เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 50 ท่านเป้ยเล่อ[1]แห่งปักกิ่ง
ตอนที่ 50 ท่านเป้ยเล่อ[1]แห่งปักกิ่ง
ชายคนนั้นพูดประโยคนี้จบ ผู้คนก็เบิกตากว้างกันหมด เพราะนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากเข้าใจที่สุด ช่วงนี้แนวโน้มความโด่งดังของข้าวผัดจักรพรรดิเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่สูตรกลับเป็นปริศนา แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้สึกสนใจเป็นที่สุด
“ผมไม่ได้บอกว่าเลียนแบบข้าวผัดจักรพรรดิสักหน่อย นี่เป็นการคาดเดาของคุณเท่านั้นเอง!” เฝิงกั๋วคุนร้อนรนแล้วอย่างเห็นได้ชัด พยายามบ่ายเบี่ยงคำพูดนี้
“ฮ่าๆ ถ้าผมไม่ได้ฟังผิดล่ะก็ เมื่อครู่พิธีกรพูดว่า พวกคุณได้สูตรข้าวผัดจักรพรรดิมา อีกทั้งนี่เป็นการผสมผสานกัน”
ประโยคนี้ทำให้เฝิงกั๋วคุนพูดไม่ออก เขามองพิธีกร อึกอักเล็กน้อยไม่เปิดปากอีก
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้เป็นใคร จริงๆ ยอดฝีมือวงการอาหารในเมืองตู้เหมินเหมือนหมู่เมฆ สิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปทั้งหมดแทบจะเป็นข้อบกพร่องของบะหมี่นึ่งจักรพรรดิ และสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปก็คงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว
“คนคนนี้ดูแล้วคุ้นตาแฮะ…” ถังหย่าฉีพูดพึมพำ
“เธอรู้จักเขาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนอดถามขึ้นมาไม่ได้
ถังหย่าฉีครุ่นคิด “เหมือนว่าจะ…เคยเห็นนะ แต่นึกไม่ออก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเงียบๆ ความจริงแล้วท่ามกลางสายตาของคนส่วนน้อย เขาก็ดูออกว่ามีคนรู้จักผู้ชายคนนั้น อธิบายได้ว่าสถานะของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ธรรมดา มีคนบางส่วนในสถานที่แบบนี้จดจำได้ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนทำไม่ได้
เห็นเฝิงกั๋วคุนไม่พูดอะไรอีก ชายคนนั้นก็พูดต่อ “ปูอลาสก้า หอยเป๋าฮื้อ เนื้อกุ้ง ปลิงทะเล ไข่ปู ดูแล้วเหมือนผ่านกระบวนการคิดมาอย่างหนัก แต่กลับลืมไปว่าส่วนผสมของข้าวผัดจักรพรรดิมีเพียงสองอย่าง ข้าวสวยกับไข่ผัด ยิ่งส่วนผสมเรียบง่ายเท่าไรยิ่งทำออกมาได้อร่อยยากเท่านั้น คุณใช้วัตถุดิบราคาแพงมากมายขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ทำพระกระโดดกำแพง[2]ไปเลยเล่า”
พูดประโยคนี้จบ ผู้คนมากมายก็หัวเราะออกมา พูดแบบไม่ได้ล้อเล่น หากตัดเส้นบะหมี่ออกไป นี่ก็เป็นพระกระโดดกำแพงแบบกึ่งสำเร็จรูปจริงๆ
เฝิงกั๋วคุนก็หน้าแดงไปหมด หากว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เกรงว่าเขาคงด่ากราดไปแล้ว
