กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1041.1 บอกเล่าข่าวคราวของดอกเหมย
เฉินผิงอันยืนอยู่ในตรอกเล็ก มองบ้านสองฝั่งที่เป็ นเพื่อนบ้านกับ บ้านบรรพบุรุษ
เสี่ยวโม่กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ ถามว่า “คุณชาย เศษกระเบื้องแห่ง ชะตาชีวิตถูกซ่อนไว้ในบริเวณใกล้เคียงนี้หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “เพียงแต่ไม่รู ้ว่าอยู่ทางฝั่งซ ้ายมือ หรืออยู่ฝั่งขวามือกันแน่คิดค านวณมาดีแล้วว่าจะต้องเป็ นเงามืดใต้ โคมส าหรับข้า”
ซ่อนได้ไม่เลว สมกับค าว่าอยู่ไกลสุดขอบฟ้ าอยู่ใกล้เพียง ตรงหน้าอย่างแท้จริง
เสี่ยวโม่กล่าว “อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็ นเงามืดใต้โคมหรอก นาง แค่มั่นใจว่าคุณชายจะไม่มีทางเดินเข้าบ้านคนอื่นตามใจชอบ”
ชายแดนของหงโจว รถม้าขบวนนั้นจอดลงที่จุดพักม้าแห่งหนึ่ง เพราะเป็ นขุนนาง มี “ภาระหน้าที่ติดกาย” ทางฝั่งของจุดพักม้าย่อมมี การเตรียมการกันไว้อยู่แล้ว แค่อิงตามกฎระเบียบ ท าไปตามล าดับ ขั้นตอน ให้มีระเบียบเรียบร ้อยก็พอ ขุนนางสิบกว่าคนเข้าพักในจุด พักม้าที่เรียบง่ายแห่งนี้อย่างเป็ นระเบียบไม่วุ่นวาย หากเป็ นคนคุ้นเคย ในวงการขุนนางที่มาเข้าพัก อยากจะนอนดีๆ ห้องพักส าหรับขุน นางในจุดพักม้าแห่งนี้ก็ล้วนจะต้องมีข้อพิถีพิถันต้องเข้าพักตาม
ตาแหน่งหน้าที่ จากบนลงมาล่าง หากมีคนเข้าพักเต็มแล้ว คิด อยากจะแทรกเข้าไป ย่อมท าไม่ได้อย่างแน่นอน แต่หากอยากจะกิน อะไรดีๆ กลับไม่เป็ นปัญหา ยกตัวอย่างเช่นขุนนางของจุดพักม้า สามารถควักกระเป๋ าของตัวเองบอกให้พ่อครัวเปิ ดเตา เล็กๆ ทาอาหารที่อุดมสมบูรณ์มามื้อหนึ่ง เรื่องแบบนี้ไม่ถือว่าผิดกฎ กฎหมายที่ดีไม่ควรจะมีเพียงความเข้มงวดถ่ายเดียว ต้องมีความ สมเหตุสมผลด้วย นี่คือสิ่งที่ราชครูชุยฉานเอ่ยย้าซ้าไปซ้ามา
เข้ามาในห้องพักแล้ว ฮ่องเต้ซ่งเหอยื่นมือไปปาดหน้าโต๊ะ ยกมือ ขึ้นมองไม่มีฝุ่ นเกาะสักเม็ด จากนั้นไปที่ขอบหน้าต่าง ยื่นมือไปลูบ เบาๆ ยังคงสะอาดสะอ้านไร ้ฝุ่ นอยู่เหมือนเดิมเขายิ้มเอ่ยว่า “เมื่อก่อน นายท่านผู้เฒ่ากวนเคยถามอาจารย์ตอ่หน้า บอกว่าราชครูเจ้าดูแล เรื่องใหญ่ได้เป็ นอย่างดี นี่คือความสามารถ แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลายควบคุมมากเกินไปละเอียดเกินไปกลับไม่เหมาะสมแล้ว ไม่ เชื่อใจที่ว่าการของหกกรมหรือ?”
