novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 xoslotz ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1901 ชนรุ่นหลังของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์

  1. Home
  2. A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
  3. ตอนที่ 1901 ชนรุ่นหลังของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์
Prev
Next

“หากสหายคิดจะปล่อยมันจริงๆ ตอนนั้นแม้ว่าพวกเราสี่คนจะร่วมมือกันก็ต้องถือโอกาสที่มันอ่อนแอที่สุดถึงได้ผนึกมันไว้ในเขตอาคมเก้าตะวันตัดดาราอาทิตย์ได้ แม้ว่าจะยังคงอยู่ แต่หากเขตอาคมถูกบีบให้ใช้มันเป็นเครื่องมือสังหาร แต่หากจะปล่อยสัตว์ประหลาดตัวนั้นออกมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะโจมตีเจ้ากับข้าก่อนหรือไม่ ถึงอย่างไรเสียมันก็มีสติสัมปชัญญะ” อรหันต์ชิงหลงยังคงกังวลใจ

“จุดนี้อรหันต์ไม่ต้องกังวล ยันต์วิญญาณโลหิตแผ่นนั้นถูกบ่มเพาะมาพอสมควรแล้วอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย ข้าถามปรมาจารย์ที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะแล้ว แม้ว่ายันต์แผ่นนี้จะไม่ได้ถูกบ่มเพาะจนประสบความสำเร็จทั้งหมดแต่ก็มีพลังแต่เดิมอยู่เกือบครึ่ง ขอแค่ปลูกถ่ายยันต์นี้ลงไปในสัตว์ประหลาดตัวนั้น แม้ว่าอาจจะไม่อาจควบคุมจิตใจของมันทั้งหมดได้ แต่การที่จะไม่ให้มันไม่โจมตีพวกเราก็ยังพอทำได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญก็คือพวกเราจะยื้อเวลาอีกสองเดือนได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเสียการผนึกอสูรตนนี้ไว้ในเขตอาคมเก้าตะวันตัดดาราอาทิตย์ก็มั่นคงมาก หากประสิทธิภาพของเขตอาคมนี้ไม่หายไปพวกเราก็ไม่อาจคลายผนึกปล่อยอสูรตนนี้ออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ากับข้าก็รู้ดีหากไม่ใช่ว่าเพราะจอมมารเหล่านั้นไม่อยากสูญเสียลูกสมุนไปมากนักจึงไม่โจมตีเมืองเต็มกำลัง แม้ว่าจะมีเขตอาคมเก้าตะวันตัดดาราอาทิตย์พวกเราก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของเผ่ามารได้” เซียนหลินหลวนเอ่ยด้วยแววตาเปล่งประกาย

“ยันต์วิญญาณโลหิตบ่มเพาะเสร็จแล้ว เยี่ยมจริงๆ ยามนี้มีเซียนหยินกวงและสหายหานพวกเราก็น่าจะยื้อเวลาไปได้ถึงวันนั้น เกรงว่าเผ่ามารคงคิดไม่ถึงว่าแม้พวกมันจะรอให้ถึงวันที่ดวงอาทิตย์ทั้งห้ากลายเป็นดวงจันทร์ แต่พวกเราก็รอวันนั้นอยู่เช่นกัน” อรหันต์ชิงหลงได้ยินก็เอ่ยด้วยความยินดี

“มีสัตว์ประหลาดตัวนี้ช่วยเหลือ สถานการณ์ที่แย่ที่สุดก็แค่ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ถึงยามนั้นหากไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็พาศิษย์หลักย้ายไปที่เมืองเทวะสวรรค์ ถึงที่นั่นแม้ว่าจะต้องอาศัยอยู่ชายคาของคนอื่น แต่อย่างน้อยก็น่าจะไม่เป็นอันตรายจากเคราะห์มาร สองสามวันก่อนที่ดวงอาทิตย์ทั้งห้าจะกลายเป็นดวงจันทร์ สหายก็ไปรวบรวมทรัพยากรที่สะสมในเมืองและลูกศิษย์หลักเอาไว้ หากเกิดอันใดขึ้น จะได้ใช้ ‘กระสวยแหวกเมฆ’ ที่พวกเราเตรียมการเอาไว้บรรทุกพวกเราออกไปจากเมืองได้ทัน ขอแค่พวกเราพยายามรั้งจอมมารเหล่านั้นเอาไว้ ศิษย์เหล่านี้ก็หนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว” เซียนหลินหลวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะจัดการทางหนีทีไล่เอาไว้หมดแล้ว แผนการละเอียดถี่ถ้วนมาก

