท้ายทอยของเขาถูกคนดึงยกขึ้นมาอย่างแรง
เถ้าแก่ลืมตาทันที เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเป็นเพื่อนของตน
“ไม่ตายหรอกหรือ…”
เพื่อนกล่าวประโยคหนึ่งอย่างเฉยชา
“เจ้าอยากให้ข้าตาย?”
เถ้าแก่เปิดปากพูดอย่างยากลำบาก
ทุกคำล้วนดึงกล้ามเนื้อและผิวหนังบนหน้าเขา ทรมานยิ่งนัก…
เพื่อนพยักหน้าเยือกเย็นยิ่ง
สีหน้าและแววตาไม่มีความรู้สึกใดเจือปน
“ทำไมเจ้าอยากให้ข้าตาย”
เถ้าแก่เอ่ยถาม
แม้การพูดเป็นเรื่องทรมานสำหรับเขาในตอนนี้ แต่เขายังต้องพูด
“เพราะข้าไม่ต้องการสหาย”
เพื่อนกล่าว
นี่มันเหตุผลเหลวไหลอะไรกัน
พวกเขายังไม่ได้เป็นสหายแท้ๆ แต่เขากลับจะฆ่าเถ้าแก่ให้ตายด้วยเหตุผลที่ตนไม่ต้องการสหาย
“เพราะข้ารู้สึกพวกเราใกล้จะกลายเป็นสหายกัน แต่ข้าไม่ต้องการสหาย”
เพื่อนกล่าวต่อ
“เจ้าก็เลยจะฆ่าข้าให้ตาย? และยังเผาตายด้วย?”
เถ้าแก่เอ่ยถามเสียงสั่น
“คนที่เป็นสหายกับข้าจะทรมานยิ่งกว่าตาย และคนตายถ้าไม่ฝังก็ต้องเผา ข้าไม่มีเวลาฝังเจ้า สู้เผาเจ้าให้ตายเสียเลยดีกว่า ก็เท่ากับว่าเผาศพแล้ว”
เพื่อนกล่าว
ยังคงเยือกเย็นกว่าปกติ
เยือกเย็นจนทำให้ความเดือดดาลที่ซัดสาดในใจเถ้าแก่สงบลง
เถ้าแก่คิดถ้วนถี่ ตระหนักได้ว่านี่เป็นพฤติกรรมของเพื่อนตนจริง
เฉียบขาดว่องไว ไร้ข้อบกพร่องโดยสมบูรณ์
ในเมื่อต้องฆ่าตนให้ตาย เช่นนั้นก็ทำพร้อมงานศพเสียเลย
“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่ตาย”
เถ้าแก่กล่าว
“เจ้าไม่ตายอยู่แล้ว เจ้ายังพูดกับข้าอยู่”
เพื่อนกล่าว
“ตอนนี้เจ้าไม่มีวิธีเผาข้าตายแล้ว”
เถ้าแก่กล่าว
ตาจ้องกระบี่ในมือเขา
“คนมีสติไม่ถูกเผาตายแน่นอน”
เพื่อนกล่าว
“แล้วเจ้าจะออกกระบี่หรือไม่”
เถ้าแก่เอ่ยถาม
“ไม่…ขั้นฝึกยุทธ์และเพลงกระบี่ของเจ้าทัดเทียมกับข้า ข้าไม่คิดว่าจะใช้กระบี่ฆ่าเจ้าได้”
เพื่อนก้มหน้าครุ่นคิดเป็นนานถึงเปิดปากกล่าว
เขาพูดทุกประโยคตรงไปตรงมาและจริงแท้อย่างยิ่ง
แต่การตรงไปตรงมาในระดับหนึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าคำโกหก
ตอนนี้เถ้าแก่ฟังเพื่อนพูดประโยคหนึ่ง หัวใจก็จะสั่นทีหนึ่ง
เขารู้ว่าตัวเองกำลังกลัว
“แล้วตกลงเจ้าวางเพลิงเพราะไม่มั่นใจว่าใช้กระบี่ฆ่าข้าได้ หรือเพราะเจ้าคิดว่าเผาข้าตายจะได้จัดงานศพไปพร้อมกันให้เรียบร้อย”
เถ้าแก่เอ่ยถาม
“ข้าไม่เคยคิดเรื่องไกลขนาดนั้น…ข้าบอกสิ่งที่คิดตอนวางเพลิงแล้ว ส่วนมั่นใจในกระบี่หรือไม่ เมื่อครู่เจ้าเป็นคนถาม ข้าถึงได้คิดออกมา”
เพื่อนกล่าว
เถ้าแก่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่อยากพูดอะไรอีกแล้วจริงๆ
เพื่อนพูดประโยคนี้จบก็จะจากไป
เถ้าแก่ยกมือขึ้นมาอย่างสั่นเทา คล้ายคิดจะรั้งไว้
แต่สุดท้ายยังคงเบิ่งตามองเขาหายไปกลางราตรี
ตอนเถ้าแก่กลับถึงบ้านอีกครั้ง เห็นบ้านทั้งหลังถูกเผาพังทลาย
ไม่เพียงคานบ้านหักเป็นท่อนๆ กระทั่งตู้ ลิ้นชักรวมถึงเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่ที่ยังไม่ทันสวมในตู้นั้นก็ล้วนถูกเผาเป็นกองขี้เถ้า
เถ้าแก่อกสั่นขวัญหายกลับมาริมแม่น้ำอีกครั้ง นั่งอยู่ริมแม่น้ำตลอดจนท้องฟ้าสว่างจ้า
แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวทำให้เขาเห็นสภาพตัวเองตอนนี้ไม่ชัด
แต่เขารู้ว่าตอนนี้ตนต้องน่าเกลียดมากเป็นแน่
นึกถึงตรงนี้กลับอยากหัวเราะโดยไม่มีสาเหตุ
เถ้าแก่ตัดแขนเสื้อข้างหนึ่งของตนออกมาคลุมใบหน้าไว้และกลับจากริมแม่น้ำ
หลังเป็นมือสังหารยิ่งไม่มีสหาย
แต่กลับมีเพื่อนเพิ่มมากมาย
แต่ไม่ว่าเป็นใคร เถ้าแก่ล้วนคิดว่าก็ยังไม่ดีเท่าคนที่เกือบเผาเขาตาย
ทุกครั้งที่นึกถึงเขาก็มักจะคิดถึงช่วงเวลาที่กินเนื้อย่างดื่มสุราอยู่ใต้แสงตะเกียงโดดเดี่ยวกันสองคน
เมื่อความคิดเช่นนี้รุนแรงแทบทะลักออกมา เถ้าแก่จะกลับไปสถานที่ในตอนนั้นอีกครั้ง
ตลาดยังคงคึกคัก
ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่
แต่ร้านเนื้อย่างร้านนั้นกลับหายไปแล้ว
เถ้าแก่เดินจากสุดตะวันออกจนถึงสุดตะวันตกของตลาด ย้อนกลับไปมาห้าหกรอบก็หาไม่เจอ
จุดเชื่อมโยงสุดท้ายกับเพื่อนไม่เหลือแล้ว เถ้าแก่รู้สึกทำใจไม่ได้
เขาจึงเปิดร้านเนื้อย่างที่ปิดร้านบ่อยขึ้นมาในตลาดนี้อีกครั้ง
รสชาติดียิ่ง ทุกครั้งที่เปิดร้านก็จะมีคนมาต่อแถวยาวเหยียด
เพียงแต่ตัวเถ้าแก่กลับไม่เคยหันหน้าออกไป
แต่ไรมาล้วนหันหลังให้โต๊ะคิดเงิน ตั้งอกตั้งใจตุ๋นน้ำแกงหม้อหนึ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
ส่วนตอนไม่เปิดร้าน เถ้าแก่ย่อมมีเรื่องอื่นให้ทำ
ฆ่าคน
………………………
“สุดท้ายพวกเราไม่ได้เป็นสหายกัน…แม้แต่เพื่อนก็ไม่ใช่…”
เถ้าแก่รำพันเงียบๆ ในใจ
แต่ประโยคนี้ยังไม่จบ เถ้าแก่ก็รู้สึกลำคอของตนถูกความเย็นเยียบสายหนึ่งกดไว้
“ข้าเห็นขอบฟ้าของเจ้าแล้ว!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ไม่รู้กระบวยเหล็กด้ามยาวในมือเถ้าแก่ไปอยู่ในมือหลี่จวิ้นชางเอาตอนไหน
“ขอบฟ้าของบางคนคืออนาคต ขอบฟ้าของบางคนกลับเป็นอดีต”
เถ้าแก่กล่าวสีหน้าเรียบนิ่ง
จากนั้นยื่นมือขวาคีบคมดาบของหลี่จวิ้นชางเบาๆ เลื่อนมันออกจากคอของตน
แม้หลี่จวิ้นชางเคลื่อนพลังปราณเพื่อจะหยุดยั้ง…แต่จนปัญญาพลังไม่พอดังใจอยาก…
“ข้าบอกเรื่องที่ข้ารู้ทั้งหมดในคืนนั้นให้เจ้าฟังได้ แต่เจ้ายังต้องรออีกหน่อย”
เถ้าแก่กล่าว
หลี่จวิ้นชางมองคมดาบที่ถูกเลื่อนออกของตนและพยักหน้าทึ่มทื่อ
สุดท้ายเขายังคงตามหลังอยู่ก้าวหนึ่ง…
“ข้ารอได้ แต่สหายข้ารีบ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เขาเป็นสหายของเจ้าจริงๆ!”
เถ้าแก่กล่าวพลางมองนายท่านจิน
แต่ประโยคนี้เสียงเบายิ่ง เหมือนพูดให้ตัวเองฟัง
“เจ้ายังเป็นความร่ำรวยของข้า แต่เจ้าไปก่อนได้ รอข้าเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนั้นให้เขาฟังหมดแล้ว ข้าจะไปหาเจ้าอีก”
เถ้าแก่กล่าว
พูดจบก็หันหลังเดินไปร้านเนื้อย่างของตน
หลี่จวิ้นชางพยักหน้าให้นายท่านจิน จากนั้นยิ้มบางๆ และเดินตามหลังเถ้าแก่
นายท่านจินลูบเคราตรงคางของตน กระทั่งเงาร่างสองคนนี้เดินเข้าร้านเนื้อย่างหมดแล้วถึงยกแขน ปากตะโกนเสียงดังลั่น
“เดินทาง!”
เหวินฉีเหวินและชิงเสวี่ยชิงรู้ว่าเดินทางครั้งนี้คงไม่มีโอกาสหยุดกลางทางอีกแล้ว
ดีที่ตอนต่อสู้เมื่อครู่ทั้งสองกินเสบียงดื่มน้ำไปไม่น้อย
จนทำให้ท้องอิ่มพอควร คิดว่าพอให้ประคองจนถึงเหมืองแร่
……………………………………………