Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 602 หยางหง
บทที่ 602 หยางหง
บทที่ 602 หยางหง
[ประกาศ! กิลด์เอบีสเดมอนส์ได้ประกาศสงครามกับกิลด์บุปผาแดง! ระยะเวลาของกิลด์วอร์จะดำเนินไปอีกสิบสองชั่วโมง หากกิลด์บุปผาแดงถูกทำลายลงภายในระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ แต่หากสามารถปกป้องฐานที่มั่นไว้ได้จะถือเป็นผู้ชนะ! หลังจากสงครามจบลง ฝ่ายที่แพ้จะโดนลงโทษจากระบบ โดยถูกลดเลเวลลงหนึ่งขั้น หากเลเวลของกิลด์นั้นน้อยกว่าหนึ่งก็จะถูกทำลาย! ฝ่ายที่ชนะจะได้รับค่าประสบการณ์ที่ฝ่ายผู้แพ้สูญเสียไป! ระหว่างที่สงครามระหว่างกิลด์กำลังดำเนินอยู่ การที่ผู้เล่นสังหารผู้เล่นด้วยกันเองจะไม่นับว่ามีบทลงโทษ!]
[ประกาศ! กิลด์เอบีสเดมอนส์ได้ประกาศสงครามกับ
กิลด์บุปผาแดง…]
[ประกาศ! กิลด์เอบีสเดมอนส์ได้ประกาศสงครามกับกิลด์บุปผาแดง…]
ใบหน้าของโกวซานที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความชื่นมื่นในวินาทีแรก ต้องหน้าแข็งชาไปทันทีหลังได้ยินประกาศดังกล่าว
อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ เพราะคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในเมืองบุปผาแดงอีกนับแสนคนก็มีท่าทีไม่ต่างกันนัก พวกเขาเงียบสงัดไม่มีแม้กระทั่งเสียงหายใจ ราวกับว่าผู้คนมากมายที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นเพียงภาพฉายที่ไร้ชีวิตไปเสียอย่างนั้น
ส่วนที่ด้านนอกเมืองนั้น เหล่าสัมพันธมิตรจากแดนใต้หลายกิลด์ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว มีบางกิลด์ที่หันกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงประกาศนั้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก นั่นเพราะสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องของพวกตนแล้ว อย่างไรเสียพวกเขาก็ถือเป็นกิลด์ขนาดใหญ่ หากทำอะไรไม่เข้าเรื่อง ก็อาจจะเกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นกิลด์ที่ตัดสินใจจะหันหลังแล้ว จึงไม่คิดจะกลับมายุ่งกับเรื่องของกิลด์ขนาดเล็กเช่นนี้อีก
“พี่หง! พวกนั้นประกาศสงครามจริง ๆ ด้วย! พวกเราควรทำยังไงกันดี? เอายังงี้ไหม ออกจากฐานกิลด์แล้วหนีไปหลบภัยที่เมืองหลักของระบบกันก่อนดีกว่า!”
