novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • anime
  • โดจิน
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
hotgraph Hydra888 xoslotz ดูบอลสด UFAC4 PANAMA888 lotto432 ufabet london168 newyork UFAZEED UFA1919 PG freefire เว็บหวยฮานอย ซื้อหวยฮานอย SSGAME350 เล่นเซ็กซี่บาคาร่า AE SEXY เว็บบาคาร่าดีที่สุด dgthai nowbet หวยออนไลน์

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1940 แยกจากกัน

  1. Home
  2. A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
  3. ตอนที่ 1940 แยกจากกัน
Prev
Next

ถือโอกาสงามๆ นี้ หานลี่ถูมือทั้งสองข้างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แล้วชูมือขึ้นทันที!

เสียงฟ้าร้องดังขึ้น!

สายฟ้าสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นตาข่ายไฟฟ้าขนาดยักษ์ห่อหุ้มไปทางศิลาวิญญาณ และหดเล็กลงในชั่วพริบตา

รอจนสัตว์วิญญาณได้สติขึ้นมาหลังจากแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เรือนร่างพลันถูกประจุไฟฟ้าห่อหุ้มเอาไว้ตั้งนานแล้ว

ศิลาวิญญาณย่อมไม่ยอมถูกจับเป็น มันร้องเสียงแหลม เปลวเพลิงปีศาจสีเหลืองบนร่างทะลักออกมาอีกครั้ง

เมื่ออัสนีเทวะปัดเป่าภยันตรายที่กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีทองและเปลวเพลิงสัมผัสกัน คาดไม่ถึงว่าจะเผยท่าทีหลอมละลายพร้อมกับเสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นเบาๆ

คาดไม่ถึงว่าศิลาวิญญาณจะดิ้นรนจนหลุดออกมาได้!

แต่หานลี่ที่กักมันไว้อย่างไม่ง่าย จะปล่อยโอกาสให้มันได้อย่างไร ทันใดนั้นมุมปากก็หยักรอยยิ้มเย็นชา มือหนึ่งร่ายอาคม เคลื่อนย้ายกลายเป็นมาอยู่ใกล้กับศิลาวิญญาณแค่คืบ

แต่ในยามนั้นเอง ข้างหูของเขาพลันมีเสียงเร่งเร้าของอรหันต์เฮยอวี่ดังขึ้น

“สหายหานช้าก่อน สัตว์วิญญาณชนิดนี้ปล่อยให้แมลงวิญญาณของตาเฒ่าจัดการก็พอแล้ว”

หานลี่พลันตกตะลึง อดที่จะชะงักมือไม่ได้

เห็นเพียงชายชราที่เดิมลอยนิ่งอยู่กลางอากาศพลันดวงตาเปล่งประกาย จากนั้นก็ร้องเสียงแหลมสูงยาวๆ ออกมา

แทบจะในเวลาเดียวกันแมงป่องบินสีฟ้าครามตัวนั้นพลันรางเลือน เงาลวงตาเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นแมงป่องบินที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วสิบกว่าตัว

แมงป่องบินเหล่านี้ขยับปีก ก็ทยอยกันกลายเป็นลำแสงสีฟ้าสลายหายไปจากที่เดิม

และครู่ต่อมาระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้น แมงป่องบินเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นเหนือศิลาวิญญาณ หางตะขอเปล่งประกาย ลำแสงสีฟ้าที่เคยปรากฏขึ้นถูกพ่นออกมาพร้อมกัน

ครั้งนี้ศิลาวิญญาณถูกประจุไฟฟ้าสีทองรัดแน่นจนไม่อาจขยับตัวได้ แน่นอนว่าย่อมถูกลำแสงสีฟ้าทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่าง

ชั่วพริบตาที่หมอกสีฟ้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสัตว์วิญญาณ ผิวที่เดิมมีเพลิงปีศาจลุกโชนพลันหม่นแสงลงราวกับพบกับดาวมฤตยู แม้กระทั่งส่งเสียงอึกทึกแล้วสลายหายไป

ศิลาวิญญาณหวงเหลียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็เปลี่ยนเป็นระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา ภายใต้การขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก็อ้าปากออกดูด ร่างกายพองขึ้นราวกับลูกโป่ง ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งก็แผ่ออกมาจากเรือนร่าง

หานลี่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาด ฉับพลันนั้นก็นึกอันใดขึ้นมาได้พลางหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายพลิ้วไหว ปรากฏตัวห่างออกไปร้อยจั้งเศษ

