ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 250 ยินดีทั้งคู่ (4)
“สืบสกุลหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นมุมปากเผยเป็นรอยยิ้ม “ยังไม่รู้เลยว่าจะสืบทอดสกุลของใคร รับทายาทของใครมา เจ้าให้เขามีความสุขไปเถิด ยามนี้ยิ่งมีความสุขเท่าใด ต่อไปพอเด็กคนนั้นคลอดออกมาเขาก็จะยิ่งกระอักเลือดมากเท่านั้น”
เมี่ยวเอ๋อร์ใจกระตุก แต่เห็นนางขยับเข้ามาใกล้หู เอ่ยเสียงเบา
หลังจากใช้เงินกู้ดอกเบี้ยสูงเพื่อให้ธนาคารสงสัยว่านางสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกฮุบเงินไป นางจะไม่ให้คนคอยจับตาดูละครสนุกเรื่องนี้ต่อไปได้อย่างไร ยังรอดูเงินกู้ดอกเบี้ยสูงว่าจะลงโทษแม่นางไป๋นั่นอย่างไร!
สามารถทำให้คนอื่นทำงานแทนตนให้สำเร็จได้ เหตุใดต้องลงมือเองด้วยเล่า มือสกปรกซ้ำยังเปลืองแรงอีก ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าใครก็ล้วนสู้วิธีการของคนปกครองโลกมืดไม่ได้หรอก
นึกไม่ถึงว่า…
ฮูหยินตระกูลขุนนางผู้สูงส่งคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเครื่องระบายความปรารถนาของพวกนักเลงโลกมืดที่หาความสุขจากหว่างขาเหล่านั้น ซ้ำยังไม่อาจบอกกับใครได้อีก อีกทั้งยังตั้งท้องสกปรกด้วย ต่อให้คิดจะกำจัดก็ไม่ได้ อวิ๋นเสวียนฉั่งรู้แล้วว่ามีทายาทเพิ่มเข้ามาในบ้าน ยินดีจนเสียสติไปแล้วด้วย ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีความทุกข์ใจแต่ยากจะพูดได้ มีความขมขื่นแต่ก็พูดไม่ออก จำต้องปกป้องเด็กที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อให้คลอดออกมา คิดจะหาโอกาสจงใจแท้งก็ไม่ได้อีก พอไม่มีครรภ์นี้แล้ว นายท่านก็จะเดือดดาลหนัก ตัวนางเพราะต้องชดใช้หนี้ให้เงินกู้ดอกเบี้ยสูง เงินฝากประจำทุกปีก็หมดเกลี้ยงแล้ว กลายเป็นคนยากไร้ไปแล้ว หากโดนทิ้งปล่อยปละละเลยล่ะก็ ทางหนีทีไล่สุดท้ายก็ไม่เหลือแล้ว
ชาติที่แล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยคลอดคุณชายรองของสกลุอวิ๋น
ชาตินี้ คลอด ยังคงจะให้เจ้าได้คลอดต่อ หลังจากคลอดแล้ว ละครฉากใหญ่ก็จะเริ่มขึ้น เล่นเจ้าให้ไม่ขาดทุนสักเม็ดแน่
“แต่…เด็กในท้องนั่น เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นลูกของคนอื่น” เมี่ยวเอ๋อร์ไม่กล้าเชื่อ ความเดือดดาลเมื่อครู่กลับหายไป สดชื่นขึ้นมาไม่น้อย
พูดถึงตรงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นกลับเสียดายเล็กน้อย นางถอนหายใจเบาๆ “เจ้าก็น่าจะรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อคนนี้ของเราเป็นโรคใต้ร่มผ้า”
