Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 152 สถานะปีศาจกลายร่างระดับสูงสุด! (3)
“ศาสตร์การควบคุมทักษะขั้นสูงสุดทั้ง 6 ของข้าแบ่งออกเป็น ระดับการบรรลุข้อใหญ่ๆหลายระดับ ระดับแรกคือการเลียนแบบ นั่น คือสิ่งที่เจ้าเพิ่งจะย่างเท้าเข้าไป ระดับที่ 2 คือการบีบอัด สําหรับสิ่งนี้ เจ้าได้เริ่มเรียนรู้พื้นฐานของมันไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ของ เจ้าไม่ได้เป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนและเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งนั่น ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องการให้เจ้ามุ่งเน้นไปที่การบรรลุ ระดับเลียนแบบให้ได้มากที่สุดในระหว่างเรียนกับข้าก่อน ขั้นแรกคือทํา ให้ทักษะเลียนแบบพัฒนาขึ้นไปแตะจุดสูงสุด กล่าวคือไม่ว่าพลังปราณ ของเจ้าจะอยู่ในระดับไหน เจ้าก็จะต้องสามารถเลียนแบบทักษะ ทั้งหมดที่มีอยู่ในระดับพลังปราณของตัวเองและสลับไปมาได้อย่าง อิสระได้”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “อาจารย์ มีระดับการบรรลุอะไรอีกบ้าง หลังจากนั้น?”
หลงซื่อหยากล่าวว่า “เลียนแบบ บีบอัด ต่อไปคือการควบคุม เมื่อ ทักษะที่เจ้าเลียนแบบถูกบีบอัด พลังของพวกมันจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ตามธรรมชาติ และระดับดาวก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อถึงจุดนี้ มันจะ กลายเป็นบททดสอบหลักสําหรับการควบคุมทักษะของเจ้า เมื่อเทียบ
กับทักษะที่ถูกกักเก็บไว้ การเลียนแบบทักษะต้องใช้พลังควบคุมของ เจ้ามากกว่า ไม่ใช่แค่ในขณะที่เลียนแบบ แต่ยังรวมถึงขณะโจมตีด้วย เจ้าต้องทําให้ทักษะเหล่านั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนเอง หาก เจ้าสามารถบรรลุระดับที่ 3 นี้ได้ เจ้าก็จะถือว่าสําเร็จศาสตร์การควบคุม ทักษะขั้นสูงสุดทั้ง 6 ขั้นแรกไปแล้ว ต่อไปจะเป็นการบรรลุระดับ 4 ซึ่งก็ คือการทําให้บริสุทธิ์และวิวัฒน์พลัง สิ่งนี้จะซับซ้อนมากขึ้นและ เกี่ยวข้องกับความลึกลับมากมาย มองเผินๆ มันเป็นการทําให้ทักษะ วิวัฒน์ไปเรื่อยๆ และ ณ จุดนี้เจ้าจะต้องตัดสินใจเลือกบางอย่างที่ ยากลําบากมาก”
“สําหรับพวกเราที่เป็นมหาราชาสวรรค์ ความจริงแล้วเราไม่ได้มี ทักษะมากมาย หรือก็คือมีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ทว่าทักษะแต่ละอย่าง ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการขัดเกลามาอย่างโชกโชนด้วยการต่อสู้นับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะมีทักษะมากแค่ไหน หากได้เผชิญหน้ากับยอด ฝีมือ จะเป็นอย่างไรหากไม่มีโอกาสได้ใช้พวกมันทั้งหมด? ดังนั้นเมื่อพูด ถึงระดับราชาสวรรค์ขึ้นไป ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับทักษะ ทั้งหมดคือการร่ายออกมาได้ทันที ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นหากเราอยู่ใน ระดับเท่าๆกัน เจ้ามีทักษะระดับเทพเจ้าสวรรค์ ส่วนข้ามีเพียงทักษะ ระดับ 5 ดาว แต่เมื่อเราต่อสู้กัน ข้าใช้ทักษะฆ่าเจ้าได้ทันที เช่นนี้ทักษะ ระดับเทพเจ้าของเจ้าจะนับเป็นอะไรได้? นั่นคือเหตุผลว่าเมื่อพลังมาถึง ระดับหนึ่ง ยอดฝีมือที่แท้จริงจะแสวงหาการเพิ่มพลังให้ทักษะโดยมี