ซ่งเหอถูนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้เบาๆ “เรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า “เรื่องเล็ก” ที่ปี นั้นอาจารย์พูดซ้าแล้วซ้าเล่า คอยปรับแก้ใน รายละเอียดอย่างต่อเนื่อง อาจารย์ดูแลได้เป็ นอย่างดี นานเข้าก็เห็น ผลสาเร็จ ยิ่งเป็ นช่วงหลังๆ ก็ยิ่งมีแรงฮึดส่งท้ายมากเท่านั้น”
ซิ่วหู่ฉุยชาน นอกจากจะเป็ นราชครูต้าหลีแล้ว อันที่จริงยังเป็ น อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับซ่งเหอด้วย ในบางระดับแล้ว อู๋ยวนกับ ฮ่องเต้ถือเป็ นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ร่วมสายบุ๋นเดียวกัน
เพียงแต่ว่าคนร่วมสายอย่างพวกเขากลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับ สายเหวินเซิ่งก็เท่านั้น
อวี๋เหมี่ยนกดเสียงลงต่า ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ฝ่ าบาท ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าปีนั้นราชครูตอบนายท่านผู้เฒ่ากวนไปว่า อะไร?”
ซ่งเหอยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จาได้ว่าตอนนั้นอาจารย์ตอบไปแค่ ประโยคเดียวว่า “ข้าเชื่อในความตั้งใจและเจตจานงเดิมของพวกเจ้า แต่ไม่เชื่อใจในวิธีการและความยืดหยุ่นของพวกเจ้า” แค่ประโยค เดียวนี้ก็ทาเอานายท่านผู้เฒ่ากวนสะอึกอึ้งพูดไม่ออกแล้ว”
ข้างโรงม้าของจุดพักม้า สารถีเฒ่ามองนักพรตหนุ่มที่มานั่งอยู่ บนราวรั้ว
ผู้เฒ่ารู ้สึกไร ้เรี่ยวแรงเหลือเกินแล้ว ก าลังจะเปิดปากพูด นักพรต ที่สวมกวานดอกบัวก็เอานิ้ววางทาบไว้บนริมฝีปาก บอกเป็ นนัยกับ อีกฝ่ายว่าอย่าพูดอะไร
ลู่เฉินวางสองมือทาบลงบนราวรั้ว ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจได้ร ้อยดวง พันดวงเลย ผินเต้าไม่ได้มาราลึกความหลังกับเจ้า แต่มาหาคนอื่น”
ผู้เฒ่าลังเลอยู่เล็กน้อย เขามีการคาดเดาบางอย่าง
ลู่เฉินยกนิ้วโป้ งให้ทันใด ก่อนจะกุมมือประสานแล้วเขย่า “ไม่เสีย แรงที่ผู้อาวุโสนั่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของกองพิฆาตกรมสายฟ้ า ผู้เยาว์ นับถือ นับถือ”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “เจ้าลัทธิลู่พานางไปย่อมดีที่สุด ถือเสียว่าหาความ บันเทิงให้กับเจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้น ในอนาคตคนบ้านเดียวกันสองคน ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่ต่างถิ่นต่างแดน ศัตรูเจอหน้ากันมักจะ อาฆาตกันแรงเป็ นพิเศษ แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว”
ลู่เฉินตั้งแผงดูดวงอยู่ในถ้าสวรรค์หลีจูมาสิบกว่าปี ต่างฝ่ ายต่าง
ไม่ถือว่าเป็ นคนแปลกหน้าต่อกัน
น่าสงสารลู่เหว่ย เป็ นถึงขอบเขตเซียนเหรินของส านักหยินหยาง ทุ่มเทวางแผนทุกย่างก้าว คิดไปคิดมา ผลคือแม้แต่เรื่องที่บรรพบุรุษ บ้านตนอยู่ใกล้ในระยะประชิดก็ยังค านวณไม่ได้
ลู่เฉินบ่น “บอกแล้วว่าจะไม่คุยกัน ผู้อาวุโสนี่ยังไงกันนะ”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าลัทธิลู่เป็ นคนที่พูดคุยด้วยง่าย มาก ไม่มีทางถือสาเรื่องพวกนี้หรอก”
สายตาลู่เฉินฉายแววไม่พอใจ “ดังนั้นพวกเจ้าแต่ละคนถึงได้ รังแกคนพูดง่ายกันเต็มที่เลย ใช่ไหมล่ะ”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “สิบปีในเมืองเล็กเท่ากับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา ดีดนิ้วทีเดียว ข้ากับเจ้าลัทธิลู่ถือว่าพบเจอกันด้วยดีแล้วยังจากลากัน ด้วยดี นางมาแล้ว คงไม่ถ่วงรั้งการราลึกความหลังของพวกเจ้าลัทธิลู่ แล้ว”
ผู้เฒ่าผละห่างไปจากที่แห่งนี้
พ่อลูกคู่หนึ่งจูงม้ามาถึง
ลู่เฉินขยับกัน พลิ้วกายลงบนพื้น โบกมือแรงๆ ให้กับพ่อลูกคู่นั้น ตะโกนเรียกอย่างแข็งขัน “ตรงนี้ ตรงนี้”
แน่นอนว่าต้องร่ายเวทอ าพรางตาเล็กน้อย ให้ตัวเองไม่ได้ดูหนุ่ม ถึงเพียงนั้น ใช ้คากล่าวของอาเหลียงก็คือมีกลิ่นอายความโชกโชน
ของบุรุษที่เติบใหญ่แล้ว!