ถูกต้อง เมี่ยวเอ๋อร์จดจำได้เป็นอย่างดี อวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นโรคที่รักษาไม่หายอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทุกคราที่โมโหจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ในยามที่เจ็บปวดอย่างสาหัส ก็จะต้องเท้าเอวไว้ แม้กระทั่งจะยืดตัวยังทำไม่ได้ เมี่ยวเอ๋อร์อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “ไม่ใช่ว่าเป็นโรคกระเพาะหรอกหรือ เพื่อจะเลื่อนขั้น ประจบประแจงเอาอกเอาใจในส่วนราชการอยู่ตั้งหลายปี ไปเที่ยวสถานเริงรมย์กับผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ไม่ควบคุมการกินดื่มเลยแม้แต่น้อย มาเป็นโรคนี้ก็ไม่แปลก”
แต่ก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นก็คิดว่าเป็นโรคไส้โรคกระเพาะ มีครั้งหนึ่งก่อนนางจะออกเรือน บนโต๊ะอาหารวันนั้นเพราะอวิ๋นเสวียนฉั่งเดือดดาลขึ้นโรคจึงกำเริบ อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่าตัวเองยังส่งชาดอกไม้บำรุงความอุ่นแก่กระเพาะให้พ่อเองกับมือ ต่อมานางได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์กับเหยากวงเหย้ามาสักระยะหนึ่ง กลับรู้สึกแปลกๆ ทุกคราที่อวิ๋นเสวียนฉั่งอาการกำเริบ บริเวณที่เขากุมไว้ไม่เหมือนที่อยู่ของกระเพาะด้านล่างหัวใจ นางจึงหาโอกาศพยุงเขาขึ้นมาจับชีพจร อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้กระจ่างแจ้งว่าโรคของพ่อ โรคกระเพาะนั้นมีอยู่บ้าง แต่จุดศูนย์รวมของโรคหลักๆ เลยก็คือไต จึงเจ็บปวดแสนสาหัสเช่นนี้ ทุกครั้งที่ปวดก็จะยืดเอวขึ้นไม่ได้ ความจริงแล้ว คือโรคไตบกพร่องร้ายแรงที่พบได้ทั่วไปทำให้ปวดเมื่อยเอวและแข้งขาอ่อนแรง
ดูจากอาการแล้ว น่าจะเป็นตอนหนุ่มๆ ไม่ควบคุมเรื่องอาหารการกิน สะสมทีละเล็กละน้อยมาเรื่อยๆ แม่นางไป๋นั่นตั้งแต่สาวๆ จนถึงยามนี้ล้วนไม่สงบเสงี่ยมเลยสักนิด อาศัยความสามารถบนเตียงนั่นมาตอแยพ่อไม่ปล่อย ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความบกพร่องของไต
โรคไตของอวิ๋นเสวียนฉั่งยิ่งร้ายแรงขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น เขาน่าจะเคยไปหาหมอมาก่อน แต่บุรุษที่เป็นโรคไตก็เหมือนสตรีที่ไม่อาจมีบุตรได้อย่างไรอย่างนั้น ไม่อาจพูดออกไปได้ ดังนั้นจึงปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด บอกกับคนอื่นแค่ว่าเป็นโรคประเภทกระเพาะ ทุกคนในจวนสกุลอวิ๋น ไม่มีใครที่ทราบเลยสักคน
มิน่าเล่าลูกๆ ในสกุลอวิ๋นล้วนเกิดในยามที่อวิ๋นเสวียนฉั่งหนุ่มๆ ทั้งนั้น ระยะเวลานานสิบกว่าปีเพียงนี้ มีทายาทเกิดขึ้นมาอีกคนอย่างหาได้ยาก ต่อมารับนางคณิกาในสมาคมม้าผอมสามคนเข้ามารับใช้ ร่างกายของทั้งสามก็ไม่มีสัญญาณว่าจะตั้งครรภ์เลยสักนิด ไตของบุรุษพอเสื่อมถอย ความสามารถของการให้กำเนิดก็จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง เกรงว่าคงมีบุตรไม่ได้ตั้งนานแล้ว