และในยามนั้นเองร่างของศิลาวิญญาณก็บวมพอง ทำให้ประจุไฟฟ้าสีทองเหล่านั้นดีดเปรี๊ยะๆ ไม่หยุด ราวกับจะระเบิดได้ตลอดเวลา

“เวรเอ๋ย คิดจะระเบิดตัวเอง! ตาเฒ่าเตรียมรับมือไว้นานแล้ว” อรหันต์เฮยอวี่ที่เพิ่งหลุดจากเคล็ดวิชาลวงตา แค่นเสียงด้วยความเย็นชา ยกมือขึ้นตะปบไปกลางอากาศ

สายฟ้าสีเงินทั่วท้องฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นตาข่ายสีเงินบางๆ ราวกับเส้นไหมปรากฏขึ้นเหนือยอดเขา จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ห่อหุ้มลงมาบนเรือนร่างของศิลาวิญญาณหวงเหลียน

เสียงเพรียกดังขึ้น!

ตาข่ายเส้นไหมสีเงินติดอยู่กับร่างอันใหญ่โตของศิลาวิญญาณ จากนั้นชายชราพลันร่ายอาคมกระตุ้นแล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว

ชั่วขณะนั้นลำแสงสายฟ้าเป็นสายๆ พลันเปล่งแสงเจิดจ้า ในเวลาเดียวกันอักขระยันต์สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากตาข่าย ศิลาวิญญาณกลายเป็นดวงแสงสีเงินเจิดจ้า

ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!

ภายใต้ตาข่ายเส้นไหมสีเงินที่รัดแน่น ศิลาวิญญาณที่ร่างกายพองบวมพลันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว

ทว่าผ่านไปชั่วสองสามลมหายใจก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม จากนั้นก็ปล่อยให้สัตว์วิญญาณคิดจะกระตุ้นอิทธิฤทธิ์อันใด แต่ในร่างกลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด

แม้ว่าในใจศิลาวิญญาณจะโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้

“หึๆ ในเมื่อร่อนลงมาในตาข่ายอัสนีเมฆาสีเงินของตาเฒ่า ก็อย่าคิดจะทำอันใดอีก ยอมไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์กับตาเฒ่าเถิด! วางใจ ข้าไม่ได้อยากเอาชีวิตเจ้า แค่จะอาศัยร่างของเจ้าเท่านั้น” อรหันต์เฮยอวี่เห็นศิลาวิญญาณหวงเหลียนถูกจับเป็น ภายใต้ความดีใจ ก็อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ และร่อนลงมาอย่างแช่มช้า

“หึๆ ยินดีกับพี่อวี่ ดูแล้วภารกิจครั้งนี้คงราบรื่นแล้ว น่าละอายใจนัก อาตมาไม่ได้ช่วยอันใดมาก หากไม่ใช่เพราะพี่หานคอยช่วยอยู่ เจ้านั้นคงหนีไปได้จริงๆ” เทียนฉานที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปากอย่างรู้สึกเสียใจ

เห็นได้ชัดว่าชั่วพริบตาที่ศิลาวิญญาณถูกจับ เคล็ดวิชาลวงตาที่กักเขาเอาไว้ย่อมสลายหายไป ทำให้เขาหลุดออกมาได้

“ท่านปรมาจารย์ถ่อมตนเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีท่านปรมาจารย์และตาเฒ่าลงมือพร้อมกัน คงไม่อาจดึงให้สัตว์วิญญาณใช้เคล็ดวิชาลวงตาไวเช่นนี้ สหายหานก็คงไม่อาจจับมันได้อย่างง่ายดาย แต่ปรมาจารย์พูดถูก ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับสหายหานที่ลงมือช่วยเหลือ!” อรหันต์เฮยอวี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะร่าออกมา

“สหายทั้งสองเกรงใจเกินไปแล้ว ผู้แซ่หานพยายามในส่วนตัวเองเท่านั้น” หานลี่แค่ฉีกยิ้ม ไม่ได้กล่าวอันใดมาก แต่มือหนึ่งพลันตะปบไปทางศิลาวิญญาณที่ถูกตาข่ายสีเงินรัดแน่นอยู่

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น สายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากตาข่ายเส้นไหมสีเงิน แล้วกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีทองจมหายเข้าไปในร่าง

“นี่คืออัสนีเทวะปัดเป่าภยันตรายสินะ จุ๊ๆ ธาตุกำจัดมารของอิทธิฤทธิ์อัสนีนี้เป็นเครื่องมือสังหารเผ่ามารระดับต่ำที่ไร้ที่ติ!” อรหันต์เฮยอวี่มองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ส่งเสียงจุ๊ๆ อย่างชื่นชม จากนั้นก็ยื่นนิ้วออกมา ชี้ไปที่ตาข่ายเส้นไหมสีเงินที่ห่อหุ้มศิลาวิญญาณที่อยู่ด้านล่างเช่นกัน

ท้องฟ้าเกิดฟ้าผ่าขึ้นกลางวันแสกๆ!

