Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 70 หนึ่งดาบขาดสองท่อน ขาดไหม
เสียงร้องไห้ฉีกกระชากความเงียบสงบของสายฝนยามราตรี ทว่าหลังจากนั้นก็ฟื้นคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สายฝนหยุดลง แมลงฤดูร้อนกลับมาครวญคราง
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นในจวนเรือนยามดึกดื่น หยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูข้างอย่างรวดเร็ว
ดาลประตูของประตูข้างแขวนอยู่ครึ่งหนึ่งแต่ไม่ได้ลงดาลอยู่
ฟางจิ่นซิ่วมองอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง ทนไม่ไหวหันหน้ากลับมา
ราตรีสีดำสนิททั้งผืน แสงโคมวูบไหวอยู่ข้างในเป็นบางครั้ง นางเหมือนจะมองเห็นในความมืดมีเงาคนเลือนรางมองนางอยู่ แต่ก็เหมือนกับเพียงแค่ตาลายเท่านั้น
ยังหวังว่าใครจะมาส่งตนเองงั้นหรือ?
ฟางจิ่นซิ่วยิ้มหยันตนเอง ก้มศีรษะลงมองห่อผ้าใบน้อยในมือ
นี่เป็นนางหยวนให้นางไว้ เดิมทีนางวางแผนว่าสิ่งใดล้วนไม่เอาไป
ในเมื่อไม่ได้เป็นคุณหนูสามตระกูลฟางอีกต่อไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นสองมือว่างเปล่ามาก็สองมือว่างเปล่าจากไปเถอะ
แต่นางหยวนบอกว่าเป็นคนอย่าได้ตรงทื่อมะลื่อขนาดนั้น บังคับยัดห่อผ้าใบน้อยใบหนึ่งให้นาง
“อย่างน้อยเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนติดตัวก็ต้องเอาไปนะ” นางว่า
ฟางจิ่นซิ่วสะพายห่อผ้าไว้บนไหล่ เงยหน้ายกดาลประตูลงมา ผลักประตูเปิด ก้าวยาวๆ เดินออกไป
ประตูถูกดึงปิดลง ตัดขาดเงาของเด็กสาว ฟางอวิ๋นซิ่วที่ยืนอยู่ด้านหลังต้นไม้อดกลั้นไม่อยู่ร้องไห้ออกมา
“นางไหวหรือไม่น่ะ ตอนนี้ดึกดื่นอยู่ รอฟ้าสว่างค่อยไปก็ไม่สายนี่” นางร้องไห้พูด
ฟางอวี้ซิ่วลูบหัวไหล่นางปลอบประโลม
“ให้นางทำตามใจเถอะ” นางว่า “อย่ากังวล น้องสามเป็นคนที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง”
ส่วนอีกด้านหนึ่ง นายหญิงผู้เฒ่าฟางถอนหายใจมองนางหยวนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” นางว่า
นางหยวนโขกศีรษะสองครั้ง
“ขอบคุณนายหญิงผู้เฒ่า” นางว่า
“ไม่ต้องขอบคุณ ขอบคุณไปขอบคุณมาไม่มีความหมายอะไร พรุ่งนี้เรื่องที่ต้องทำยังมากนัก เตรียมใจกันไว้เถอะ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขึ้น มองท้องฟ้ายามราตรี ทิศตะวันออกกำลังจะสว่าง วันใหม่กำลังจะมาเยือนอีกครั้งแล้ว
ยามที่สีท้องฟ้าสว่าง บนถนนก็เบียดเสียดเต็มไปด้วยผู้คนแล้ว ราวกับคนทั้งหยางเฉิงล้วนออกมา ความจริงไม่ใช่แค่คนหยางเฉิง คนที่ได้ข่าวล่วงหน้า พยุงผู้เฒ่าจูงเด็กน้อยมาจากอำเภอหมู่บ้านค้างเคียงตั้งแต่คืนวานก็ต่อแถวยาวอยู่หน้าประตูเมืองแล้ว
เพราะวันนี้เป็นวันประหารนักโทษคดีใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางอำเภอหยางเฉิง
นาทีนั้นที่รถนักโทษลากซ่งอวิ้นผิงโผล่ออกมาจากห้องขัง ฝูงชนที่รอคอยบนถนนก็ขยับเบียดโห่ร้อง คนที่เตรียมผักใบไม้เน่าไว้ก่อนแล้วก็ขว้างไปราวกับสายฝน