โกวซานตื่นตระหนก สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขานั้นไม่ได้เป็นความคิดที่จะทำเพื่อกิลด์เลย
“อย่าเพิ่งหวาดหวั่นไป ใช่ว่าจะไม่มีไพ่ตายซะที่ไหน”
อย่างไรก็ตาม กุยหงยังคงสามารถใจเย็นอยู่ได้ ราวกับว่ามั่นใจสถานการณ์ในครั้งนี้เสียเหลือเกิน เธอหันหลังกลับแล้วส่งข้อความเข้าไปในช่องแชตของกิลด์
“อย่าเพิ่งทำอะไร แล้วก็อย่าไปกลัวพวกนั้นด้วย คอยดูสถานการณ์ไว้ แล้วรอฉันสักสามสิบนาที เดี๋ยวจะรีบกลับไป”
หลังจากพูดไปแบบนั้นแล้ว กุยหงก็เปิดมิติสัตว์เลี้ยงของตนออกมาเพื่อเรียกสัตว์ขี่ประจำตัว ร่างของนกไฟยักษ์ที่มีลักษณะคล้ายกับฟินิกส์บินทะยานออกมาและพลิกตัวเพื่อให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งด้านบน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ปีกสีแดงเพลิงของมันก็เริ่มกระพือเพื่อส่งร่างของตนขึ้นสู่ฟากฟ้าไกลไล่ตามทัพของเหล่าสัมพันธมิตรแดนใต้ไปติด ๆ
เหล่าสมาชิกกิลด์บุปผาแดงที่อยู่ภายในเมืองต่างก็หน้าเสียกันหมด หลังจากรู้ว่ากิลด์ของพวกตนกำลังจะต้องเจอกับอะไร
หายนะระดับภัยพิบัติมาจ่อประชิดประตูเมืองเช่นนี้ จะไม่ให้พวกเขาวิตกกังวลเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่ผู้ไร้ซึ่งกำลังต่อต้านเช่นพวกเขาจะทำได้ ณ เวลานี้ คงมีแต่หวังให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมาเท่านั้น
ทัพของเหล่าสัมพันธมิตรแดนใต้นั้นเคลื่อนที่กันเร็วมาก ๆ โดยเฉพาะส่วนทัพหน้าที่นำทัพอื่นไปไกลลิบแล้ว ทว่าความเร็วของฟินิกส์เพลิงตัวนี้เองก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สัตว์ขี่ระดับธรรมดาอย่างแน่นอน และน่าจะจัดอยู่ในระดับสูงเลยด้วย
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น กว่านกฟินิกส์สีแดงเพลิงที่ลากหางยาวจนเกิดเป็นเส้นทางเพลิงพาดผ่านท้องฟ้าจะสามารถไล่ตามเหล่าทัพของสัมพันธมิตรแดนใต้ทัน มันก็ยังต้องใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีถึงจะเข้าถึงทัพหน้าได้ แถมที่ตามทันเพราะมีหนึ่งในกลุ่มคนจากทัพหน้าสังเกตเห็นมันด้วย พวกเขาถึงได้ชะลอความเร็วลง
ณ ความสูงที่หนึ่งหมื่นเมตรจากภาคพื้นดิน ฟากฟ้าควรจะปราศจากสิ่งใด แต่ในตอนนี้มันกลับคึกคักไม่แพ้บนพื้นเลย เหล่าผู้เล่นที่มองไม่ค่อยเห็นสถานการณ์เบื้องบนเท่าไหร่นักต่างก็พยายามเพ่งมอง แต่ด้วยระดับความสูงแล้ว พวกเขาก็ได้แต่เพียงงุนงงเท่านั้น ไม่มีใครมองเห็น เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครสามารถขึ้นไปดักเพลิงสีแดงที่กำลังพุ่งลงมาได้
ดังนั้นแล้วจึงไม่มีใครไว้วางใจว่าสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่อยู่นั้นจะเป็นพวกของตนหรือไม่ คนทั้งหมดจับตามองจนกระทั่งนกฟินิกส์สีแดงชาดของกุยหงบินถลาเข้ามาใกล้
“เธอเป็นใคร?”
กลุ่มอัศวินหญิงที่เข้าระยะโจมตีรีบเคลื่อนเข้ามาหยุดเธอไว้ก่อนจะได้ถลำเข้ามามากกว่านี้
คนเหล่านี้คือกลุ่มอัศวินที่คอยปกป้องขบวนรถของเทพธิดาอันดับหนึ่งแห่งเขตฮัวเซีย ซึ่งควบตำแหน่งเจ้าผู้ปกครองแห่งแดนใต้ด้วย ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ดูจะเป็นภัยคุกคามเสียยิ่งกว่าพันธมิตรอย่างกุยหงจึงถูกสกัดไว้ในทันทีที่เข้ามาหา
อีกทั้งเหล่าอัศวินหญิงที่สวมชุดเกราะสีเงินเหล่านี้ยังต่างควบม้ายูนิคอร์นสีขาวปลอดกันทุกคน ดังนั้นพวกเธอจะต้องไม่ใช่ทหารระดับล่างอย่างแน่นอน
กุยหงชะลอความเร็วลงทันที แต่นั่นไม่ใช่เพราะเธอหวาดเกรงต่อเหล่าอัศวินหญิงที่อยู่เบื้องหน้า มันเป็นเพราะเธอรู้สึกได้ถึงจิตสังหารและสายตาที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิดที่กำลังจับตามองอยู่ หากเป็นไปตามที่เธอได้รู้มาก่อนละก็ จิตสังหารเหล่านี้จะต้องมาจากกลุ่มนักฆ่าที่มีชื่อเสียงในกิลด์มิดซัมเมอร์แน่ ๆ แม้จะไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนบ้าง แต่หากเป็นไปได้ การไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามจะดีต่อตนเองเสียกว่า!