จูเหอรู ้สึกว่า “นักพรตวัยกลางคน” ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มผู้ นั้นคุ้นหน้าอยู่บ้าง
นักพรตรีบท าไม้ท ามือประกอบ สุดท้ายท ามือเป็ นท่าเขย่า กระบอกเซียมซี ยิ้มเอ่ยว่า “จาได้แล้วหรือยัง? ข้าไง คนที่ตั้งแผงอยู่ ข้างทางถนนหลักของอ าเภอไหวหวงน่ะ”
ใบหน้าของจูเหอเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี ยิ้มกล่าว “นักพรตลู่?!”
อันที่จริงจูลู่จาอีกฝ่ายได้ในทันที นางก็แค่แสร ้งทาเป็ นจานักพรต ดูดวงผู้นี้ไม่ได้เท่านั้น
พ่อลูกสองคน ปีนั้นต่างก็ทยอยกันแวะไปที่แผงดูดวงเพราะได้ยิน ชื่อเสียงมาจากคนอื่น เพียงแต่ว่าจุดประสงค์ของแต่ละคนไม่ เหมือนกัน คนหนึ่งอยากรู ้ว่าบุตรสาวจะมีโชคเมื่อไหร่ อีกคนหนึ่ง อยากให้ท านายดวงชีวิตคู่ของตัวเอง
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เจ้าชื่อจูเหอใช่ไหม? พี่จู ผินเต้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง เขาไหว้วานให้ผินเต้าฝากคาถามข้อหนึ่งมาถามเจ้า”
แม้ว่าจูเหอจะมึนงงอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ยังพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง กังวานว่า “เชิญนักพรตลู่พูดได้เลย”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เขาอยากรู ้เรื่องเรื่องหนึ่ง ปีนั้นบนเส้นทาง ของการไปขอศึกษาต่อหลังออกมาจากเมืองเล็ก สรุปแล้วเจ้าท า อย่างไรถึงท าให้เฉินผิงอันคิดว่าเจ้าคือยอดฝีมือ สหายคนนั้นของข้า บอกว่าคิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ มันคาใจเขามานาน หลายปีแล้ว”
จูเหอมึนงง อะไรกับอะไรกันนี่? ตนเป็ นยอดฝีมือตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไปมีความเกี่ยวข้องกับสหายของนักพรตลู่คนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
จูลู่สีหน้ามืดทะมึน
นางยกสองแขนกอดอก ตั้งท่าป้ องกันออกมาตามจิตใต้ส านึก อยากจะรู ้นักว่าซินแสดูดวงที่ปีนั้นทิ้งภาพลักษณ์ไม่น่าจาไว้ให้กับ นางผู้นี้คิดจะทาอะไรกันแน่
ในส านักทอผ้า จูเหอคือบุคคลอันดับสองในนาม เป็ นรองแค่ใต้ เท้าหลี่จือจ้าวเท่านั้นเขาเป็ นผู้ดูแลช่างและเสมียนขุนนางกลุ่มใหญ่ ซึ่งมียอดฝีมืออยู่ในนั้น รับหน้าที่คอยช่วยขุนนางหลักจับตามองกิจ ธุระน้อยใหญ่ที่เป็ นรูปธรรมในสานักทอผ้า สถานะในทุกวันนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับหลินเจิ้งเฉิงขุนนางผู้ช่วยในที่ว่าการงาน
