Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2210 ดินแดนต้นกำเนิดไฟ
ในเวลานี้ เซียนโอสถถึงกับได้ตำราโอสถมาจากจักรพรรดิเสินหนงมา จึงส่งผลให้เกิดการคาดเดาของผู้คนจำนวนมาก คนในยุคหลังจึงมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าจักรพรรดิทั้งสามที่อยู่ในตำนานนั้นมีอยู่จริง หาใช่เป็นการแต่งเรื่องขึ้นมา
ถ้าหากจักรพรรดิทั้งสามที่อยู่ในตำนานนั้นมีอยู่จริงล่ะก็ มันก็จะไปเกี่ยวพันถึงปัญหาข้อหนึ่ง นั่นก็คือเซียนที่อยู่ในตำนาน! สืบเนื่องจากการเกี่ยวพันถึงจักรพรรดิทั้งสามว่าคงอยู่จริงหรือไม่ จึงทำให้ผู้คนไม่อาจไม่หารือถึงปัญหาอีกข้อหนึ่ง ซึ่งก็คือเรื่องของเซียน
เนื่องจากตามตำนานนั้นเล่าว่า จักรพรรดทั้งสามไม่ตายไม่ดับสลายอยู่แล้ว พวกเขาได้กลายเป็นเซียนแท้จริง แต่ทว่า ทั่วโลกมีเซียนอยู่ที่ไหน? ถ้าหากมีเซียนบนโลกนี้จริง เช่นนั้นแล้วก็อาจเป็นไปได้ว่าจักรพรรดิทั้งสามก็คือเซียนที่อยู่ในตำนาน
แน่นอน สำหรับตำนานที่เซียนโอสถไปได้ตำราโอสถจากจักรพรรดิเสินหนงเช่นนี้ ผู้คนในยุคหลังจำนวนมากไม่คิดเช่นนั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่ากรณีที่เซียนโอสถได้พบกับเรื่องราวประหลาดมหัศจรรย์เป็นเพียงการแต่งเรื่องขึ้นมาเองเท่านั้น เป็นเพียงยกฐานะของตนให้สูงขึ้นเท่านั้นเอง
ไม่ว่าเรื่องราวประหลาดมหัศจรรย์ที่เซียนโอสถไปพานพบมาขณะยังเยาว์วัยจะเป็นจริงหรือเท็จ แต่ยืนยันได้อย่างแน่นอนว่า ฝีมือการปรุงกลั่นยาเม็ดอายุวัฒนะของเขานั้นสุดยอดปราศจากผู้เทียบเทียม ในครั้งนั้น ขณะที่เซียนโอสถยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ไปขอยาเม็ดอายุวัฒนะจากเขา อย่าว่าแต่ราชันแท้จริงเลย แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษก็ไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไรที่ไปขอความช่วยเหลือจากเขา
แม้จะกล่าวว่าหุบเขาอมตะคือระบบการถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งหนึ่งในแดนลัทธิพรรษ ในครั้งนั้นด้านกำลังของเซียนโอสถก็เทียบไม่ได้กับปฐมบรรพบุรุษเป็นจำนวนมาก แต่ว่าเซียนโอสถกลับมีฐานะที่ไม่ธรรมในบรรดาเหล่าปฐมบรรพบุรุษทั้งหลาย เพียงแค่ในมือของเขามียาเม็ดอายุวัฒนะอยู่เม็ดเดียว ก็เพียงพอให้ปฐมบรรพบุรุษคนอื่นๆ ต้องขอความช่วยเหลือจากเขา
สืบเนื่องจากที่หุบเขาอมตะมียาเม็ดอายุวัฒนะที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองนี่เอง ทำให้หุบเขาอมตะมีชื่อเสียงโด่งดังในแดนลัทธิพรรษ แม้ว่ากำลังของหุบเขาอมตะจะห่างชั้นกับระบบการถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจูเซียงหวู่ถิง หรือพรรคหยางหมิง แต่ฐานะในของพวกเขาในแดนลัทธิพรรษไม่เห็นจะด้อยไปกว่าพวกเขาสักเท่าไร
เมื่อหลี่ชิเย่นำพาหวู่ปิงหนิงไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ก้าวเท้าเข้าไปยังระบบการถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ สถานที่แห่งแรกที่เขาต้องการไปเยือนหาใช่หุบเขาอมตะ แต่เป็นดินแดนต้นกำเนิดไฟ