เมี่ยวเอ๋อร์ฟังจบก็พ่นลมออกมา แต่นึกไปถึงมารดาที่ถูกใส่ร้ายจนตายแล้ว ในที่สุดแววตาก็ยังคงทะมึนอยู่ดี
อวิ๋นหว่านชิ่นมองความคิดนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และทราบดีว่าในใจนางยังคงไม่สบายใจ อวิ๋นเสวียนฉั่งเลี้ยงลูกชายให้คนอื่น สวมหมวกเขียวอย่างผ่าเผย จะมาชดเชยชีวิตมารดานางได้อย่างไร อวิ๋นหว่านชิ่นคว้ามือเมี่ยวเอ๋อร์กุมไว้แน่น ย่อมไม่อาจให้จบไปทั้งอย่างนี้ได้
พริบตาเดียวการสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง
ทุกการสอบมีสามสนาม ทุกสนามใช้เวลาสามวันสามคืน นับดูแล้ว การสอบรอบหนึ่งใช้เวลาทั้งหมดเก้าวันเจ็ดคืน
น้องชายก้มหน้าก้มตาสอบอยู่ในก้งย่วน[1] อวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ในวังหลวงจิตใจไม่เป็นสุข
ในวันที่ประกาศผลตัวจริงและตัวสำรอง ชูซย่านัดแนะเวลากันกับเฉินจ้าวภายในวัง ไปสอบถามผลการสอบ
อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่ภายในห้องเหมือนกำลังรอให้ประกาศผลอยู่อย่างไรอย่างนั้น ตัวเล็กในท้องก่อกวนขึ้นมาด้วย เมื่อยามตะวันสายโด่ง ม่านกันลมถูกเลิกขึ้น พร้อมกับชูย่าที่ยินดีปรีดาเดินเข้ามา “ติดแล้ว ติดแล้วเจ้าค่ะ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นวางใจลง อันที่จริงดูจากผลการเรียนของน้องชาย สอบติดนับว่าไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายอันใด พอนางดีใจเสร็จก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ดึงชูซย่าไว้ “ได้ที่เท่าใดรึ”
ใบหน้ารูปไข่อวบอิ่มเริงร่าของชูซย่าแดงระเรื่อ ขนตาสองข้างกะพริบไหว “เดาสิเจ้าคะ!”
ผู้เข้าสอบในเมืองหลวงเกือบหมื่นคน ปีที่แล้วบัณฑิตที่ได้รับคัดเลือกมีประมาณสองร้อยคน สามารถกลายเป็นบุคคลยอดเยี่ยมสองร้อยคนท่ามกลางบัณฑิตหมื่นคนได้ ต่อให้เกาะท้ายไปด้วยก็นับว่าเก่งมากแล้ว!
อวิ๋นหว่านชิ่นขอบคุณดินฟ้าเสร็จก็ไม่เพ้อฝันอันใดอีก ทว่ายังคงหยั่งเชิงด้วยความระมัดระวังไปว่า “เป็นร้อยคนแรกได้หรือไม่”
“ร้อยคนอันใดกันเจ้า! ย่าหยวน คุณชายเป็นย่าหยวน ได้ที่เจ็ดเจ้าค่ะ!” ชูซย่าระงับความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ โพล่งขึ้นบอกไป
ในการสอบขุนนางบัณฑิตที่ได้ที่หนึ่งเรียกว่าเจี่ยหยวน ที่สองถึงสิบห้าชื่อสุดท้ายเรียกว่าย่าหยวน ฉีไหวเอินที่อยู่ด้านหลังก็ปรีดาสุดแสนเช่นกัน “คุณชายอวิ๋นอายุเพียงสิบกว่าปีก็สอบติดขุนนาง ซ้ำยังเป็นย่าหยวนอีก ในบรรดาผู้เข้าสอบหนึ่งหมื่นคน ผลสอบเป็นที่เจ็ด มันสมองนี้ได้มาอย่างไรกันขอรับ หากบ่าวก้มหน้าก้มตาอ่านตำราไม่ออกไปไหนสักสิบปี ก็สอบได้ลำดับเช่นนี้มิได้หรอก!”
หลังจากการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นไป ก็เป็นการสอบขุนนางรอบพิเศษจากพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้
ผ่านรอบแรกเข้ามาได้แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็หมดห่วงแล้ว หากบอกว่าการสอบขุนนางเป็นเหมือนทหารพันนายหมื่นนายข้ามสะพานไม้กระดานแผ่นเดียว อัตราการรับคัดเลือกของการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลินี้ก็ประมาณหนึ่งในยี่สิบคน แรงกดดันจึงไม่มากนัก
แม้จะบอกว่าคนที่เข้าร่วมการสอบนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นมาแล้ว แต่นางเชื่อมั่นในตัวน้องชายอย่างยิ่ง จึงรอเพียงแค่ผลสอบออกมาเท่านั้น
ยามนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นร่างกายหนักขึ้นมากแล้ว จะเดินเหินก็ล้วนลำบาก
คนรับใช้ในหอเหยาไถมีไม่มาก ตอนที่เพิ่งย้ายเข้ามา เหนียนกงกงเสนอว่าจะส่งคนรับใช้มาปรนนิบัติดูแลเพิ่ม ไม่ว่ากี่ครั้งอวิ๋นหว่านชิ่นก็ล้วนเอ่ยปฏิเสธอ้อมๆ ไป ดังนั้นทั่วทั้งหอเหยาไถ นอกจากชูซย่ากับฉีไหวเอินที่อยู่ด้านในคอยรับใช้ข้างกายแล้ว ก็มีคนรับใช้ไม่กี่คนทำงานเบ็ดเตล็ดด้านนอก จำนวนทั้งหมดแค่สิบกว่าคนเท่านั้น
ยามนี้ใกล้คลอดเข้ามาเต็มที ชูซย่ากับฉีไหวเอินต่างไม่มีประสบการณ์ทำคลอดกันมาก่อน และไม่เคยรับใช้สตรีมีครรภ์ด้วยเช่นกัน หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจะรับมือไม่ทัน วันนี้ในยามที่เหนียนกงกงมา จึงพูดเรื่องนี้ขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตกลง
วันรุ่งขึ้น เหนียนกงกงก็พามอมอวัยกลางคนสองนางเข้ามาส่งให้ชูซย่าที่หอเหยาไถ พวกนางล้วนเป็นนางกำนัลอาวุโสของวังหลังที่มีประสบการณ์ดูแลสตรีมีครรภ์มาก่อนทั้งสิ้น คนหนึ่งสกุลชี อีกคนสกุลเนี่ย
ชูซย่าเห็นทั้งสองพูดจามีเหตุมีผล การแต่งตัวก็สะอาดสะอ้าน พอใจอย่างมาก จึงทำตามที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำชับมา มอบรางวัลให้แก่ทั้งสองไป
ชีมอมอกับเนี่ยมอมอเห็นจำนวนเงินไม่น้อยก็ทราบได้ว่านายหญิงเป็นคนใจกว้าง พากันดีใจยกใหญ่ ทยอยรับเงินนั้นมา แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ต่อไปพวกบ่าวจะทุ่มเทจิตใจ ดูแลเหม่ยเหรินและพระโอรสด้วยกันกับแม่นางชูซย่าอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ” พวกนางกล่าวจบ ชูซย่าก็พาทั้งสองคนไปทำความคุ้นเคยภายในหอ แล้วจัดการเรื่องที่หลับที่นอนให้
————————-
[1] ก้งย่วน เป็นสถานที่จัดสอบส่วนขุนนางภูมิภาคในการคัดเลือกบุคลากรสำหรับทำงานราชการในสมัยก่อน