เตาเผาของบ้านเกิดในอดีต ดังนั้นอันที่จริงจูเหอจึงอยู่ใน สภาพการณ์ของคนที่ว่างงานพักผ่อนในช่วงปั้นปลาย
แต่ลูกสาวจูลู่กลับไม่เหมือนกัน เงินและเสบียง ผลงานการท างาน ของข้าราชการส่วนท้องถิ่นและกิจกรรมการรวมกลุ่มของบัณฑิต หรือปัญญาชนในอาณาเขตของหนึ่งจังหวัด จะต้องมีการจดบันทึก ลงในเอกสารลับ สมาชิกที่อยู่ในการดูแลของนางถือเป็ นคนที่ “กิน ข้าวหลวง’ อย่างแท้จริง แต่กลับไม่ต้องผ่านกรมคลัง และฎีกาลับที่ สานักทอผ้าส่งตรงไปที่ห้องทรงพระอักษรในเมืองหลวงตามเวลาที่ กาหนดก็แทบจะมาจากมือนางทั้งสิ้น หลี่เป่าเจินแห่งส านักทอผ้าแค่ รับผิดชอบคอยมอบรางวัลให้นางเท่านั้น
ลู่เฉินเอนหลังพิงราวรั้ว ยิ้มมองมาทางพวกเขา
จูเหอที่อายุย่างเข้าหกสิบ ขัดเกลาเรือนกายในขอบเขตร่างทอง มานานหลายปี มีหวังจะเลื่อนเป็ นขอบเขตเดินทางไกล ปีนี้จูลู่เพิ่งจะ เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก
หากตนไม่ปรากฏตัว จากการจัดการและการปูพื้นของคุณชาย พวกเขา หรือควรจะพูดว่าอิงตามวิถีชีวิตที่ถูกกาหนดไว้แน่นอนแล้ว รอกระทั่งจูเหอกลายเป็ นปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลก็จะย้ายไป เป็ นขุนนางบู๊ในท้องถิ่น ก็ถือว่าได้สร ้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูล แล้ว แน่นอนว่าหากอิงตามความคิดในใจจูเหอ จูเหอย่อมยินดีจะไป ทางทิศใต้มากกว่า อยากจะไปเปิดภูเขาก่อตั้งพรรคในแคว้นเล็กๆ ที่ ไม่ใช่ของต้าหลี แล้วรับลูกศิษย์มาถ่ายทอดวิชาบู๊ ส่วนจูลู่จะเลื่อนขั้น
ไปทีละก้าว จากนั้นจะมีวันหนึ่งที่นางจะแก่ตายไปในระดับของ ขอบเขตเดินทางไกลบนวิถีวรยุทธ นางจะโทษคนบ่นฟ้ า อัดอั้นไม่ เคยสมใจปรารถนา
บนเส้นทางชีวิตของนาง เบื้องหน้าจะมีเงาร่างของคนสองคนนา อยู่ตลอดเวลา คนหนึ่งคือคนในใจที่เหมือนอยู่ใกล้แต่กลับห่างไกลมิ อาจได้มาครอบครองอย่างคุณชายของตนหลี่เป่าเจิน
ส่วนอีกคนหนึ่งคือแผ่นหลังคนชุดเขียวที่อยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อม ได้ถึง คนวัยเดียวกันจากตรอกหนีผิงที่เหมือนจะสวมรองเท้าสานคู่ หนึ่ง ผิวดาเกรียม ในมือถือมีดผ่าฝื น เป็ นเด็กบ้านนอกขาเปื้อน โคลนของปีนั้นไปตลอดกาล
จูลู่ถูกนักพรตผู้นั้นจ้องมองจนขนลุกขนพอง
ลู่เฉินยิ้มถาม “แม่นางจู เจ้าเคยได้ยินคากล่าวหนึ่งหรือไม่ “จู เฉินเป็ นครอบครัวเดียวกัน ไม่หันหลังให้กันตลอดกาล?”