“ฉันอยากเข้าพบหลิวเฉียงเหว่ยหน่อย” กุยหงยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้ ก่อนจะพูดความตั้งใจของเธอให้เหล่าอัศวินสาวตรงหน้าฟัง
“พบท่านหัวหน้า? รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า?”
ท่ามกลางเหล่าอัศวินสาวเหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าหน่วย ซึ่งเธอคนนั้นก็รีบแทรกตัวเข้ามาหลังจากได้ยินคำพูดของกุยหง หญิงสาวจึงถามกลับด้วยความสงสัย ทั้งนี้เพราะพวกเธอล้วนเป็นสมาชิกกิลด์มิดซัมเมอร์กันทั้งสิ้น และหลิวเฉียงเหว่ยเองก็ถือเป็นเทพธิดาที่คอยค้ำจุนจิตใจพวกเธออย่างหาใครเปรียบมิได้
“เธอจะไม่ได้เข้าไปจนกว่าจะได้รับอนุญาต”
“ถ้าจะเข้าไปขออนุญาตก็ฝากบอกไปด้วยว่า ฉันมาคุยเรื่องที่อยู่ของเซียวเฟิง”
กุยหงไม่ได้ตอบคำถามตรง ๆ เพียงแค่ฝากข้อความให้หัวหน้าหน่วยที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปด้านใน
ส่วนหนึ่งก็เพราะหลิวเฉียงเหว่ยมีตัวตนอันสูงส่ง จึงมีผู้คนจำนวนมากที่อยากจะเพิ่มเธอเป็นเพื่อน เพราะอย่างนั้นตอนนี้เจ้าตัวจึงปิดระบบรับเพื่อนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“รอตรงนี้”
หัวหน้าหน่วยสาวยังคงเก็บความสงสัยในถ้อยคำของอีกฝ่ายเอาไว้ นั่นเพราะเธอไม่รู้ว่าเซียวเฟิงที่กุยหงพูดถึงนั้นหมายถึงใคร แต่หลังจากคิดทบทวนเรื่องนี้แล้ว เธอก็กลับไปแจ้งข่าวด้านในโดยให้อัศวินหญิงที่เหลือกันตัวผู้มาเยือนเอาไว้
กุยหงมองดูเวลา นี่มันก็ยี่สิบห้านาทีเข้าไปแล้วตั้งแต่ที่สงครามถูกประกาศออกไป ยิ่งเวลาผ่านมานานเท่าไหร่ ความไม่สบายใจของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่กล้าบุกทะลวงเข้าไปด้านในโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเป็นแบบนี้ เธอจึงทำได้เพียงขี่นกฟินิกส์ตามหลังขบวนรถของหลิวเฉียงเหว่ยที่ยังเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาเท่านั้น
“ท่านหัวหน้าให้เธอเข้าพบได้”
โชคยังดีที่หัวหน้าอัศวินสาวคนนั้นออกมาจากภายในเขตส่วนตัวของหลิวเฉียงเหว่ยอย่างรวดเร็วพร้อมกับข่าวดี คำพูดเพียงสั้น ๆ นี้ทำให้เหล่าอัศวินทั้งหมดที่เคยยืนขวางระหว่างเธอกับเป้าหมายนั้นพากันแหวกทางให้เธอเข้าไป รวมไปถึงจิตสังหารที่หนาแน่นก่อนหน้าก็พลอยลดลงไปด้วย แต่แค่ลดลงเท่านั้น เพราะกุยหงยังคงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจาง ๆ ที่คอยกดข่มเธอไว้ในระดับหนึ่ง