ขณะที่หลี่ชิเย่พาหวู่ปิงหนิงเข้าไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของหุบเขาอมตะนั้น เขาหัวเราะและพูดกับหวู่ปิงหนิงว่า “ออกจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว ก็เป็นเวลาที่เจ้าได้หลุดพ้นจากมือมารแล้ว เวลานี้เจ้ามีฐานะที่เป็นอิสระ ท้องทะเลกว้างไกล ท้องนภาสูง เจ้าสามารถกลับไปที่จูเซียนหวู่ถิงแล้ว”
“ทำไมจะต้องกลับไป!” หวู่ปิงหนิงค้อนควับไปทีหนึ่ง ส่งเสียงฮึขึ้นมา ท่าทางไม่สู้จะพอใจนัก ภายในใจของนางไม่ได้ต้องการกลับไปยังจูเซียงหวู่ถิงเป็นพิเศษ เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้อย่างนั้น การยินยอมเป็นตัวประกันของนางมีเหตุผลอยู่แล้ว
“ถ้าหากเจ้าไม่กลับไปข้าจะไม่ฝืนใจเจ้า” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “แต่ว่า ส่งข่าวให้กับเหล่าบรรพบุรุษของเจ้าก็สมควรอยู่นะ เพื่อว่าภายหลังจูเซียงหวู่ถิงของพวกเจ้าจะได้ไม่มาหาว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของข้าทรมานตัวประกัน”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้หวู่ปิงหนิงถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เนื่องจากนางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ถ้าหากให้บรรดาบรรพบุรุษของตนรู้ว่าตนเองได้ไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้วล่ะก็ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเหล่าบรรพบุรุษจะต้องให้นางกลับไปอย่างแน่นอน แต่ในใจของนางกลับไม่อยากจะกลับไป
กล่าวสำหรับหวู่ปิงหนิงแล้ว ใช่ว่าจูเซียงหวู่ถิงของพวกเขาทำไม่ดีต่อนาง ตรงกันข้าเหล่าบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิงโปรดปรานนางเป็นอย่างยิ่ง ฝากความหวังไว้กับนางสูงมาก แต่นางที่อยู่ในฐานะผู้สืบทอดของจูเซียงหวู่ถิง นางก็จะต้องแบกรับภารกิจเอาไว้บนบ่าของนาง
“สิ่งที่จะต้องเกิด อย่างไรเสียก็ต้องเกิด ไม่มีอะไรต้องไปหนี เผชิญกันมันตรงๆ สุดท้ายก็ต้องแก้ไขได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ขยี้ผมของนางเบาๆ หัวเราะและกล่าวว่า “อีกอย่าง ในเมื่อเจ้าติดตามข้า ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีข้าคอยกันเอาไว้แล้วเจ้าจะไปกลัวอะไร? ข้าหลี่ชิเย่จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องคนของข้าอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นล่ะก็ฆ่าไม่มีละเว้น!”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้หวู่ปิงหนิงรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก ผู้ชายที่ดูธรรมดาคนนี้พลันมอบพลังที่ไม่มีสิ้นสุดให้กับนาง ให้ความพึ่งพิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับนาง เหมือนดั่งที่เขาได้พูดเอาไว้อย่างนั้น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีเขาคอยแบกรับเอาไว้ ซึ่งเป็นการมอบความรู้สึกถึงความปลอดภัยให้กับนางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะแจ้งให้เหล่าบรรพบุรุษได้ทราบแน่นอน” หลังจากที่หวู่ปิงหนิงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งจึงได้พยักหน้าเบาๆ ครั้นนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งนั้น แววตาของนางดูเด็ดเดี่ยวหนักแน่นขึ้นไม่น้อยทีเดียว
ในขณะนี้ จิตใจของหวู่ปิงหนิงดูจะเบิกบานขึ้นมากทีเดียว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่ต้องไปสะทกสะท้าน ทุกอย่างช่างแจ่มชัดอะไรอย่างนั้น