“อืม ก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้ น่าเสียดายจริงๆ หากสหายหวงเรี่ยและพวกทั้งสองยังอยู่ เมืองอี่เทียนจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายขนาดนี้ได้อย่างไร” อรหันต์ชิงหลงครุ่นคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอันใด แต่ก็นึกอันใดขึ้นมาได้ พลางเอ่ยอย่างเสียดาย

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจอมมารเผ่ามารจะเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงนี้ มิเช่นนั้นหากสำแดงเขตอาคมสี่คชสารพลิกสวรรค์ที่พวกเราสี่คนตั้งใจเตรียมเอาไว้ ก็น่าจะไม่ตกเป็นรองจอมมารเหล่านั้น” เซียนหลินหลวนได้ยินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เอาละ แผนการคร่าวๆ ก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทว่าสำนักอี่เทียนสูญเสียอาวุโสไปสองท่าน  จิตใจของผู้คนก็สั่นคลอน เซียนหลินต้องระวังหน่อย ยังมีวัตถุดิบที่ต้องการในการซ่อมแซมหุ่นเชิดสัมฤทธิ์เหล่านั้นจะต้องจัดหาจำนวนไม่น้อย กองทัพหุ่นเชิดนี้เป็นสิ่งที่สี่พรรคของพวกเราหลอมขึ้นมาสองสามหมื่นปี น่าจะเป็นเครื่องหลักในการจัดการกับอาชามารว่านเซี่ยง”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่สำหรับมารสงครามเจียหลุนนั้น เกรงว่าพวกเราคงต้องใช้พลังของยอดฝีมือในสำนักแล้ว มิเช่นนั้นอาศัยแค่หุ่นเชิดเหล่านั้นคงไม่อาจต้านทานมารสงครามนี้ได้…”

อรหันต์หวงหลงเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา เอ่ยถึงเรื่องที่เป็นรูปธรรม

เซียนหลินหลวนตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แม้ว่าสตรีผู้นี้จะมีพลังยุทธ์ต่ำกว่าอรหันต์ชิงหลง แต่เห็นได้ชัดว่าการจัดการเรื่องนี้กลับอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า

และในยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่เหลืออยู่ทั้งสองคนของเมืองอี่เทียนยังคงปรึกษากันอย่างจริงจังนั้น ห่างออกไปสองสามหมื่นลี้ในหุบเขายักษ์ที่มีไอมารหมุนวน เผ่ามารระดับจอมมารสี่ตนก็รวมตัวกันที่ห้องโถง กำลังพูดคุยอันใดอยู่

สองคนในนั้นคนหนึ่งคือชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำ นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักด้วยท่าทีทระนงองอาจ อีกคนคือชายหนุ่มชุดคลุมสีขาว แต่กลับพิงอยู่ที่เสาหินข้างประตู สีหน้าไร้ความรู้สึก

เผ่ามารที่เหลืออีกสองคนคนหนึ่งคือสตรีผู้งดงามร่างกายอรชนอ้อนแอ้น สวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำแข็ง พลางยิ้มน้อยๆ ไม่พูดจา

คนสุดท้ายกลับเป็นชายร่างยักษ์สูงสี่จั้งสวมชุดเกราะสงครามสีแดงเพลิง เผยแค่ดวงตาสองข้างออกมาคาดไม่ถึงว่าจะมีเปลวเพลิงไหลวนโคจรอยู่ข้างใน

“อันใดนะ ท่านลี่และพวกทั้งสามถูกสังหารพร้อมกันแล้วยังให้พวกเราหยุดการโจมตีเมืองอี่เทียนชั่วคราวเพื่อส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้!” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำที่เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ ชายร่างยักษ์ที่มีเกราะสีเพลิงหุ้มอยู่ก็ส่งเสียงร้องคำรามอย่างไม่อยากจะเชื่อออกมา

มารตนนี้พยายามลดเสียงลงแต่ ลำคอที่ใหญ่โตก็ยังคงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งห้องโถง

ทำให้คนอื่นๆ อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้!