รายละเอียดความผิดของนายอำเภอหลี่และซ่งอวิ้นผิงแม้ไม่ได้ประกาศความผิดออกสู่สาธารณะแต่คำเล่าลือสะเปะสะปะบินไปว่อนแล้ว เพราเกี่ยวข้องไปถึงเต๋อเซิ่งชาง ทั้งเกี่ยวข้องกับเรื่องเก่าสิบกว่าปีก่อน คนที่ชมดูความสนุกเบียดเสียดจนบ่าชนหลัง
แม้นี่ไม่ใช่ขุนนางทุจริต ถึงขนาดที่พูดให้ละเอียดขึ้นมานี่ก็เป็นความแค้นส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น แต่ประการที่หนึ่งฐานะขุนนางของนายอำเภอหลี่ทำให้เหล่าประชาชนหวาดกลัวทั้งยังใจผวา มีนายท่านขุนนางที่จิตใจดำมืดคิดแย่งทรัพย์สินคนอื่นเช่นนี้ ใครกล้ารับประกันว่าผู้อื่นจะไม่โชคร้ายในมือเขา
ประการที่สองซ่งอวิ้นผิงพูดให้ชัดฐานะเป็นผู้ดูแลร้านของผู้อื่น เป็นขี้ข้า กลับทำเรื่องหลอกหลวงนายเช่นนี้ คนทุกคนล้วนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ใครกล้ารับประกันว่าคนข้างกายตนไม่มีคนที่เจตนาร้ายเช่นนี้อยู่
ดังนั้นแต่ละคนในอกล้วนโกรธแค้นด้วยใจยุติธรรม เรียกร้องความยุติธรรม รู้สึกดั่งเกิดกับตนเอง
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ บนถนนวางผักใบไม้เน่ามากมายหลายตะกร้าไว้ก่อนให้ทุกคนได้ใช้
เรื่องที่สะดวกทั้งไม่เสียแรงแล้วยังสนุก ไม่ทำก็เสียเปล่า
ใบไม้เน่าเหล่านี้แน่นอนว่าเป็นตระกูลฟางวางไว้
หากไม่ใช่เกรงบรรดาขุนนางตรวจตตราการประหารที่เชิญมาจากเมืองไท่หยวนเป็นพิเศษ ใบไม้เน่าเหล่านี้คงวางไว้ตั้งแต่หน้าประตูห้องขังจวนที่ว่าการอำเภอจรดถนนตะวันออกแล้ว
เมื่อขุนนางตรวจตราการประหารกับทหารผู้คุมตัวตีฆ้องเปิดทางบนถนนใหญ่ ผักใบไม้เน่าเหล่านั้นก็โยนจบระลอกแรกไปแล้ว
ซ่งอวิ้นผิงด้านในรถนักโทษก็กลายเป็นเละเทะดูไม่ได้อย่างยิ่ง ป้ายประกาศความผิดที่เสียบอยู่บนแผ่นหลังเบี้ยวไปแล้ว นักโทษหลวงซ่งอวิ้นผิงไม่กี่คำนี้ล้วนถูกใบไม้ผักกลบไปแล้ว
ซ่งอวิ้นผิงรู้สึกว่านอกจากลมหายใจแล้ว ยังมีความหวาดกลัวที่ไม่รู้สาเหตุ
ความหวาดกลัวนี้เดิมไม่น่าแปลก คนจะต้องตายแล้วย่อมต้องหวาดกลัว แต่นอกจากหวาดกลัวความตาย ยังมีความหวาดกลัวต่อความว่างเปล่าเมื่อทุกสิ่งสลายหายสิ้นไปอีกด้วย
เขาซ่งอวิ้นผิงอยู่ที่หยางเฉิงมาเกือบยี่สิบกว่าปี รีบเร่งแสวงหาชื่อเสียงกลายเป็นคนดีคนดัง ภักดีกตัญญูรู้มารยาท เดินออกไปใครไม่รู้จักเขาผู้ดูแลใหญ่ซ่ง ใครไม่ยกนิ้วโป้งชื่นชมเบื้องหลัง
ชื่อเสียงสร้างขึ้นมาไม่ง่าย ล้มลงไปกลับง่ายดายเช่นนี้
สายตาที่ถูกผมปรกบังของซ่งอวิ้นผิงพร่ามัวมองไปรอบด้าน ชาวบ้านเหล่านั้นไม่ปิดบังความเกลียดชังโกรธแค้นสักนิด บนเหลาสุราสองด้านคนร่ำรวยสูงศักดิ์ผู้มีหน้ามีตารังเกียจรวมถึงดูแคลน
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ เหมือนกับกำลังฝัน
ตื่นจากฝันแล้วเขาจะยังคงเป็นผู้ดูแลใหญ่ที่ทุกคนชื่นชม ตระกูลฟางเชื่อใจเคารพก่อนหน้านี้หรือไม่?