“ผมคงไม่อาจก้าวก่ายการตัดสินใจของคุณหรือใครๆ ได้ แต่…คนที่เคยทานข้าวผัดจักรพรรดิคงจะรู้ว่ารสชาตินี้ไม่อาจเทียบเคียงได้เลย จะยอมลงทุนบะหมี่ผัดทะเลเมนูนี้หรือไม่…เอาที่พวกคุณทุกคนคิดว่าดีก็แล้วกัน”
คนที่อยู่ในสถานการณ์นี้กระซิบกระซาบกันอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าคำพูดของชายคนนั้นให้คำแนะนำทุกคนไม่น้อยเลย
“ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ความจริงแล้วนี่ก็คือบะหมี่ผัดทะเลนั่นแหละ ลูกเล่นมันก็แค่นึ่งบะหมี่สักหน่อยเท่านั้นเอง”
“นั่นสิ ถ้าร่วมมือล่ะก็ เสียเงินสามหมื่นไม่เท่าไร ยังต้องใช้อาหารทะเลของเดรนท์อีก ไม่คุ้มเลย”
“ฉันก็คิดว่าจะไม่ร่วมมือแล้ว พอเขาพูดมาขนาดนี้ บะหมี่ทะเลนี่ร้านของพวกเราก็ทำออกมาได้เหมือนกัน”
คนไม่น้อยเริ่มเดินออกจากโถงงานเลี้ยงไปหลังจากที่ทุกคนได้พูดคุยกัน ถึงอย่างไรก็ชิมแล้ว และไม่คิดจะร่วมมือแล้วเช่นกัน จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีก ต้องรู้ว่าในบรรดาคนพวกนี้มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นเถ้าแก่ร้านอาหาร ล้วนรีบร้อนกลับไปตรวจรายการสินค้าในร้านกันทั้งนั้น
เฝิงกั๋วคุนยืนหน้ามืดครึ้มอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะเดินหรือไม่เดินออกไปดี ชั่วชีวิตของเขาไม่เคยผ่านช่วงเวลาที่กระอักกระอ่วนขนาดนี้มาก่อน เดิมคิดว่าวันนี้จะช่วยเพิ่มแฟรนไชส์ให้เถ้าแก่นิดๆ หน่อยๆ ได้ ใครจะไปรู้ว่ามันจะจบลงแบบน่าอัปยศ
เห็นท่าทีของเฝิงกั๋วคุน ชายคนนั้นก็เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม ตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ “พี่ชาย กล่าวหนักไปแล้ว แต่ผมต้องบอกพวกคุณเสียหน่อยนะว่าในวงการอาหารนั้นกลัวถูกก่อกวน พวกคุณทำถึงขนาดนี้…ผมไม่จัดการไม่ได้!”
“คุณจัดการเหรอ จัดการอะไร คุณมีสิทธิ์อะไร”
ชายคนนั้นยิ้มบาง ไม่สนใจ ท่าทางไม่คิดเล็กคิดน้อยกลับดูสูงส่งอย่างเห็นได้ชัด
“อาจารย์ พวกเราก็ไปกันเถอะครับ” ซางเทียนซั่วพูด
“ไม่ต้องรีบ ดูต่ออีกหน่อยเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนกลับมีความรู้สึกตราตรึงใจ เหมือนว่าอยากรู้เรื่องราวของผู้ชายคนนี้เล็กน้อย
“จื่อเซวียน นายดูสิ นั่นก็คือห่าวเจ๋อซาน เถ้าแก่ของเดรนท์!”
ซ่งจื่อเซวียนมองตามทิศทางที่นิ้วชี้ของถังหย่าฉีชี้ไป ก็เห็นชายอายุประมาณห้าสิบปี สวมเสื้อสูทคนหนึ่งเดินเข้าไป ชายคนนั้นฝีเท้าไวมาก แต่เนื่องด้วยต้องรักษากิริยาท่าทาง ไม่อย่างนั้นคงแทบจะวิ่งเข้าไปแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนแอบขำ ดูท่าเกิดเรื่องยุ่งยากใหญ่โตขนาดนี้ หากเถ้าแก่ไม่ปรากฏตัวคงไม่ดี
ห่าวเจ๋อซานเดินสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ตรงเข้าไปพร้อมยื่นแขนออกไปเตรียมจะจับมือ “ท่านเป้ยเล่อ ผมไม่เห็นรู้เลยว่าท่านจะมา ไม่ได้มาต้อนรับด้วยตัวเองเลยครับ!”