แต่ไม่ว่าใครจะกำลังจับจ้องเธออยู่ในความมืด การที่หลิวเฉียงเหว่ยอนุญาตให้เข้าพบได้ก็ทำให้เธอโล่งใจขึ้นไม่น้อย หญิงสาวจึงไม่อาจปล่อยให้เวลาไหลไปอย่างสูญเปล่า เธอกระชับบังเหียนในมือเพื่อให้ฟินิกส์ของเธอบินถลาเข้าหาจุดที่หลิวเฉียงเหว่ยอยู่ในทันที
จากที่เธอรู้ผ่านรายงานต่าง ๆ ว่า ภายในทัพสัมพันธมิตรแดนใต้ในครั้งนี้ มีขบวนที่ถูกลากจูงด้วยนกฟินิกส์ตัวใหญ่อยู่ด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นขบวนทัพของเจ้าผู้ปกครองแดนใต้ ทว่าภาพที่ถูกถ่ายติดนั้นเป็นเพียงภาพจากระยะไกล เพราะว่าไม่มีผู้เล่นคนไหนสามารถเข้าไปใกล้ตัวขบวนทัพได้ ดังนั้นรอบ ๆ ขบวนนกฟินิกส์ตนนี้จึงมีได้แค่คนใกล้ตัวของเจ้าผู้ปกครองแดนใต้เท่านั้น
ทันทีที่กุยหงเข้าถึงขบวนนกฟินิกส์ยักษ์ตนนี้ได้ เธอก็ต้องตกตะลึงไปกับความหรูหราที่อยู่ด้านใน ห้องโถงขนาดใหญ่บนราชรถลอยฟ้านี้ควรค่าแก่การเป็นที่พำนักของเจ้าแห่งแดนใต้ประจำเขตฮัวเซียยิ่งนัก!
ขนาดด้านนอกยังหรูหราขนาดนี้ ภายในจะยิ่งหรูขนาดไหน ข่าวลือมากมายบอกไว้ว่าความงดงามภายในนั้นไม่ต่างอะไรกับปราสาทขนาดย่อมเลย!
แต่เพียงแค่ภายนอกก็สามารถบอกได้แล้วว่า ความหรูหราของปราสาทขนาดเล็กแห่งนี้ไม่ได้ดูแสบสันไปด้วยสีทองอร่ามตาอย่างที่ควรจะเป็น มันถูกปกคลุมด้วยสีโทนเดียวกับดอกลาเวนเดอร์ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นสีทองอ่อน ๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงบและสูงส่งขึ้นมาได้แม้เพียงแค่ได้มอง!
หลังจากเดินมาได้ครู่หนึ่ง ผ่านโถงอันหรูหราของราชรถคันงามนี้ไปแล้ว เบื้องหน้าของกุยหงดูเหมือนจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดแล้ว
สาเหตุที่ทำให้เธอรู้ว่าที่เดินผ่านมานั้นไม่ใช่ส่วนสำคัญอะไรนัก นั่นก็เพราะจากการออกแบบของมัน ซึ่งดูไม่เหมือนกับที่สำหรับพักอาศัยเลยสักนิด
หญิงสาวต่างกิลด์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าส่วนที่ถูกผืนผ้าม่านสีม่วงอ่อนซึ่งฉลุด้วยลวดลายสีทองมันวาวขวางกั้นไว้ มันไม่ใช่ผ้าม่านที่หนาอะไรนัก เพราะเมื่อมองทะลุผ่านไปแล้ว ก็จะเห็นบัลลังก์รูปทรงนกฟินิกส์ตั้งอยู่ และบนบัลลังก์นั้น ร่างงามที่ดูอ่อนช้อยกำลังประทับอยู่ด้วยเช่นกัน
“ท่านหัวหน้า…โรส?”