ที่จริงหากใช้ชีวิตอย่างนั้นทั้งชีวิตก็ไม่เลวเหมือนกันนะ
ในใจซ่งอวิ้นผิงพลันสำนึกเสียใจอยู่บ้าง
แต่ความสำนึกเสียใจนี้สายไปแล้ว เพราะมีทหารเปิดทาง รถนักโทษจึงผ่านถนนใหญ่ที่เบียดเสียดมาอย่างรวดเร็ว มาถึงด้านหน้าแท่นประหารแล้ว
ด้านหน้าแท่นประหารบรรดาทหารล้อมเป็นพื้นที่ว่างแถบหนึ่ง บนเวทีสูงบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ที่มาจากเมืองไท่หยวนนั่งอยู่ข้างบน
ซ่งอวิ้นผิงถูกลากลงมาจากรถนักโทษ ชักนำให้ในที่นั้นเอะอะขึ้นพักหนึ่ง แต่จากนั้นเสียงเอะอะนี้ฉับพลันก็สลายหายไป รอบด้านเปลี่ยนเป็นเงียบงัน
ความเงียบงันมาอย่างฉับพลัน ซ่งอวิ้นผิงมองไปโดยไม่รู้ตัว มองเห็นด้านในฝูงชนมากมายถี่ยิบมีที่แถบหนึ่งแหวกทางออก
มีคนกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อผ้าป่านไว้ทุกข์เดินออกมา
คนเหล่านี้แทบทั้งหมดเป็นผู้หญิง ที่นำหน้าคือนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่มีเส้นผมขาวโพลน ฟางเฉิงอวี่ที่พยุงนายหญิงผู้เฒ่าฟางอยู่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว
คนทั้งหมดล้วนถูกขวางไว้ด้านนอก แต่เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้เดินมา บรรดาทหารที่เห็นได้ชัดว่าคุยกันไว้ก่อนแล้วกลับเปิดทางให้
“เวลานี้ไม่อาจสังหารคู่แค้นด้วยมือตนเองต่อหน้าผู้คนได้อีกแล้ว”
มีขุนนางอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
การตายของนายอำเภอหลี่ประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยกลัวความผิด ไม่ว่าความจริงใช่หรือไม่ใช่ก็แพร่ออกไปแล้ว คำพูดนี้ยังคงพูดออกมาไม่ได้
ซ่งอวิ้นผิงก็หวาดกลัวอยู่บ้าง
ผู้หญิงเหล่านี้คงไม่ตบตีเขาตายตรงนี้ใช่ไหม? นั่นยังไม่สู้หนึ่งดาบตัดศีรษะให้ไวเสียดีกว่า
ที่โชคดีก็คือผู้คนตระกูลฟางไม่ได้โถมเข้ามา แต่หยุดยืนอยู่ที่ด้านล่างแท่นประหาร แต่ละคนๆ สีหน้าเคียดแค้นทั้งยังโศกเศร้าจ้องเขม็งที่เขา
ซ่งอวิ้นผิงหลุบสายตา
หลังฝูงชนเงียบไปครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นวุ่นวายขึ้นมา เพราะเพชฌฆาตขึ้นแท่นมาแล้ว
เช่นเดียวกับขุนนางผู้ตรวจตราการประหาร เพชฌฆาตก็เชิญมาจากเมืองไท่หยวนเป็นพิเศษเช่นกัน ว่ากันว่าเป็นปรมาจารย์มือเก๋าผู้มีฝีมือการตัดหัวมาสิบกว่าปีคนหนึ่ง ท่าทางน่าเกรงขามอย่างมาก สูงใหญ่กำยำหน้าตาดุร้าย กอดดาบหัวผีขึ้นแท่น ให้บรรดาชาวบ้านหยางเฉิงตกใจสูดลมหายใจหนาวยะเยือกเข้าไป ท่ามกลางอากาศฤดูร้อนเสพติดยิ่งนัก
หลังเพชฌฆาตยืนดีแล้ว ชาวบ้านต่างกลั้นลมหายใจ ส่วนขุนนางบนเวทีก็เริ่มต้นอ่านประกาศความผิด
