ราชาซากศพ - บทที่ 429 ขัดขวาง
บทที่ 429
ขัดขวาง
เมื่อมองจากระยะไกลๆ ยอดเขาจิ่วโซ่วดูเล็กมากและระยะห่างระหว่างยอดเขาดูคล้ายว่าจะใกล้จากตำแหน่งของพวกเขามาก อย่างไรก็ตามเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ เราจะพบว่ายอดเขาจิ่วโซ่วทุก กยอดนั้น ยิ่งใหญ่และมโหฬาร ที่สำคัญที่สุดคือในตอนนี้ หลินเว่ยและในบรรดาทั้งหกคน ยังคงเดินอยู่บนภูเขาขนาดใหญ่ ใต้หุบเขาจิ่วเฟิง และปรากฏความเข้มข้นอยู่รอบๆ ตัวเขา นั่น นคือ พลังงานแห่งสวรรค์และโลกที่คงอยู่มานานหลายพันปี
“ ดูเหมือนว่า สำนักที่นี่จะไม่ธรรมดา! ข้าสามารถอยู่ที่นี่ และหาที่พักพิงชั่วคราวได้” หลินเว่ยพยักหน้าขบคิดอยู่ภายในใจ
ในความคิดของเขา ยอดเขาทั้งเก้าลูกนี้ อาจเทียบไม่ได้กับดินแดนสวรรค์และโลกที่กว้างใหญ่ แต่อย่างน้อยที่นี่ต้องมีกองกำลังมากมายที่แข่งขันกันเพื่อแย่งชิงกันเข้ามาศึกษาที่สำ ำนัก ชิงเจียนเหมิน และคนที่จะสามารถเข้ามานี่ได้ คือจะต้องมีระดับความแข็งแกร่งขั้นเงิน หรือเป็นศิษย์ของที่นี่ ซึ่งหลินเว่ยนั้น ไม่ตรงกับคุณสมบัติพื้นฐานของที่นี่เลย นอกจาก กนี้หากเขาเดินทางออกไปยังที่อื่น ในดินแดนตงเฉิงเสิ่นโจว เขาจะสามารถพบเห็นสถานที่เช่นนี้ได้ทั่วไป และการแข่งขันก็จะน้อยลงไปด้วย หากโชคดีเขาอาจหาที่พักพิงได้ง่ายดาย
“ปรมาจารย์! ที่ตั้งของเราเรียกว่า หุบเขาผานหลง ตามตำนานเล่าว่า
ในสมัยโบราณมีมังกรสวรรค์ทั้งเก้าตัวอยู่ที่นี่ และหลังจากพวกมันตายลงไป ร่างของพวกมัน กลายเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่นี้ ดังนั้นยอดเขาจึงมีลักษณะคล้ายมังกรเก้าหัว” จ้าวเหยียนกล่าว วอธิบายกับหลินเว่ยอย่างเรียบง่าย
“เข้าใจแล้ว” หลินเว่ยพยักหน้า แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ในทุกพื้นที่ย่อมมีเรื่องราวที่เหลือเชื่อ เพื่อเพิ่มความนิยมชมชอบของผู้คนและดึงดูดใจ หลินเว่ยเองก็เห็นเรื่องเช่นนี้มาม มากมายในดินแดนกังหลัน และทุกครั้งที่เขาได้ยินเรื่องราวหรือตำนาน เขาทำเพียงรับฟัง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงอย่างที่จ้าวเหยียนพูด หุบเขามังกรนี้เป็นที่เก็บศพของมังกรสวรรค์ทั้งเก้าตน…เป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้! ท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายยังบอกว่ามัน เป็นเรื่องราวในสมัยโบราณ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่ากี่ปีที่ผ่านมาแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณอย่างน้อยหลายสิบล้านปี หรือหลายร้อยล้านปี เป็นไปไม่ได้ที่จะหาความจริง จากระยะเวลาที่นานขนา าดนี้
“ศิษย์พี่จ้าวเหยียน! เจ้านำขยะจากดินแดนลับกลับมาอีกงั้นหรือ? ในขณะที่จ้าวเหยียนกำลังอธิบายกับหลินเว่ย ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น พลางหยอกล้อที่ด้านหน้าของเขา
เมื่อได้ยินเสียงนี้ จ้าวเหยียนและพรรคพวกของเขา ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทีละคน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงัก ใบหน้าของพวกเขามืดมนในทันที