เป้าหมายหลักคือพวกมันจะต้องมีผลได้ทันที ในการต่อสู้กับบุคคลที่มี ระดับเท่าเทียมกันนั้น ไม่ใช่เพียงการควบคุมทักษะของเจ้าเท่านั้นที่มี ความสําคัญสูงสุด แต่ยังรวมถึงการควบคุมสนามรบและการควบคุมคู่ ต่อสู้ของเจ้าไม่ให้พวกเขารวบรวมพลังและปลดปล่อยออกมาได้ด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งจําเป็น”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่หลงซื่อหยาเพิ่งอธิบายคือการเปิดโลกใบ ใหม่ให้กับโจวเหว่ยชิง ทําให้เขาได้ตระหนักกะทันหันเพื่อรับรู้หนทางสู่ การเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงในอนาคต ทิศทางการฝึกที่เขาจะต้องก้าว เดินไป
“อาจารย์ แล้วเราจะรออะไรอีกเล่าขอรับ? โปรดเริ่มชี้แนะข้าเถิด ข้าจะเรียนรู้และฝึกฝนศาสตร์การควบคุมทักษะขั้นสูงสุดทั้ง 6 ภายใต้ คําแนะนําของท่านในขณะที่ยังคงรูปสถานะปีศาจกลายร่างเอาไว้ ด้วย วิธีนี้ไม่เพียงแต่ข้าจะได้เรียนรู้ศาสตร์การควบคุมทักษะขั้นสูงสุดทั้ง 6 แต่ประสาทสัมผัสก็จะพัฒนาขึ้นไปพร้อมกันด้วย ข้าสามารถฝึกฝน สถานะปีศาจกลายร่างและ ‘ญาณเยือกเย็น’ ได้ในคราวเดียว ตราบใดที่ สามารถระลึกการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของศาสตร์การควบคุมทักษะขั้น สูงสุดทั้ง 6 ขณะที่อยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างได้ มันก็จะช่วยให้ข้า ปรับปรุงสัมผัสภายนอกได้ด้วย”
หลงซื่อหยาหัวเราะอย่างเต็มที่และพูดว่า “ดีมาก เจ้าเป็นนักเรียน ที่มีอนาคตไกลจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ข้ากําลังจะขอให้เจ้าทํา เช่นนั้นเวลา พักผ่อนของเจ้าก็จะเกิดขึ้นต่อเมื่อพลังปราณสวรรค์ของเจ้าไม่พอใช้ รักษาสภาพของสถานะปีศาจกลายร่างเท่านั้น และในเวลาที่ว่านั้น เจ้า ก็ทําสมาธิเพื่อฟื้ นฟูพลังเสีย”
“ขอรับ!”
…
หลงซื่อหยาเริ่มสั่งสอนและแนะนําโจวเหว่ยชิงฝึกอย่างเป็น ทางการ สําหรับการฝึกของทหารกองพันไร้พ่ายนั้นยังคงเป็นหน้าที่ของ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ เว่ยเฟิงและเทพธนูทั้ง 7 ของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์
ยิ่งได้สั่งสอนโจวเหว่ยชิงด้วยตัวเองมากเท่าไหร่ หลงซื่อหยาก็ยิ่ง ตระหนักว่าพรสวรรค์โดยกําเนิดของศิษย์หนุ่มผู้นี้น่ากลัวเพียงใด บางที ในแง่ของการควบคุมตนเอง โจวเหว่ยชิงอาจไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างไรก็ตาม สมองของเด็กหนุ่มกลับเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เมื่อใดที่หลงซื่อหยาให้คําชี้แนะง่ายๆแก่เขา โจวเหว่ยชิงก็จะสามารถ ทําความเข้าใจและสรุปขั้นตอนในอนาคตข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย ที่ สําคัญกว่านั้นคือสามารถใช้ประโยชน์จากมันในทางปฏิบัติจริง หาวิธีที่ ง่ายที่สุดในการนําบทเรียนไปใช้กับการฝึกปราณของเขาได้ด้วย