ตาข่ายเส้นไหมถูกชายชรากระตุ้นอิทธิฤทธิ์ สายฟ้าปรากฏขึ้นและรัดแน่นอีกครั้ง

ครั้งนี้ตาข่ายเส้นไหมสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ตาข่ายสีเงินห่อหุ้มศิลาวิญญาณจนมีขนาดเท่ากำปั้น จากนั้นก็ถูกชายชราสะบัดแขนเสื้อเก็บเข้าไปข้างใน

“ความจริงแล้วไม่ใช่แค่อัสนีเทวะปัดเป่าภยันตราย ในยุทธภพนี้ยังมีเคล็ดวิชาอื่นอยู่อีกสองสามชนิดที่ใช้ต่อกรกับเหล่ามารได้ แต่เคล็ดวิชาเหล่านี้ หากไม่เพราะฝึกฝนยากจนไม่อาจเผยแพร่ได้ ก็เป็นเพราะหายสาบสูญไปนานแล้ว เหลือเอาไว้เพียงตำนานเท่านั้น เผ่ามนุษย์ของพวกเรามีเคล็ดวิชาที่มีอิทธิฤทธิ์นี้ไม่มากนัก มิเช่นนั้นเมื่อต่อกรกับเผ่ามารก็น่าจะไม่กินแรงนัก” ภิกษุร่อนลงมาจากกลางอากาศ มองหานลี่แวบหนึ่งด้วยแววตามีเลศนัย แล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง

“ในเมื่อรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจทำได้ เหตุใดปรมาจารย์ต้องสนใจเรื่องนี้ สหายหานได้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายมา ก็เป็นโชคไม่น้อยแล้ว ได้ยินว่าอิทธิฤทธิ์นี้ใช้เคล็ดวิชาสำแดงอัสนีกระตุ้น อานุภาพเพียงพอจะข่มขู่จอมมารระดับผสานอินทรีย์ได้ แต่น่าเสียดายเกาะศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรารักษาคาถาไว้ได้แค่ท่อนหลัง หากพี่หานมีโอกาสล่ะก็ ก็ไปตามหาในแดนป่าเถื่อนเถิด ชนต่างเผ่าเหล่านั้นอาจจะเก็บรักษาเคล็ดวิชาสำแดงอัสนีทั้งหมดเอาไว้ได้” อรหันต์เฮยอวี่กลับแนะนำหานลี่ด้วยรอยยิ้ม

“สำแดงเคล็ดวิชาอัสนี! คาถาครึ่งหนึ่ง” หานลี่ได้ยินพลันใจเต้น

ปีนั้นเขาได้เคล็ดวิชาสำแดงอัสนีชนิดหนึ่งมาจากสี่ราชาปีศาจในหุบเหว แต่แม้ว่าอิทธิฤทธิ์นี้จะมีอานุภาพไม่น้อย แต่พอกระตุ้นแล้วมันเสียเวลามาก มันไม่ค่อยเหมาะกับการต่อสู้ ดังนั้นจึงได้ใช้แค่ไม่กี่ครั้ง

“ใช่แล้ว เคล็ดวิชาสำแดงอัสนีท่อนแรกคือการสอนวิธีการควบคุมอานุภาพอัสนีเทวา เพื่อใช้สำแดงอัสนีเทวะ ส่วนคาถาท่อนล่างถึงจะเป็นวิธีการควบคุมแท้จริงที่ขาดไม่ได้!” อรหันต์เฮยอวี่เอ่ยอธิบาย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูแล้วมีโอกาสข้าน้อยคงไปตามหาที่แดนป่าเถื่อนจริงๆ” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจกลับอดที่จะก่นด่าไม่ได้

เขากล่าวว่าเหตุใดเคล็ดวิชาสำแดงอัสนีถึงไม่อาจใช้งานได้ ที่แท้ที่สี่ราชาปีศาจถ่ายทอดเคล็ดวิชาสำแดงอัสนีมาในตอนแรกมันแค่ครึ่งเดียว ไม่ต้องถามอันใด นี่จะต้องเป็นเพราะสี่ราชาปีศาจจงใจแน่