จากนั้นร่างของคนจำนวนมากกว่าสิบคน ก็หยุดลงต่อหน้าฝูงชน และมองไปยังกลุ่มของเขา
“ตู้เหริน! เจ้าต้องการทำอะไร?” เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธดัง และถามคนที่กำลังขวางพวกเขาอยู่ คนที่พูดคือ เหยียนย่าฉี เด็กผู้หญิงที่รบเร้าให้หลินเว่ยให้มาเป็นอาจารย์
“โอ้นี่ไม่ใช่น้องสาวเหยียนย่าฉีหรือ….ขออภัย พี่ชายไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเจ้าเลย ตู้เหรินซึ่งเป็นหัวหน้าของอีกฝ่าย ดูคล้ายกับชายหนุ่มที่ร่ำรวยและเจ้าชู้ เมื่อเขาเห็นเหยีย ยนย่าฉี ดวงตาของเขาสว่างขึ้นและเขาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ่ม! ใครเป็นน้องสาวเจ้า อย่ามาเรียกข้าอย่างสนิทสนม ข้าไม่คุ้นเคยกับเจ้า” เหยียนย่าฉีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ช่างมันเถอะ จ้าวเหยียนเปลี่ยนเรื่องและเดินผ่านตู้เหรินและคนของเขาไป
“อ๊ะ! อย่าเพิ่งรีบร้อน เมื่อเห็นว่าจ้าวเหยียนพร้อมที่จะจากไป ตู้เหรินก็ก้าวไปข้างหน้า และอ้าปากเพื่อหยุดจ้าวเหยียนผู้คนรอบ ๆ คนอื่นๆ ของตู้เหริน ล้อมกรอบคนของจ้าวเหยี ยนและหลินเว่ยทันที
“ พี่ตู้ ชายคนหนึ่งกระซิบกระซาบกับตู้เหรินและชี้ไม้ชี้มือมาที่หลินเว่ย
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินเว่ยจึงมองลงไปที่มือขวาของเขา ในเวลานี้ เขาถูกเหยียนย่าฉีป้องกันอย่างแน่นหนา ทันใดนั้นเขาคิดด้วยใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกว่า ทำไมจ้าวเหยียนและคนอื่นๆ โชค คร้ายตลอดเวลา
“ทำไมเจ้าหน้าขาวตัวเล็กนี่เป็นใครกัน หน้าไม่คุ้นเลย! ขยะเหล็กดำ ระดับสาม ข้าไม่รู้ว่า เจ้าไปขุดเขามาที่ใด อย่าได้มาแตะน้องเหยียนของข้า เอามือสกปรกของเจ้าออกไป จ้าวเหยีย ยนรีบบอกคนของเจ้า ไม่เช่นนั้น ข้าจะตัดมือสุนัขของมันซะ? “เมื่อ ตู้เหรินเห็น เหยียนย่าฉีและ หลินเว่ยพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ใบหน้าของตู้เหรินกลายเป็นมืดมนและตะโกนร้อง
“พวกเขาเป็นใคร….มาจากชิงเจียนเหมินหรือไม่” หลินเว่ยผลักมือของเหยียนย่าฉีออก จากนั้นในสายตาที่ตกตะลึงของอีกฝ่าย เขาก็วางมือของเขาไว้ที่เอวของเหยียนย่าฉี จากนั้นโอบร ร่างของนางและถามด้วยรอยยิ้ม
เห็นได้ชัดว่า เหยียนย่าฉีไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมตีอย่างกะทันหันของหลินเว่ย หลังจากนั้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ร่างกายของนางแข็งทื่อ และเสียงของนางสั่นเล็กน น้อยและพูดว่า: “ช้าก่อน..ปรมาจารย์ … ”
“ เรียกข้าว่าศิษย์พี่หลิน!” หลินเว่ยมองลงไปที่เหยียนย่าฉีและพูดเบา ๆ
“อืม! ศิษย์พี่หลิน เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เหยียนย่าฉีก็พยักหน้าเบา ๆ จากนั้นด้วยพูดด้วยใบหน้าเขินอายว่า” ศิษย์พี่หลิน! พวกเขาไม่ใช่คนของชิงเจียนเหมิน! ตู้เหรินและ คนอื่น ๆ เป็นศิษย์ของสำนักดาบกุ้ยหยวน ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาที่หก ตู้เหรินยังเป็นบุตรชายของผู้นำสำนักดาบกุ้ยหยวน และพวกเขามักจะรังแกพวกเราอยู่เรื่อยๆ