“พี่ฉังนี่เป็นความจริงหรือ ไม่ได้ล้อน้องหญิงเล่นสินะ” หญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นเอ่ยซักถามขึ้นด้วยความฉงน

“ข้าก็เพิ่งได้รับคำสั่งหลังจากที่กลับมา คำสั่งนี้เป็นคำสั่งที่ใต้เท้าเซวี่ยกวงรับสั่งด้วยตนเองย่อมไม่มีทางเป็นเรื่องเท็จและยิ่งไปกว่านั้นมือสังหารหยินหยางของใต้เท้าก็ถูกส่งออกมาแล้ว อีกหนึ่งเดือนจะมารวมตัวกับพวกเราที่นี่ ดูเหมือนว่าท่านลี่และพวกทั้งสามไม่เพียงถูกลอบโจมตีจนตาย ยังทำของสำคัญของใต้เท้าเซวี่ยกวงหายไปด้วย” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลับตอบกลับอย่างเคร่งขรึม

“คาดไม่ถึงว่ามือสังหารหยินหยางจะถูกส่งออกมา ดูแล้วของสิ่งนั้นคงสำคัญกับใต้เท้าเซวี่ยกวงมาก มิเช่นนั้นจะปล่อยให้คนสนิทสองคนออกห่างกายได้อย่างไร พี่ฉังท่านรู้หรือไม่ว่าท่านลี่และพวกทำอันใดหายไป คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลงมือเช่นนี้ได้” หญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นตกตะลึงไปเล็กน้อย

“ก็ไม่แน่ใจ ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่รอให้มือสังหารหยินหยางมาถึงพวกเจ้าก็ถามเอาก็แล้วกัน” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำสั่นศีรษะขณะเอ่ย

“เหอะๆ เรื่องที่ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากบอกพวกเรา หากเข้าไปถามจะไม่เป็นการทำตัวไม่เหมาะสมหรือ ทว่ายามนี้ต้องถอนตะปูออกจากเมืองอี่เทียน หากไม่ได้อะไรเลยก็น่าเสียดายมาก” หญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นกลับหรี่ตาทั้งสองข้างแล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา

หญิงสาวผู้นี้เป็นจอมมารระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นเท่านั้นแต่ยามที่เผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ใส่ชุดเกราะสีดำที่อยู่ในระดับขั้นปลายกลับดูเหมือนจะไม่ได้เคารพนบน้อมนัก

“ไม่ใช่ละทิ้งแต่แค่ไม่ไปรบกวนเมืองอี่เทียนชั่วคราวเท่านั้น เมื่อวันที่ห้าอาทิตย์กลายเป็นดวงจันทร์มาถึงก็จะทำการโจมตี เมืองอี่เทียนก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงระดับผสานอินทรีย์สองคนเพิ่มมา มีอิทธิฤทธิ์มาก หากส่งทหารออกไปก่อความวุ่นวายก็ไม่มีประโยชน์นักและยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อสองมือสังหารหยินหยางจะมาถึง ไม่แน่ว่ายามที่ทำการโจมตีก็เรียนเชิญให้พวกเขาช่วยพวกเราอีกแรงก็ได้ เช่นนี้แม้ว่าเผ่ามนุษย์จะมีแผนการร้ายอันใดก็ไม่มีค่าพอแน่” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“นั่นมันก็ใช่ หากสองมือสังหารหยินหยางยอมเข้าร่วมการโจมตีเมือง การยึดเมืองอี่เทียนก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก ทว่าฟังจากน้ำเสียงของพี่ฉังดูเหมือนว่าจะประมือกับมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่มาใหม่แล้วและน่าจะรู้อิทธิฤทธิ์ของพวกเขาสินะ เล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่!” หลังจากที่หญิงสาวกลอกตาไปมาก็เอ่ยขึ้น

“ผู้ที่ได้พบกับหน่วยสนับสนุนทั้งสองไม่ได้มีแค่ผู้แซ่ฉัง เหลิ่งเลิ่นก็ได้ประมือเช่นกัน” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำได้ยินคำถามนี้ก็ขมวดคิ้วและตอบกลับอย่างเชื่องช้า

“พี่เหลิ่งท่านประมือกับหน่วยสนับสนุนแล้วหรือ! พละกำลังของพวกเขาเป็นอย่างไร?” ครั้งนี้กลับเป็นมนุษย์ยักษ์ชุดเกราะสีแดงที่เอ่ยถาม