ทว่าคิดแล้วก็ปกติมาก หากเปลี่ยนเป็นเขาก็คงทำเช่นนี้

เวลาต่อจากนี้พวกเขาสามคนก็ทักทายกันเหนือยอดเขา ในที่สุดเทียนฉานก็เป็นฝ่ายขอตัวกล่าวลา

“ประสกทั้งสอง สถานการณ์ของเมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นับว่าไม่ดีนัก อาตมาออกมาหลายวันแล้ว ต้องกลับไปช่วยรักษาเมืองจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ คงต้องกล่าวลาทั้งสองท่านแล้ว”

“หึๆ ในเมื่อปรมาจารย์กล่าวเช่นนี้ ตาเฒ่าก็จะพาศิลาวิญญาณกลับเกาะศักดิ์สิทธิ์ คนบนเกาะรีบใช้สัตว์วิญญาณชนิดนี้ สหายหาน ปรมาจารย์เทียนฉาน หวังว่าหลังจากเคราะห์มารผ่านไป พวกเราจะได้พบกันอีก ใช่แล้ว สหายหานเจ้าจะอยู่ที่นี่อีกสองสามวันสินะ” ชายชราหน้าตาอัปลักษณ์เผยรอยยิ้มออกมา แล้วประสานกำปั้นขณะเอ่ย

“ข้าน้อยต้องอาศัยเพลิงธรณี จึงต้องอยู่อีกสองสามวัน สหายทั้งสองโปรดรักษาตัวด้วย เดินทางปลอดภัย ผู้แซ่หานไม่ส่งแล้ว” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วคารวะด้วยสีหน้าราบเรียบ

เช่นนี้หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงสีดำและลำแสงสีขาวพลันพวยพุ่งขึ้นไปบนยอดเขาแล้วแยกจากนั้น หมุนวนกลายเป็นสายรุ้งสองสายพุ่งไปคนละทาง

หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีสองสายก็สลายหายไปที่ปลายฟ้า และหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง

หานลี่ยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์บนยอดเขา มองลำแสงหลีกหนีสลายหายไปจากจุดที่ไกลออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หุบลง และสุดท้ายก็เอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“สำแดงเคล็ดวิชาอัสนีครึ่งท่อน! ดูแล้วคงต้องไปเกาะศักดิ์สิทธิ์สักครา ทว่ายามนี้กลับต้องสื่อสารกับมารตัวนั้นก่อน เอาไอหุ้นตุ้นมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

สิ้นเสียงหานลี่ก็เคลื่อนย้ายร่าง ร่างพลันรางเลือน แล้วปรากฏตัวตรงขอบหลุมยักษ์ และกวาดตามองก้นหลุมอีกครั้ง

ท่ามกลางการต่อสู้เมื่อครู่ หลุมนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ดังนั้นจึงรักษาสภาพเดิมไว้ได้

หมอกสีเหลืองตรงก้นหลุมยังคงแผ่ออกมา ตาเนื้อไม่อาจมองเห็นของที่อยู่ด้านล่างได้ชัดเจน

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงจนเป็นเส้นตรง แล้วเงยหน้าขึ้นกวาดมองรอบด้านยอดเขา แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

ฉับพลันนั้นเขาพลันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ธงอาคมปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือเป็นตั้งๆ แล้วสะบัดข้อมือกลายเป็นลำแสงยี่สิบสามสิบสายพุ่งไปรอบด้าน

ลำแสงวิญญาณสว่างวาบ อาวุธวางเขตอาคมเหล่านี้ทยอยกันจมหายไปกลางอากาศ

ครู่ต่อมาหมอกสีขาวชั้นหนึ่งพลันคลี่ตัวออกมาเหนือยอดเขา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็กลืนหลุมยักษ์รวมทั้งหานลี่เข้าไปข้างใน

หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีม่วงสิบสามลูกบินออกมา และส่งเสียงกรีดร้องทยอยกันจมหายเข้าไปในม่านหมอกอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นร่างของเขาพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบอีกครั้ง เงาสีเขียวสายหนึ่งกระโจนออกมาจากในร่าง แค่พลิ้วไหวก็จมหายเข้าไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จ หานลี่ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง นั่งสมาธิลงด้านข้างหลุมยักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มือหนึ่งพลันร่ายอาคม พลันใช้มือตบไปที่หน้าผาก

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ทารกสูงครึ่งฉื่อพลิ้วกายมาปรากฏเหนือศีรษะของเขา