เธอไม่กล้าผลีผลามเข้าไปทันทีและเลือกที่จะยืนอยู่ด้านนอกโถงดังกล่าว ขณะพยายามจับจ้องไปยังผู้อยู่เบื้องหลังม่านบางและกล่าวถามอย่างระมัดระวัง
“ฉันรู้จักเธอ หยางหง…ใช่ไหม? เธอเคยเปิดธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ตในมหาวิทยาลัยเซีย แล้วก็ถ้าฉันจำไม่ผิด รู้สึกจะชื่อโกลด์เมดัล อินเทอร์เน็ตคาเฟ่สินะ?”
แม้จะถูกขวางกั้นด้วยม่านผืนบาง เสียงที่เรียบสงบแต่เปี่ยมไปด้วยความงดงามของหญิงสาวก็ดังลอยออกมา เสียงนั้นสะท้อนกังวานรับกับความกว้างขวางของปราสาทเคลื่อนที่แห่งนี้ จนกลายเป็นเสียงที่ก้องดังแม้ผู้พูดจะไม่ได้ตะโกนก็ตาม
หัวใจของกุยหงสั่นสะท้านราวกับระฆังที่ถูกตีหลังได้ยินเสียงของอีกฝ่าย เธอยืนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา
ใช่…อีกฝ่ายพูดถูกแล้ว เธอคือเจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ โกลด์เมดัล ผู้ถูกเรียกว่าลูกพี่หงมาตลอด ครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยดูแลเซียวเฟิงอยู่ด้วย
เดอะมิธนั้นโด่งดังไปทั่วทุกมุมของโลกแห่งความจริง และเจ้าแห่งฮีลเลอร์เองก็โด่งดังไปทั่วทั้งสองโลกด้วย
แน่นอนว่าลูกพี่หงยังคงจำใบหน้าของเซียวเฟิงได้หลังจากที่ใบหน้าจริงของเจ้าแห่งฮีลเลอร์ถูกเปิดเผย และใช่แล้ว…
‘ไพ่ตาย’ ที่เธอว่าไว้ก็คือเจ้าแห่งฮีลเลอร์ ยอดผู้เล่นอันดับหนึ่งจากทั่วทุกเซิร์ฟเวอร์นั่นแหละ!
ถึงแม้ว่าเซียวเฟิงจะปิดระบบเพิ่มเพื่อนเอาไว้ ทำให้เธอไม่สามารถเพิ่มเขาเป็นเพื่อนได้ แต่ถึงจะไม่ปิด การที่เขาไม่ได้ออนไลน์มากว่าหนึ่งเดือนแล้วก็คงให้ผลไม่ต่างกันนัก เพราะไม่ว่าอย่างไร กุยหงก็ไม่สามารถติดต่อเซียวเฟิงได้อยู่ดี
ในกรณีนี้ ผู้เดียวที่ยังพอจะช่วยเธอได้ก็มีแต่หัวหน้ามิดซัมเมอร์อย่างหลิวเฉียงเหว่ยเท่านั้น
ผู้ปกครองกิลด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ผู้เป็นเจ้าแห่งกิลด์แดนใต้ทั้งปวง และที่สำคัญ…ผู้เป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งแห่งเขตฮัวเซีย!
ในช่วงแรกหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเซียวเฟิงคือเจ้าแห่งฮีลเลอร์ผู้เป็นอันดับหนึ่งของทุกเซิร์ฟเวอร์ในเดอะมิธ หยางหงก็เริ่มเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์คนนี้จนได้ข้อมูลมามากในระดับหนึ่ง
ซึ่งหนึ่งในบรรดาข้อมูลที่เธอได้มาก็มีเรื่องของเทพธิดาอันดับ หนึ่งที่อยู่เหนือผู้เล่นเขตฮัวเซียทุกคนด้วย และข้อมูลที่ว่านั้นก็คือการที่เทพธิดาอันดับหนึ่งของเขตฮัวเซียมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับเซียวเฟิงอยู่!
เธอรับรู้มันได้ผ่านสัญชาตญาณของผู้หญิง!