สิ่งน่าประหลาดใจประการต่อไปสําหรับหลงซื่อหยาก็คือความเร็ว ในการฟื้ นตัวของโจวเหว่ยชิง ถึงเวลานี้ วิชาเทพอมตะของเขามาถึงขั้น ที่ 19 พร้อมกับหลุมดําพลังปราณ ณ จุดตาย 19 จุด พวกมันหมุนวน และดึงพลังปราณเข้ามาอย่างเต็มกําลัง ทําให้พลังปราณสวรรค์ของเขา ฟื้ นตัวด้วยความเร็วที่บ้าคลั่งเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่ระดับเท่ากัน หรือมากกว่า หลังจากที่พลังปราณสวรรค์ของเขาถูกใช้ไปจนหมด มันก็ ใช้เวลาฟื้ นฟูไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ�า ในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มฝึกคงรูป สถานะปีศาจกลายร่างเพื่อรักษาสภาพ ‘ญาณเยือกเย็น’ ในขณะที่ลดใช้ พลังปราณอย่างระมัดระวัง
มันอาจจะฟังดูซับซ้อน แต่จริงๆแล้วสิ่งที่โจวเหว่ยชิงทําก็คือการ ลดพลังทางกายภาพที่สถานะปีศาจกลายร่างส่งให้ร่างกายของเขา ด้วย การปรับลดความสามารถนี้ มันยังช่วยลดการเผาผลาญพลังปราณ สวรรค์ของเขาไปจํานวนมากด้วย
การฝึกดังกล่าวทําให้โจวเหว่ยชิงสามารถรักษาสถานะปีศาจกลาย ร่าง ‘ใหม่’ ได้เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงแม้จะมีพลังปราณอยู่เพียงระดับ ที่ 19 ความสําเร็จดังกล่าวเป็นไปตามความคาดหวังดั้งเดิมของหลง ซื่อหยาอย่างแท้จริง
ในเวลาเดียวกัน ด้วยการสั่งสอนจากหลงซื่อหยาและความ ช่วยเหลือของ ‘ญาณเยือกเย็น’ ขณะอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง การ
ฝึกฝนศาสตร์การควบคุมทักษะขั้นสูงสุดทั้ง 6 ของโจวเหว่ยชิงจึง พัฒนาอย่างก้าวกระโดดและก้าวหน้ามากขึ้นในทุกๆวัน
…
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว
ในขณะที่โจวเหว่ยชิงจมอยู่กับความยินดีที่ตนสามารถสร้าง ความก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง เขาก็ต้องประหลาดใจกับข่าวดีอีกอย่าง ที่ส่งตรงมาถึงตนเอง เหล่ากองพันนักเลงที่เหลือในกองทัพอื่นได้ถูกส่ง มาให้เขาโดยมีเซินจี้เป็นผู้นําคนเหล่านั้นมาที่กองพันไร้พ่ายด้วยตัวเอง จํานวนทั้งหมดมีประมาณ 3,700 คน นอกจากนี้กองบัญชาการ ภาคเหนือได้ส่งทหารมาคุ้มกันเกือบ 2,000 นาย ถึงอย่างไร กองบัญชาการภาคเหนือก็เป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ เกือบจะ เท่ากับจํานวนกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ รวมกัน
เมื่อเหล่าทหารนักเลงชุดใหม่มาถึง ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ถามโจว เหว่ยชิงว่าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร
ทหาร 3,700 นายถือว่าเกินความคาดหมายเดิมของโจวเหว่ยชิงไป แล้ว และเขารีบเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองพันไร้พ่ายเพื่อ หารือเกี่ยวกับแผนการต่อไปของพวกเขา
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองพันไร้พ่ายยังคงเป็นบรรดากลุ่มคน ดั้งเดิมเพียงไม่กี่คน แม้ว่าจะมีเทพธนูหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ทั้ง 7 แต่ก็ มีเพียงหัวเฟิงเท่านั้นที่เข้าร่วม นอกจากนั้นยังมีหลินเทียนอ้าว ซ่างกวน เฟยเอ๋อร์ เว่ยเฟิง และผู้บัญชาการกองร้อยอีก 10 คน ขณะนี้พวกเขา ทั้งหมดรวมตัวกันในกระโจมผู้บัญชาการกองพันขนาดใหญ่ของโจว เหว่ยชิง