“คนหนึ่งระดับขั้นต้น คนหนึ่งระดับขั้นกลาง คนหนึ่งแข็งแกร่ง คนหนึ่งอ่อนแอ!” ชายหนุ่มชุดขาวดูเหมือนจะไม่ชอบพูดพล่าม หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้พ่นคำพูดไม่กี่คำออกมา

“สหายเหลิ่งคำตอบของเจ้ามันคลุมเครือเกินไปหน่อยกระมังและยิ่งไปกว่านั้นพี่เหลิ่งก็เป็นชนรุ่นหลังของบรรพชนเสวี่ยเทียน มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน คำว่าแข็งแกร่งและอ่อนแอสำหรับท่านย่อมแตกต่างจากพวกเรา” หญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นพลันตกตะลึงจากนั้นก็ปิดปากด้วยรอยยิ้ม

“หนึ่งในนั้นสู้เจ้าไม่ได้ อีกคนหนึ่งสังหารเจ้าได้นับว่าเข้าใจแล้วสินะ!” ชายหนุ่มชุดขาวยังคงมีสีหน้าราบเรียบแต่สิ่งที่พูดออกมากลับทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวแข็งค้าง ในเวลาเดียวกันใบหน้างดงามก็เป็นสีขาวสลับเขียว

“พี่เหลิ่งพูดเกินไปหรือเปล่า เซียนอวี่เองก็เป็นหนึ่งในชนรุ่นหลังห่างๆ ของใต้เท้าหมิงหลัวในอดีต ต่อให้โลหิตในร่างจะสู้สหายที่ได้รับการสืบทอดจากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มาโดยตรง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบเทียมได้” มนุษย์ยักษ์เกราะสีเพลิงมีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นในแววตาในเวลาเดียวกันก็เอ่ยคำพูดไม่เชื่อถือออกมา

“ผู้แซ่เหลิ่งแค่เอ่ยสิ่งที่ตนคาดเดา เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า” ชายหนุ่มชุดขาวตอบด้วยเสียงเย็นชา

มนุษย์ยักษ์เกราะเพลิงได้ยินก็หมดคำพูด

“หึๆ แม้ว่าน้องเหลิ่งจะพูดไม่เข้าหูแต่มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาใหม่สองคนนั้นมีคนหนึ่งที่ไม่ธรรมดาจริงๆ อย่างน้อยกายเนื้อของคนผู้นี้ก็แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าข้า ในเวลาเดียวกันก็ดูเหมือนจะมีอิทธิฤทธิ์มหาศาล รับการโจมตีไอหนักพันชั่งของข้าได้โดยไม่เป็นอันใด ต้องเข้าใจว่าพลังแรงตะปบของข้าแฝงไปด้วยพลังกฎเกณฑ์อานุภาพเพียงพอที่จะย้ายภูเขาพลิกทะเลได้!” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำกลับหาววอดขณะเอ่ย

“คนผู้นั้นรับมือยากขนาดนี้เลยหรือ?” หญิงร่างน้อยฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแต่ยามนี้ได้ยินชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำเอ่ยขึ้นก็อดที่จะตกตะลึงและใจเต้นระรัวไม่ได้

“คำพูดของน้องเหลิ่งไม่นับว่าเกินจริง มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นให้ความรู้สึกที่อันตรายมาก ข้าอาจจะสังหารเขาไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าและน้องเหลิ่งคงไม่ปะทะแล้วตัดสินใจกลับทันที หากสหายทั้งสองพบเข้าก็ต้องระวังให้มาก” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำมีสีหน้าเคร่งขรึมใช้น้ำเสียงเข้มงวดเอ่ยขึ้น

“ขอบคุณพี่ฉังและพี่เหลิ่งที่เตือนสติ ทว่าหากพบจริงๆ ข้าก็อยากเรียนรู้แลกเปลี่ยนกับมนุษย์ผู้นั้นว่าจะร้ายกาจอย่างที่สหายทั้งสองกล่าวหรือไม่!” หญิงสาวร่างน้อยพยักหน้าแต่แววตางดงามกลับมีแววกระเหี้ยนกระหือรือปรากฏขึ้น

ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำเห็นเช่นนี้ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ยามที่คิดจะเอ่ยปากพูดอันใด มนุษย์ยักษ์เกราะสีเพลิงกลับเอ่ยประโยคที่ทำให้คนอื่นๆ ตะลึงงันกลับมา

“ในเมื่อมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ร้ายกาจเช่นนี้ การตายของท่านลี่และพวกทั้งสามจะไม่เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้หรือ?”