น้ำเสียงของห่าวเจ๋อซานเบามาก ไม่แน่ว่าคนรอบๆ อาจจะไม่ได้ยินเลย ชายที่ถูกเรียกว่าท่านเป้ยเล่อคนนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พูดได้ดี เถ้าแก่ห่าว เรื่องนี้คุณจะใช้ไม้ไหนกันแน่”
ได้ยินดังนั้น เฝิงกั๋วคุนที่อยู่ข้างๆ ก็โง่งมไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักชายที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ แต่ยังพอจะได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของท่านเป้ยเล่อมาบ้าง
“ผม…โธ่ ถูกหัวเราะเยาะเสียแล้ว ว่าจะเล่นเล่ห์กลสักหน่อย ดันปล่อยไก่ต่อหน้าท่านเสียได้”
“ที่แท้ก็ท่านเป้ยเล่อนี่เอง ฉันก็ว่าทำไมคุ้นหน้าคุ้นตาจัง ฉันเคยเจอเขาตอนที่เปิดประชุมที่สมาคมอาหารปักกิ่งก่อนหน้านี้!”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านเป้ยเล่อเหรอ”
“ใช่ คุณชายใหญ่ของปักกิ่ง ไม่มีใครรู้ภูมิหลังที่คลุมเครือของเขา กระทั่งคนมากมายก็ไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไร แต่คำพูดของเขามีน้ำหนักมหาศาลในวงการอาหารปักกิ่งและตู้เหมินสองที่นี้” ถังหย่าฉีพูดพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นเหรอ ดูแล้วเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปีเองนะ ทำธุรกิจอาหารเหมือนกันเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่…เหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าร้านไหนเป็นของท่านเป้ยเล่อ เขาเป็นคนเก็บตัวมาก ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงมีตำแหน่งแบบนี้ได้ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ ท่านเป้ยเล่อคนนี้…ไม่ธรรมดาจริงๆ พูดจากใจเลยว่าซ่งจื่อเซวียนกระทั่งรู้สึกอิจฉาอยู่เล็กน้อย อายุยังน้อยก็สามารถมีตำแหน่งแบบนี้ในวงการอาหารได้แล้ว
ท่านเป้ยเล่อมองห่าวเจ๋อซานด้วยรอยยิ้ม “เป็นผู้ใหญ่กันแล้วทั้งนั้น ก็ไม่ควรปล่อยไก่ เถ้าแก่ห่าว วันนี้…ถือว่าผมขัดขวางลู่ทางทำกินของคุณแล้วใช่ไหมครับเนี่ย”
“ที่ไหนกันครับ ทำผิดก็ต้องแก้ไข เรื่องนี้ผมจัดการเอง!”
“เหอะๆ ข้าวผัดจักรพรรดิโด่งดังมากผมเข้าใจ ผมกระทั่งขับรถมาตู้เหมินโดยเฉพาะเพื่อชิมสักครั้ง ผมคิดว่าอาหารแบบนั้นจะโด่งดังที่ปักกิ่งเหมือนกัน แต่…ถ้าพวกคุณไม่มีความสามารถแกะสูตรรสชาติของอีกฝ่ายออกมาได้ ก็อย่าลักไก่แบบนี้เด็ดขาด ก่อความวุ่นวายในตลาดแบบนี้ วงการอาหารปักกิ่งกับตู้เหมินได้เกิดผลกระทบกันหมดสิ”
“ผมเข้าใจครับ ท่านเป้ยเล่อ พวกเราไปพักด้านบนสักครู่กันเถอะ ช่วงนี้ผมมีชาแดงเตียนหง[3]อยู่นิดหน่อย ท่านลองชิมดูหน่อยไหมครับ”
ท่านเป้ยเล่อครุ่นคิด พูดว่า “เอาเถอะ ในเมื่อปฏิเสธน้ำใจไม่ได้ ขัดขวางธุรกิจของคุณวันนี้ไปแล้ว ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยเหมือนกันนะครับ”
“ท่านก็ล้อเล่นแล้วครับ เชิญทางนี้”