ตอนนี้ทุกๆคนมีสีหน้าดีใจมาก ในที่สุดกองพันไร้พ่ายก็สามารถ เชิดหน้าขึ้นสูงได้แล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้อยู่พวกเขาอยู่ห่างกับกรม ทหารที่ 16 ราวกับคนละชั้น นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นไปไม่มีใคร กล้าเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาอีกเลย และแม้แต่คําขอ ของพวกเขาทั้งหมดก็ได้รับการอนุมัติอย่างง่ายดายโดยไม่มีปัญหา ติดขัดใดๆ
ตอนนี้ชายหนุ่มเลือดใหม่อีก 3,700 นายกําลังจะเข้ามาเป็นส่วน หนึ่งของพวกเขา นี่ย่อมช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองพันไร้พ่าย ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
…
ในวันนั้นเซินจี้ได้พาเซินปู้ไปพบอาจารย์และบิดาบุญธรรมของ พวกเขา ผู้ซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการของกองทัพภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ชายชราที่ชาญฉลาดและมองการณ์ไกลคนนั้น
ไม่ได้พาพวกเขาไปขอโทษหรือพยายามทําให้สิ่งต่างๆราบรื่น เขารู้ว่า การกระทําที่ล่าช้าเช่นนี้จะไม่ส่งผลดีใดๆ ชายชราจึงผลักดันให้กองทัพ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือเร่งส่งกองพันนักเลงของพวก เขามาที่นี่พร้อมกับการคุ้มกันที่แข็งแกร่ง อันที่จริงก็จําเป็นต้องมีการ คุ้มกันที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนักเลง เหล่านั้นเริ่มก่อปัญหาหรือหลบหนีไป?
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่กองพันไร้พ่ายต้องการมากที่สุดในตอนนี้ และ การแสดงความพยายามมากขึ้นเพื่อทํางานเหล่านั้นให้สําเร็จก็มี ประโยชน์มากกว่าแค่คําขอโทษ การกระทําสําคัญกว่าคําพูด และสิ่งนี้ก็ ถูกแสดงให้เห็นมากขึ้นโดยการส่งเงินและเสบียงให้เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะ เป็นอะไรก็ตามที่กองพันไร้พ่ายต้องการและร้องขอ ตราบเท่าที่ กองบัญชาการภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีมากเพียงพอ พวกเขาจะ อนุมัติและส่งไปโดยไม่ชักช้า
จากคําอธิบายของโจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ศพที่ เหลือของกรมทหารหมาป่าเท้าเร็วถูกค้นพบอย่างรวดเร็ว และ ‘พิสูจน์’ ให้เซินจี้และคนอื่นๆเห็นเกี่ยวกับพลังของหลงซื่อหยา ในเวลาเดียวกัน มันก็ยังทําให้พวกเขาอยากสร้างความประทับใจให้วังสวรรค์ไพศาลที่ กําลังวางแผนที่จะเคลื่อนไหวในสงครามชายแดน และด้วยเหตุนี้พวก เขาจึงไม่ลังเลที่จะให้การสนับสนุนแก่กองพันไร้พ่ายอย่างเต็มที่
…
“ผู้บัญชาการกองพัน เมื่อกองพันไร้พ่ายได้รับมอบทหารใหม่ เหล่านี้ เราก็จะถือว่ามีกําลังพลเกือบครึ่งกรมทหารแล้ว ฮ่าๆๆ ” หนึ่ง ในผู้บัญชาการกองร้อยระดับมณี 8 ดวงที่แข็งแกร่งและรู้จักกันในนาม ‘แมมมอธ’ ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
โจวเหว่ยชิงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากและพูดว่า “นี่เจ้ากําลังวางแผนจะเพิ่ม ความแข็งแกร่งให้กองร้อยของตัวเองอยู่ใช่ ไหม?”
แมมมอธยิ้มและพูดว่า “หึๆ หัวหน้า อย่างที่ท่านทราบดี เนื่องจาก กองร้อยที่ 1 ของเราประกอบด้วยกองกําลังอากาศเป็นหลัก เราจึงเป็น ยอดฝีมือในหมู่กองพันไร้พ่าย หากมีสหายคุณภาพชั้นยอด ท่านต้องให้ เราเลือกก่อนเป็นคนแรกนะขอรับ!”