“แต่ว่า ข้าก็จะไปเดินเล่นที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟดูบ้าง” หลังจากที่หวู่ปิงหนิงได้ตัดสินใจแจ้งกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนแล้ว หวู่ปิงหนิงได้เหลือบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ท่าทางเหมือนเด็กผู้หญิงที่มีลักษณะของการออดอ้อนอยู่สามส่วน
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ ขณะมองดูท่าทางออดอ้อนอยู่สามส่วนของหวู่ปิงหนิง กล่าวไปตามอารมณ์ว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกัน ไปเดินเล่นสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร” กล่าวพลางเดินนำหน้าไป
ดินแดนต้นกำเนิดไฟคือหนึ่งในพื้นที่สำคัญของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ด้านหลังของมันเกี่ยวพันถึงสิ่งต่างๆ มากมาย และความลับมากมาย กระทั่งมีผู้กล่าวว่า ในครั้งนั้นที่เซียนโอสถก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะขึ้นมานั้น เหตุผลสำคัญอยู่ที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟ
เล่าลือกันว่า ดินแดนต้นกำเนิดไฟดำรงอยู่ของมันอยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่เซียนโอสถก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะขึ้นมา ในเวลานั้นดินแดนต้นกำเนิดไฟล่องลอยอยู่ในช่องว่างที่ต่างกัน ต่อมาภายหลังเมื่อเซียนโอสถได้มีการสร้างอาณาจักร และก่อสร้างฐานเต๋าขึ้นมานั้น ได้จัดการลากเอาดินแดนต้นกำเนิดไฟจากช่องว่างที่ต่างกัน นำมาหลอมรวมเข้าไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตน
เคยมีผู้ที่อยู่ในยุคหลังกล่าวเอาไว้ว่า ดินแดนต้นกำเนิดไฟมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ กระทั่งอาจจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับเผ่าไฟมากทีเดียว ส่วนที่ว่าเบื้องหลังของมันจะมีความลึกลับอะไรอยู่นั้นไม่มีผู้ใดสามารถบรรลุได้ กระทั่งมีผู้กล่าวว่า แม้แต่เซียนโอสถที่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟก็ไม่สามารถบรรลุถึงความยอดเยี่ยมและลึกซึ้งที่อยู่เบื้องหลังของดินแดนต้นกำเนิดไฟได้ทั้งหมด
แม้จะกล่าวว่าดินแดนต้นกำเนิดไฟสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะแล้ว นับเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญยิ่ง แต่ทว่าหุบเขาอมตะกลับไม่ได้ตั้งอยู่ที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟ อีกทั้งหุบเขาอมตะไม่ได้ทำการควบคุมใดๆ กับดินแดนต้นกำเนิดไฟ ทำให้ทุกคนล้วนแล้วแต่สามารถเข้าไปยังดินแดนต้นกำเนิดไฟทั้งสิ้น
ด้วยเหตุที่หุบเขาอมตะไม่ได้ทำการควบคุมดินแดนต้นกำเนิดไฟนี้เอง ทำให้มีผู้คนจำนวนมากมายังดินแดนต้นกำเนิดไฟ ไม่เพียงแต่ผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญตนจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ก็จะเดินทางมายังดินแดนต้นกำเนิดไฟ
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตน และหมอโอสถของเผ่าไฟต่างยินดีมาทีดินแดนต้นกำเนิดไฟ กล่าวสำหรับหมอโอสถแล้ว การมาที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟก็เพื่อต้องการค้นหาเชื้อไฟที่ดีที่สุด และเหมาะกับตนที่สุดสำหรับการปรุงกลั่นยาเม็ดของตน