เห็นทั้งสองคนจากไป เฝิงกั๋วคุนก็เกาหัวอัตโนมัติ ทุบตีให้ตายเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าเมื่อครู่จะล้ำเส้นท่านเป้ยเล่อไปแล้วจริงๆ ต้องรู้ว่าวงการอาหารปักกิ่งและตู้เหมิน ถ้าท่านเป้ยเล่อคิดจะแบนพ่อครัวสักคน…เหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องยากเลย
หลังจากนั้น พวกซ่งจื่อเซวียนก็เตรียมจะจากไปเหมือนกัน ตอนใกล้จะขึ้นลิฟต์ ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่โต้วซานซาน พูดขึ้นว่า “จริงสิ เมื่อกี้ต้องขอบคุณด้วย”
“อาจารย์ก็เกรงใจไป เป็นเรื่องที่ฉันควรทำอยู่แล้วล่ะ”
“หืม อาจารย์เหรอ”
“ใช่สิ อาจารย์ของเทียนซั่วก็คืออาจารย์ของฉัน”
สีหน้าซ่งจื่อเซวียนกระอักกระอ่วน สองคนนี้นิสัยเหมือนกันจริงๆ ถ้าคบกันล่ะก็…คงเหมาะสมมากๆ
ออกมาจากเดรนท์ โต้วซานซานก็ลากซางเทียนซั่วขึ้นรถตนเองไปแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจพวกเขา ตรงไปขึ้นรถของถังหย่าฉี
“จื่อเซวียน ทำไมวันนี้นายไม่ลุกขึ้นแย้งล่ะ ยังไงพวกเขาก็กำลังลอกเลียนแบบนายอยู่นะ” ถังหย่าฉีถาม
“ทำไมฉันต้องลุกขึ้นแย้งด้วยล่ะ ต่อให้เลียนแบบ แสดงให้เห็นว่าเขาแกะสูตรมา นี่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ถังหย่าฉีมุ่ยปากเล็กน้อย “อย่างนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจมากน่ะสิ แต่นายได้ยินไหม แม้แต่ท่านเป้ยเล่อก็เคยชิมข้าวผัดจักรพรรดิของนายด้วย คราวนี้ต้าสือไต้ของพวกนายได้ดังจริงๆ แน่”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่เคยเห็นท่านเป้ยเล่อคนนี้เลยจริงๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จะอย่างไรเขาอยู่ที่ครัวด้านหลังอย่างเดียว ไม่รู้เรื่องราวด้านหน้าหรอก
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ระยะทางที่ไม่ไกลมากบวกกับผ่านหัวค่ำที่เป็นช่วงพีคไปแล้ว บนถนนจึงขับรถง่ายมาก สิบกว่านาทีก็ใกล้ถึงบ้านซ่งจื่อเซวียน
หลังลงจากรถ ซ่งจื่อเซวียนก็ตรงไปอ่านสูตรอาหารที่บ้านฟางจิ่งจือ แต่ด้านถังหย่าฉีรู้สึกจิตตกเล็กน้อยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่เธอรู้สึกสุขใจทุกครั้งที่อยู่กับซ่งจื่อเซวียน ทว่าตอนที่แยกย้ายกัน…ก็เป็นแบบนี้
ไต้ทงมองถังหย่าฉีจากกระจกมองหลัง พูดว่า “หย่าฉี คุณหนูไม่คิดว่า…ควรรักษาระยะห่างกับซ่งจื่อเซวียนหน่อยเหรอครับ”
“นี่ไม่เกี่ยวกับคุณค่ะ ขับรถของคุณไปเถอะ!” ขณะที่พูด ถังหย่าฉีก็ไม่รู้ตัว เผลอหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
…………………
ในห้องทำงานชั้นห้าที่จวี้เสียนจวง เคอหงเทายกแก้วสุราขึ้นดื่ม คีบอาหารใส่ปาก ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้กินอะไรก็จืดชืดไปหมด
“เสี่ยวเลี่ยงจื่อ นี่อาหารร้านไหนเนี่ย” เคอหงเทาถาม
“เสี่ยซาน เป็นกับข้าวร้านเกี๊ยวใต้ตึกค่ะ ปกติคุณชอบร้านนี้ที่สุดนี่คะ”
เคอหงเทาพยักหน้า “อาจจะใช่แหละ แต่ช่วงนี้รู้สึกว่าจืดชืด จริงสิ เธอเคยกินข้าวผัดจักรพรรดิไหม”