หลังจากหลินเว่ยพูดจบ เขาโอบร่างของเหยียนย่าฉีไว้ในอ้อมแขนของเขาโดยตรง เป็นการยั่วยุตู้เหรินอย่างจงใจ
“บัดซบ! ดูเหมือนว่าเจ้ารนหาที่ตาย” ตู้เหรินมองไปที่ หลินเว่ย ด้วยดวงตาของเขาที่ลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาพบว่ามือของหลินเว่ยโอบไหล่ของเหยียนย่าฉี ทั นใดนั้นเขาก็พูดด้วยความโกรธจัด
เมื่อ จ้าวเหยียนและคนอื่น ๆ มองเห็นท่าทางของ หลินเว่ยและ เหยียนย่าฉี พวกเขาอดไม่ได้ที่จะขยิบตาไปที่ หลินเว่ย และรู้สึกสนุกสนาน พวกเขามองไปตู้เหริน พร้อมกับมีความสุขบนความ มทุกข์ของผู้อื่น ภายในใจขบคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าต้องถูกสั่งสอน
จ้าวเหยียนและคนอื่นๆ ได้เห็นฝีมือของหลินเว่ยสองครั้งติดต่อกัน แม้ว่าครั้งที่สองจะเป็นผู้อัญเชิญที่หลินเว่ยส่งมา แต่พวกเขาคิดว่าการฝึกฝนของหลินเว่ยนั้นไม่ง่ายอย่างที่เป็ นอยู่ในตอนนี้ เขาต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องราวอันใด เพื่อล่อลวงในคนพวกนั้นกระโดดลงหลุมด้วยตนเอง!
ท้ายที่สุดใครก็ตามที่เห็นการฝึกฝนขั้นเหล็กดำ ระดับสองของสัตว์อสูร ที่สามารถจัดการสัตว์อสูรขั้นทองแดงช่วงกลางได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการฝึกฝนพลังวิญญาณขั้นหล็กดำ ำ ระดับสอง หลินเว่ยสามารถเรียกสัตว์อัญเชิญที่มีระดับสูงกว่าตนเอง
ได้อย่างเห็นได้ชัดเจน ในขั้นทองแดงช่วงปลาย ในเรื่องนี้ จ้าวเหยียนและอีกหลายคนมีความมั่นใจมากขึ้น
มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่เรียกหลินเว่ยว่า ปรมาจารย์ตลอดเวลา สำหรับอายุของหลินเว่ย ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขานั้นจะมีอายุใกล้เคียงกัน แต่ในโลกแห่งการฝึกฝนไม่ได้วัดกันที่อายุ แต่เป็นการ รฝึกฝนและความแข็งแกร่งและภูมิหลังที่ทรงพลัง
“หนวกหู!” หลินเว่ยขมวดคิ้วแล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อะไรนะ ไอ้ตัวแสบ เจ้าพูดกับศิษย์พี่ของข้าได้อย่างไร ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” ชายหนุ่มที่มีดวงตาเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างๆ ตู้เหริน ก้าวเท้าและชี้ไปที่ร่างของหลินเว่ยและตะโกนขึ้น จากนั้นเขาก็หันกลับมาและโค้งคำนับให้กับตู้เหรินและพูดว่า “ศิษย์พี่ตู้! ข้า.. เซียวเหยียนจะไม่เพิกเฉยต่อการดูหมิ่นจากชายไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ถือเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ของข้า ในฐานะศิษย์ของสำนักดาบกุ้ยหยวน โปรดให้ข้าได้สอนบทเรียนให้แก่เขาด้วย ”
“อืม! พูดได้ดี! ระวังอย่าให้มันตายไปก่อน ข้าจะรับผิดชอบเอง” ตู้เหรินรู้สึกพึงพอใจต่อท่าทีของชายคนนี้ เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
จากนั้นตบไหล่กันแล้วพูดว่า ” หากมีโอกาสข้าจะเอ่ยชื่อของเจ้าให้บิดาฟัง”
“ ขอบคุณ ศิษย์พี่ตู้!” ท้ายที่สุด เขาดีใจที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