สำหรับเผ่าไฟแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เผ่าไฟนับเป็นเผ่าใหญ่ของแดนสามเซียน มีคำกล่าวว่าในแดนสามเซียนมีเป็นหมื่นเผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์จำนวนมากเบียดเสียดเรียงรายไปตามพื้นที่ต่างๆ ในแดนสามเซียน แต่เผ่าพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าใหญ่จริงๆ นั้นมีอยู่ไม่มาก เป็นต้นว่าเผ่าไฟ เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพุทธฟ้า เผ่าแปดกร…ต่างๆ เป็นต้นล้วนแล้วแต่ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าขนาดใหญ่ของแดนสามเซียน
กระทั่งมีคำเล่าลือว่า เผ่าไฟนั้นมีต้นกำเนิดมาจากจักรพรรดิซุ่ยเหริน และด้วยเหตุนี้เอง บ่อยครั้งที่เผ่าไฟมักจะถือว่าตนเองคือสายตรงของแดนสามเซียน
การเดินทางมายังดินแดนต้นกำเนิดไฟของผู้บำเพ็ญตนของเผ่าไฟก็เพื่อบ่มฟักตนเอง ชำระล้างและขัดเกลาคุณสมบัติกาย เพิ่มพูนพลังวัตรให้แข็งแกร่ง เนื่องจากคนของเผ่าไฟมีความใกล้ชิดกับไฟมาแต่กำเนิดอยู่แล้ว พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับเปลวไฟทั่วทั้งตัว ดังนั้นกล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนเผ่าไฟแล้ว ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าดินแดนต้นกำเนิดไฟคือสถานที่ที่เหมาะแก่การชำระล้างและขัดเกลาคุณสมบัติกายที่ดีที่สุดแล้ว
ขณะที่ยืนอยู่ด้านนอกของดินแดนต้นกำเนิดไฟนั้น สามารถรับรู้ได้ถึงคลื่นความร้อนสายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาปะทะกับใบหน้าทันที ความรู้สึกที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟให้กับผู้คนก็คือ ทั่วทั้งดินแดนต้นกำเนิดไฟดุจดั่งเป็นทะเลเพลิงอย่างนั้น คลื่นความร้อนที่ดั่งคลื่นยักษ์ไม่ขาดสายทำให้ผู้คนยากที่จะทนทานได้ โดยเฉพาะมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเหมือนว่าก้าวเท้าเข้าไปในดินแดนต้นกำเนิดไฟเพียงก้าวเดียว ก็จะถูกเผาไหม้จนกลายเป็นจุณ
ทอดสายตามองออกไปยังดินแดนต้นกำเนิดไฟ สิ่งที่เห็นคือภูเขาสูงแต่ละลูกที่ขึ้นลงสลับ เสมือนดั่งเป็นมังกรไฟขนาดยักษ์ตัวหนึ่งที่หมอบอยู่กับพื้นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลนั่น เทือกเขาลูกหนึ่งได้ยึดครองพื้นที่เอาไว้ทั้งหมด นี่แหละคือดินแดนต้นกำเนิดไฟทั้งหมด มันหาใช่เป็นพื้นที่เป็นพื้นดินที่ถูกเผ่าไหม้จนเกรียมผืนหนึ่ง
ขณะที่มองลึกเข้าไปในดินแดนต้นกำเนิดไฟจะเห็นว่า มันไม่ได้เป็นเหมือนดั่งที่จินตนาการว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าแม้แต่ต้นเดียว ตรงกันข้าม ในดินแดนต้นกำเนิดไฟกลับเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่เขียวชอุ่มและเจริญงอกงาม ท่ามกลางภูเขาที่ทอดยาวเหยียดขึ้นลงติดต่อกันหลายลูกมีเถาวัลย์โบราณต้นไม้แก่ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก เสมือนดั่งเป็นป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างนั้น