แม้เรื่องนี้แต่เดิมต้นสายปลายเหตุฉบับต่างๆ ล้วนเล่าลือกันมานานมากแล้ว แต่จนกระทั่งวันนี้ถึงได้ฟังคำตัดสินอย่างเป็นทางการที่ชัดเจน ชาวบ้านล้วนตั้งหูรอฟัง นักเล่านิทานที่เดินทางมาจากที่ต่างๆ ล้วนตั้งหูยกพู่กันจดบันทึกไม่หยุด ทุกสิ่งในวันนี้จะกลายเป็นทรัพยากรในการหากินของพวกเขา
การประกาศความผิดนี้ละเอียดกว่าครั้งก่อนๆ มากนัก ประการที่หนึ่งคดีความเริ่มพูดตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน ประการที่สองเป็นคำขอร้องของตระกูลฟาง
ตระกูลฟางต้องการให้บรรดาชาวบ้านกระจ่าง คำสาปที่พวกเขาแบกรับหลายปีนี้ไม่ใช่ภัยพิบัติฟ้าแต่เป็นภัยพาลคน
ความผิดมากมายทอดต่ออ่านไปถึงครึ่งชั่วยาม บรรดาชาวบ้านฟังจนเพลิน บางครั้งเข้าใจบางครั้งอุทานตกใจบางครั้งโศกเศร้าบางครั้งโกรธเกรี้ยว
บรรดานักเล่านิทานตวัดพู่กันเร่งจดไปพลาง ในใจมั่นใจไปพลาง ประกาศความผิดนี้ต้องเชิญสหายร่วมอาชีพเกลาสำนวนมาก่อนแน่ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางเรียบง่ายเข้าใจง่ายเช่นนี้
อ่านประกาศคำตัดสินเสร็จสิ้น บรรดาชาวบ้านท่าทางยังติดอยู่ในห้วงอารมณ์ แต่ต่อมาจะเป็นช่วงที่ยิ่งคึกคักยิ่งคาดหวัง ฝูงชนจึงอดไม่ได้วุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
ขุนนางตรววจตราการประหารพิสูจน์ยืนยันตัวนักโทษอย่างเข้มงวด ขานเรียกชื่อซ่งอวิ้นผิงออกมา เพชฌฆาตก้าวขึ้นไปข้างหน้า เที่ยงตรงแสงตะวันส่องลงมาเงาร่างเหมือนจะสูงขึ้นดุจดั่งผีร้ายจากนรก ชาวบ้านเต็มลานเงียบสงัดทันที สายตาทั้งหมดล้วนรวมอยู่ที่ดาบหัวผีในมือเพชฌฆาต
ซ่งอวิ้นผิงนิ่งสนิทไปแล้ว ตรงข้ามเกิดความกล้าบางอย่างขึ้นมา
“ยี่สิบปีให้หลังเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งอีกครั้ง” เขาร้องเสียงดัง
เสียงนี้ทำให้ชาวบ้านตื่นเต้นอย่างมาก ส่งเสียงเอะอะขึ้นมาเป็นระลอกๆ
“เริ่มประหาร!” ขุนนางบนเวทีสูงเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจปฏิกิริยาเช่นนี้ โยนป้ายเบิกตัวนักโทษร้องเสียงดัง
เพชฌฆาตมือหนึ่งดึงป้ายประกาศความผิดออก ยกดาบหัวผีขึ้นสูง
“เชิญสู่ปรโลก” เขาตวาดเสียงดัง เขย่าขวัญชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ให้ใจสะดุ้งขึ้นมาสามครั้ง
หลังเสียงร้อง ดาบที่ยกขึ้นสูงก็ตวัดลงมา
บรรดาชาวบ้านกลั้นหายใจกัดฟัน แต่กลับไม่ได้เห็นภาพศีรษะตกพื้นเลือดพุ่งสามฉื่อ
ดาบหัวผีของเพชฌฆาตฟันเข้าที่หัวไหล่ของซ่งอวิ้นผิง ถากเพียงลำคอครึ่งหนึ่งของเขาไปอย่างน่าหวาดเสียว
เลือดทะลักออกมา คนก็กรีดร้องล้มลงไป แต่กลับไม่มีศีรษะคนตกพื้นจบชีวิต
นี่ทำให้คนตกใจกลัวเกินไปแล้ว
น่าตกใจกลัวยิ่งกว่าศีรษะคนตกพื้น เพราะคนที่ศีรษะตกห้อยไปครึ่งหนึ่งคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ยังคงกรีดร้อง
ชาวบ้านที่ล้อมชมอยู่ก็กรีดร้องพร้อมเพรียงกัน
……………………………………….