เมื่อหันไปเผชิญหน้ากับ จ้าวเหยียน เขาเอ่ยน้ำเสียงเยาะเย้ย: “เด็กน้อย! ไร้ประโยชน์ที่จะหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังจ้าวเหยียนถ้า ข้าไม่ต้องการเสียเวลา รีบออกมาซะ!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นเสียงของชายคนนั้น จ้าวเหยียนและพวกเขาทั้งห้าคนก็ถอยห่างจากหลินเว่ยทีละคน และเสมองไปที่ด้านข้าง ปล่อยให้หลินเว่ยโอบเหยียนย่าฉียังคงอยู่ในอ้อมแขน นของเขา
“ เอ๊ะ … ” เมื่อเห็น จ้าวเหยียนและคนอื่นๆ รีบถอยห่างจากหลินเว่ย ราวกับว่าต้องการ แบ่งแยกความผิดถูกอย่างชัดเจน ตู้เหรินและคนอื่น ๆ ก็สับสนเล็กน้อย และดวงตาของพวกเขาแสดงท่ าทางผิดปกติ และตกตะลึง
ตู้เหรินและ จ้าวเหยียนนั้น ไม่ได้รู้จักกันมาเพียงแค่สองวัน ทั้งสองคนมักจะโต้แย้งกันบ่อยๆ และไม่มีใครยอมใคร แต่ในครั้งนี้จ้าวเหยียนกลับเลือกที่จะถอยออกอย่างรวดเร็ว ทำให ห้ในใจของตู้เหรินรู้สึกคาดไม่ถึง” แต่เมื่อเห็นว่า เหยียนย่าฉียังคงอยู่ในอ้อมแขนของหลินเว่ย เขาจึงขบคิดในใจว่า บางทีจ้าวเหยียนอาจจะไม่ชื่นชอบเจ้าหน้าขาวคนนี้ก็เป็นไปได้ เขาจึงถอยออกมาอย่างไร้ท่าทีลังเล?”
“เจ้าคงจะต้องเดือดร้อนจริง ๆ แม้แต่คนกันเองยังไม่ต้องการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเจ้า ไม่ต้องกังวลข้าจะจะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี” หลังจากที่เซียวเหยียนพูดอย่างนั้น เขาก็หยิบดาบ บยาวออกมาและวิ่งไปหาหลินเว่ยด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว
“ ปลาตัวน้อย..ขั้นเหล็กดำระดับหก…อวดดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” หลินเว่ยพูดจบ เขาโบกมีลงและจากนั้น ปรากฏร่างของโครงกระดูกวานรอยู่เบื้องหน้าของหลินเว่ย หลังจากนั้น เขาพูด ขึ้นว่า: “แม้จะมีคนมีตา..แต่ไร้แววมากลั่นแกล้ง…. แต่ใครใช้ให้ข้า ชอบรังแกคนอ่อนแอล่ะ!”
ในช่วงเวลาของการปรากฏตัวของสัตว์โครงกระดูก เซียวเหยียนตื่นตกใจ เขามองไปที่สัตว์ร้ายโครงกระดูกด้วยความไม่เชื่อ และพูดด้วยความรังเกียจว่า: “นี่น่าจะเป็นสัตว์อัญเชิญของเจ้า! เร รียกมันออกมาเพื่อทำให้ข้าหวาดกลัว แท้จริงทีเพียงโครงกระดูกเท่านั้น”
หลินเว่ยนั้นเป็นผู้ฝึกฝนวิญญาณ เซียวเหยียนเมื่อได้เห็นสัตว์โครงกระดูก เขาก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่า หลินเว่ยไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณธรรมดา แต่ยังเป็นผู้อัญเชิญ อย่างไ ไรก็ตาม เซียวเหยียนไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก โดยทั่วไปแล้วระดับพลังของสัตว์อสูรจะเทียบเท่ากับ เจ้านายที่ควบคุมมัน ยกเว้นว่าจะมีผู้อาวุโสช่วยเหลือในการจับวสัตว์อสูรมาจึงจะมีโอกาสที พลังของสัตว์อสูรจะสูงเหนือกว่าเจ้านาย
ในสายตาของเซียวเหยียน โครงกระดูกตรงหน้าเขาไม่ใช่สัตว์อสูรของโลกนี้ ต้องเป็นสัตว์อัญเชิญของอีกโลกหนึ่ง หลังจากนั้นเซียวเหยียนตรวจสอบความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรและพบว่า ทั้ง งคู่อยู่ในระดับพลังที่เทียบเท่ากัน