ที่แตกต่างจากป่าของสถานที่อื่นๆ ก็คือ ต้นไม้แก่และเถาวัลย์โบราณที่ขึ้นอยู่ในดินแดนต้นกำเนิดไฟนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่ได้เหมือนเช่นต้นไม้ทั่วๆ ไปที่มีสีเขียว ต้นไม้ใบหญ้าส่วนใหญ่แล้วจะมีสีแดงเพลิง ใบไม้ของเถาวัลย์โบราณต้นไม่แก่จำนวนมากแลดูคล้ายเป็นหยกสีแดงแต่ละชิ้นเสียงมากว่า
พื้นที่จำนวนไม่น้อยของดินแดนต้นกำเนิดไฟจะมีเปลวไฟที่พุ่งขึ้นมา มีหุบเขาและร่องน้ำลึกที่เต็มไปด้วยลาวา คลื่นความร้อนไล่หลังกันมาพร้อมที่จะเผาผลาญทุกคนที่เข้าไปใกล้
ในดินแดนต้นกำเนิดไฟนอกจากมีเถาวัลย์โบราณต้นไม่แก่แล้ว ยังมีสิงห์สาราสัตว์และนกนานาชนิดที่มีชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่ร้อนระอุผืนนี้ มีเหยี่ยวไฟที่บินท่องอยู่บนท้องฟ้า และยังมีเสือดาวไฟที่วิ่งห้ออยู่ เรียกได้ว่า ท่ามกลางดินแดนต้นกำเนิดไฟแห่งนี้สามารถเห็นภาพที่แปลกประหลาดซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกอีกหลายๆ แห่ง
เสียงแหวกอากาศดัง ปุ ปุ ปุ…ขึ้นมาเป็นระลอก ในขณะที่หลี่ชิเย่นำหวู่ปิงหนิงก้าวเท้าเข้าไปยังดินแดนต้นกำเนิดไฟนั้น ก็ได้มองเห็นสัตว์ตัวหนึ่งที่วิ่งหนีออกมา มันมุ่งหน้าไปยังหุบเขาลึกๆ แต่แคบที่อยู่ด้านหน้า
สัตว์ตัวนี้แลดูคล้ายเป็นควายตัวหนึ่ง แต่มันแตกต่างจากควายโดยทั่วไปก็คือ ลำตัวของมันคล้ายเป็นหิน อีกทั้งยังเป็นหินที่กึ่งแข็งตัวกึ่งหลอมละลาย ภายในร่างกายปรากฏเป็นแมกมาที่ไหลรินอยู่ภายใน คล้ายดั่งเป็นควายที่กำเนิดมาจากบ่อแมกมาอย่างนั้น
“รีบตามเร็ว อย่าให้ควายแมกมาตัวหนี้หนีเข้าไปในแมกมาตรงปากปล่องภูเขาไฟ หากปล่อยให้มันดำลงไปในแมกมาแล้วก็จะหามันไม่พบอีกเลย” ขณะที่ควายตัวใหญ่ตัวนี้วิ่งหนีเข้าไปในหุบเขาแคบๆ นั้น บนเขาปรากฎคนกลุ่มหนึ่งที่ไล่ตามลงไป ผู้นำของคนกลุ่มนี้เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ส่งเสียงร้องดังลั่นออกมา พาศิษย์วิ่งล้อมเข้าไปเพื่อหวังปิดล้อมควายตัวนี้ที่กำลังหลบหนี
ในขณะที่หลี่ชิเย่กับหวู่ปิงหนิงเพิ่งจะปีนขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ก็ได้เห็นยอดเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีผู้บำเพ็ญตนหนุ่มคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นไม้ จังหวะที่เปลือกไม้แก่ๆ ของต้นไม้แก่ที่แลดูเหมือนหยกสีแดงได้ปริออกเสียงดังปุ มองเห็นด้านในปรากฏประกายสีทองขึ้นมา มันคือหยกเพลิงที่ถูกบ่มฟักอยู่ภายในลำต้นของต้นไม้แก่ เสมือนดั่งได้บุตรตอนอายุมากแล้วอย่างนั้น
ชายหนุ่มผู้นี้ลงมือรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ พลันแย่งชิงเอาหยกเพลิงเม็ดนี้มาได้ แต่ทว่า จังหวะที่เขากำลังถอนตัวกลับออกมาในพริบตาเดียวนั่นเอง บริเวณเปลือกไม้แก่ของต้นไม้แก่ต้นนั้นที่ปริออกนั้น ปรากฏแสงไฟแวบผ่าน พลันพันธนาการผู้บำเพ็ญตนหนุ่มผู้นี้เอาไว้ ลิ้นขนาดยาวที่ดูไปแล้วเหมือนเป็นโซ่ไฟได้จัดการพันธนาการผู้บำเพ็ญตนหนุ่มเอาไว้จนแน่น
“อ๊ากก…” ผู้บำเพ็ญตนหนุ่มผู้นี้พลันร้องเสียงน่าเวทนาขึ้นมา ในเสี้ยววินาทีนี้เองเขาก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลีไป
ลิ้นเพลิงได้ทำการตวัดเอาหยกเพลิงเม็ดนี้กลับเข้าไปยังภายในลำต้นของต้นไม้แก่ตามเดิม เปลือกไม้แก่ที่ปริออกพลันสมานปิดกลับไปตามเดิมทันที