“เหอะๆ นั่นมันอะไรกันคะเสี่ยซาน” เสี่ยวเลี่ยงจื่อถาม
“อืม…ไม่เคยกินก็ช่างเถอะ แต่เสี่ยซานอย่างฉันก็ไม่เคยกินเหมือนกัน ดูท่า…ต้องหาโอกาสไปลองชิมดูแล้วล่ะ”
หลายวันมานี้เคอหงเทาคิดถึงข้าวผัดจักรพรรดิอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่ใช่เพราะเขาอยากลองลิ้มรสข้าวผัดนั่น แต่หลักๆ เป็นเพราะกำไรที่ข้าวผัดนั่นทำออกมาได้น่าตกใจเกินไปจริงๆ
อาหารซิกเนเชอร์ที่หนึ่ง สามารถทำกำไรได้ถึงเกินครึ่งล้านต่อเดือน อีกทั้งสามารถกระตุ้นยอดขายเมนูอื่นๆ ได้ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือถ้าหากได้ข้าวผัดจักรพรรดิมาครอบครอง จวี้เสียนจวงของเขาก็สามารถโด่งดังขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ ได้
ถึงหลายปีนี้กิจการจวี้เสียนจวงจะราบรื่น แต่ก็จัดอยู่ในระดับที่ประคับประคองได้ไม่หวือหวาไปเรื่อยๆ มีรายรับแต่ก็ไม่นับว่าสูงมากนัก หากสามารถโด่งดังขึ้นมาได้ เคอหงเทาอย่างเขาก็พอใจแล้ว
ขณะที่กำลังเบื่อ ชายหัวโล้นที่สวมชุดลำลองคนหนึ่งก็เดินเข้ามา พูดว่า “เสี่ยซาน เรื่องที่คุณสั่งให้ผมไปสืบได้เรื่องแล้วครับ”
“พูดมาเถอะ”
“ผู้ลงทุนต้าสือไต้ชื่อว่าซุนโส่วเหวิน คนคนนี้ไม่ได้อยู่ในวงการอาหาร แต่หลังจากนั้นผมก็ได้สอบถามพวกพี่น้องอีกเล็กน้อย ภูมิหลังของซุนโส่วเหวินคนนี้ไม่ธรรมดาเหมือนกันครับ”
“หืม ไม่ธรรมดายังไง หรือว่าเป็นคนของรัฐหรือไง ต้องรู้ด้วยนะว่ารัฐบาลไม่อนุญาตให้พนักงานรัฐมีส่วนร่วมในกิจการธุรกิจน่ะ” เคอหงเทาพูด
“ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ เสี่ยซานรู้จักจ้งอันกรุ๊ปไหมครับ”
ชายหัวล้านพูดจบ เคอหงเทาก็ผงะทันที “จ้งอันเหรอ เขาเกี่ยวอะไรกับจ้งอัน”
“ถึงจะไม่รู้ตำแหน่งชัดเจน แต่มีคนบอกว่าเป็นผู้อาวุโสของจ้งอันครับ อีกทั้งยังเป็นพนักงานของสำนักงานใหญ่ด้วยครับ”
เคอหงเทาสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ต้องรู้ว่าต่อให้เขาจะมีอิทธิพลในวงการใต้ดินอยู่บ้าง แต่จะให้ไปยั่วยุจ้งอัน เขาไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น
……………………………………………….
[1] เป้ยเล่อ (贝勒) เป็นหนึ่งในบรรดาศักดิ์สำหรับพระราชวงศ์ชายชั้นสูงในสมัยราชวงศ์ชิง
[2] พระกระโดดกำแพง (佛跳墙) เป็นอาหารจีนในแบบกวางตุ้งและฝูเจี้ยน มีราคาแพงเนื่องจากใช้วัตถุดิบราคาแพงมากทำออกมา ซึ่งวัตถุดิบหลักๆ ได้แก่ หูฉลาม ปลิงทะเล เห็ดหอม หอยเป๋าฮื้อ กระเพาะปลา น้ำซุปจะประกอบด้วย โสม เก๋ากี้ และถังเช่า โดยนำวัตถุดิบทั้งหมดนี้มาตุ๋นรวมกันหลายชั่วโมง เหตุที่ได้ชื่อว่าพระกระโดดกำแพง เพราะมีกลิ่นหอมจนพระสงฆ์ที่ฉันแต่อาหารมังสวิรัติทนไม่ไหว ต้องกระโดดข้ามกำแพงมาฉัน
[3] ชาแดงเตียนหง (滇红) หรือชาดำ เกิดขึ้นในจีนสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลาย จากนั้นก็พัฒนาในฮกเกี้ยนและกระจายไปในเจียงซี กวางตุ้ง เจ้อเจียง หูหนาน หูเป่ยในสมัยราชวงศ์ชิง