แน่นอนว่าผู้บัญชาการกองร้อยคนอื่นๆย่อมไม่ยินยอมเช่นกัน และ ทั้งกระโจมก็มีเสียงโต้เถียงระเบิดออกมาในขณะที่พวกเขาทั้งหมด พยายามที่จะ ‘แย่ง’ ทหารชั้นยอดมาเข้าร่วมกับตนเอง
“เอาล่ะ พอแล้ว ทุกคนเงียบ กองร้อยที่ 1 กองร้อยที่ 2 และ กองร้อยที่ 3 เจ้ามีทหารกองกําลังอากาศจํานวนมากอยู่แล้ว กล่าวได้ว่า นักรบที่ดีที่สุดของข้าทั้งหมดล้วนอยู่กับเจ้าทั้ง 3 คน ทําไมถึงยังอยาก ฉกฉวยผลประโยชน์จากคนอื่นอีกล่ะ เป้าหมายของข้าคือการทําให้ทั้ง
กองพันไร้พ่ายมีพลังแข็งแกร่งและไม่มีใครคนใดอ่อนแอ รองผู้ บัญชาการเว่ยเฟิง เจ้าบันทึกสิ่งนี้และจดบันทึกไว้ มีบางสิ่งที่ข้าต้อง รบกวนเจ้าประสานงานและจัดการ”
“ขอรับท่าน” เว่ยเฟิงจ้องมองไปยังผู้บัญชาการกองร้อยที่ส่งเสียง ดังเอะอะเล็กน้อยก่อนที่จะแสดงความเคารพต่อโจวเหว่ยชิง
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “สิ่งแรกคือต้องทําคือสํารวจและ จดบันทึกรายละเอียดทั้งหมดของทหารใหม่ 3,700 นาย มีจ้าวมณี จํานวนเท่าไหร่ เป็นจ้าวมณียุทธ์หรือจ้าวมณีธาตุ ระดับพลังปราณพวก เขาคือเท่าใด อยู่ในขั้นไหน ลงลึกไปถึงคุณสมบัติหรือธาตุที่พวกเขามี และอื่นๆ… สํารวจทั้งหมดนี้โดยละเอียดและบันทึกไว้ หากพวกเขาไม่มี แม้แต่พลังปราณสวรรค์ก็จงปฏิเสธและส่งกลับไปให้ผู้บัญชาการกอง พลเซินจี้จัดการ”
เว่ยเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “คนที่ไม่มีพลังปราณสวรรค์เลย น่าจะเป็นคนส่วนน้อย ถึงอย่างไรในพรมแดนทางเหนือไม่ว่าจะเป็น กองพันนักเลงของกองทัพใดก็น่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ผู้ ที่ไม่มั่นใจในตัวเองจะไม่มีวันกล้าสร้างปัญหาในกองทัพ และในทํานอง เดียวกัน พวกเขาก็จะไม่มาลงเอยในกองพันนักเลง กระบวนการ ลงทะเบียนและจดบันทึกของเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเราประสบปัญหาใดๆ ให้ หัวหน้าครูฝึกซ่างกวนไปกับเจ้า ความแข็งแกร่งคือกฏของโลกใบนี้ เฟย เอ๋อร์ เจ้าไหวไหม?”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เหลือบมองเขา จากนั้นก็กล่าวอย่างเฉยชา “คง จะดีหากได้เห็นพวกเลือดใหม่ที่คันไม้คันมืออยากหาเรื่องต่อยตี ข้าสนุก กับการรักษา ‘อาการ’ แบบนี้มาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนจากทั้งกระโจมสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ยกเว้นก็ แต่หัวเฟิงและหลินเทียนอ้าว ทันใดนั้นผู้บัญชาการกองร้อยทั้งหมดก็ เงียบเสียงลง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเคยได้รับการ ‘รักษา’ อาการ เช่นนี้มาก่อน
เว่ยเฟิงกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือในบรรดาทหาร กว่า 3,000 นายมีผู้ก่อความวุ่นวายรายใหม่จํานวนมากที่มีปัญหาด้าน ทัศนคติ ที่สําคัญคือบางคนก็มีความแข็งแกร่งพอสมควร… หากไม่ใช่ เพราะความจริงที่ว่ากองพลที่ 7 ได้ส่ง 2 กรมทหารมาคุ้มกันพวกเขา รอบค่ายเป็นการชั่วคราว บางทีอาจเกิดปัญหาร้ายแรงแล้ว เราต้อง จัดการกับเรื่องนั้นโดยเร็วที่สุด”