ไม่คาดคิดเลยจริง ๆ ว่าก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ มันจะกลายเป็นฝ่ายเธอเสียเองที่ต้องตกตะลึงไปกับสิ่งที่หลิวเฉียงเหว่ยทักขึ้นมาเสียก่อน
คน ๆ นี้แอบสืบเรื่องของเธอมาแล้วเหรอ?
สิ่งนี้ทำเอาหยางหงไม่สามารถควบคุมความเยือกเย็นของตนเองได้อีก หลายสิ่งหลายอย่างยังคงตีกันอยู่ภายในหัว เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหลิวเฉียงเหว่ย จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่เธอคนนี้จะต้องมาสืบเรื่องราวของตน
“ขอโทษนะ เธอแอบสืบเรื่องของฉันมาเหรอ? ไม่สิ… หรือว่า…เซียวเฟิง?”
หยางหงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเช่นนั้น ในขณะเดียวกันเธอก็คอยมองรอบ ๆ ตัว รวมไปถึงเพ่งมองไปยังผู้อยู่หลังม่านผืนใหญ่นี้ไปด้วย แล้วเธอก็พบว่า ร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ฟินิกส์ค่อนไปทางร่างของสตรีมากกว่า แต่เหนือสิ่งอื่นใด ที่ตักของผู้อยู่หลังม่านมีสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ กำลังนอนหลับอยู่
ไม่…นั่นไม่ใช่สัตว์เลี้ยง! นั่นมันเทวทูตผมสีเงินตัวน้อย!
หญิงสาวหรี่ตาลงช้า ๆ เพื่อนำภาพที่เห็นไปประกอบกับข้อมูลที่ศึกษามาในหัว ไม่ผิดแน่นอน เด็กสาวคนนั้นคือสัตว์เลี้ยงของเซียวเฟิง! สัตว์เลี้ยงรูปแบบเทวทูตระดับตำนาน!
“ฉันสืบข้อมูลของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเซียวเฟิงมาแล้ว และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย” หลิวเฉียงเหว่ยพูดเสียงเบา แต่เนื้อหาในคำพูดนั้นก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเธอปิดบังอะไรอยู่
“ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะซับซ้อนกว่าที่ฉันคิดอีกนะ” หยางหงเปิดปากพูด
หัวหน้ามิดซัมเมอร์สืบข้อมูลของเซียวเฟิงอยู่จริง ๆ ด้วยสินะ?
“เธอรู้หรือเปล่าว่าเขาอยู่ที่ไหน?” หัวหน้าสาวไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เธอยิงตรงเข้าประเด็นที่ต้องการรู้ด้วยน้ำเสียงที่ดูเร่งเร้าขึ้นมาเล็กน้อย
เซียวเฟิงหายตัวไปโดยไม่มีข่าวสารอะไรเลยมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วก็จริง แต่ครั้งนี้กลับมีบางสิ่งบางอย่างทำให้ใจของหลิวเฉียงเหว่ยรู้สึกไม่สงบเอาเสียเลย แต่เธอเพียงพยายามซ่อนมันเอาไว้มาตลอดเท่านั้นเอง
ทันทีที่รู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อหยางหงคนนี้พอจะรู้เรื่องของเซียวเฟิงอยู่บ้าง หลิวเฉียงเหว่ยจึงไม่อาจจะเก็บซ่อนความกังวลของเธอไว้ได้อีก
“ฉ-ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละน่า แต่ได้ยินมาว่า เซียวเฟิงหรือเจ้าแห่งฮีลเลอร์ของเขตพวกเราหายสาบสูญไปอย่างลึกลับก็เท่านั้น” หยางหงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะเล่นตัวสักหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำอะไรเช่นนั้นต่อหน้าหลิวเฉียงเหว่ย เพราะอย่างนั้นเธอจึงพูดความจริงออกไป
“เธอไม่กลัวว่าฉันจะโกรธหรือไง ที่เข้ามาพบฉันโดยเอาเรื่องที่อยู่ของเซียวเฟิงมาอ้างน่ะ?”
น้ำเสียงของหลิวเฉียงเหว่ยแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเล็กน้อย แม้ว่ามันจะยังเยือกเย็นอยู่ก็ตาม