จูลู่ส่ายหน้าด้วยสีหน้าแข็งเกร็ง
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ก็คือสุภาษิตในใต้หล้ามืดสลัว แพร่ไป ไม่กว้างขวางนัก มีแค่สถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเขตจู๋ลู่โยวโจวที่ทุกคน ล้วนต้องได้ยินคากล่าวนี้ ดังนั้นเจ้าไม่เคยได้ยินก็ประหลาดมาก”
จูเหอฟังด้วยความมึนงง นักพรตสู่พูดผิดไปแล้วหรือไม่?
ดังนั้นจึงประหลาดมาก? ตอนท้ายไม่ควรเอ่ยว่า “ไม่ประหลาด” หรอกหรือ?
ลู่เฉินเอ่ยเนิบช ้า “หากจะพูดกันถึงชาติกาเนิด พูดถึงจุดเริ่มต้น เมื่อเทียบกับเจ้าคนคิ้วยาวของตรอกเถาเย่ เซี่ยหลิงแห่งสานักกระบี่ หลงเฉวียนที่เป็ นผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตหยกดิบและยังมีหูเฟิ งที่ท่านปู่ เปิดร ้านขายของงานมงคลอยู่ในเมืองเล็ก แต่แท้จริงแล้วกลับเป็ นไช่ เต้าหวงเจ้าของร ้านหมั้นหมายในใต้หล้า และคนรุ่นเดียวกันในเมือง เล็กหลายคน อันที่จริงเจ้าล้วนดีกว่า ดีกว่ามากนัก ดังนั้นจูลู่ หลายปี ที่ผ่านมานี้เจ้าคอยบ่นที่ตัวเองโชคไม่ดี โทษคนบ่นฟ้ ามาโดยตลอด แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เป็ นเช่นนั้น เจ้าคิดผิดแล้ว ผิดมหันต์เลยล่ะ”
“เพราะในบางระดับแล้ว แม้เจ้าจะถือกาเนิดในถ้าสวรรค์หลีจู แต่ กลับเป็ นคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่มีภูมิหลังมีประวัติความเป็ นมา เพราะเจ้า ไม่จาเป็ นต้องมีที่พึ่งอะไรทั้งนั้น ที่พึ่งของเจ้าก็คือชาติก่อนของเจ้า ก็ คือตัวเจ้าเอง”
“เจ้ายังเข้ามาในเมืองเล็กก่อนผินเต้าด้วยซ้า ไปเกิดในตระกูล สกุลหลี่ถนนฝูลู่ก็เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งจะเป็ นดั่งน้ามาลาคลองก่อเกิด แล้วค่อยผลักเรือตามกระแสน้า อืม คากล่าวนี้ดี ก็คือผลักเรือตาม กระแสน้า ช่วยปกป้ องมรรคาให้กับคุณชายใหญ่หลี่ซีเซิ่งของเจ้า ท่ามกลางขั้นตอนนี้เจ้าจะเติบใหญ่อย่างต่อเนื่อง เดินขึ้นสู่ที่สูงได้เร็ว มาก ยกตัวอย่างเช่นพวกหม่าขู่เสวียน หลิวเสี้ยนหยางที่หลายปีมานี้ พวกเขาฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเท่าไร เจ้าก็มีแต่จะเร็วกว่าไม่มีช ้ากว่า”
ลู่เฉินยกสองนิ้วขึ้นประกบกัน “ผินเต้าสาบานได้เลย หากข้าพูด ปดแม้แต่ค าเดียวก็ขอให้ฟ้ าผ่าข้า!”
สารถีเฒ่าที่เคยนั่งบัญชาการณ์กองพิฆาตกรมสายฟ้ าที่อยู่ห่าง ออกไปจนปัญญากับเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี้จิงผู้นี้มากจริงๆ
อันที่จริงที่ใต้หล้ามืดสลัวมีสุภาษิตที่ไม่แพร่หลายมากนัก เรียกว่า “ความดีของจูและเฉิน” จากนั้นก็ได้วิวัฒนาการกลายมาเป็ น คากล่าวที่ค่อนข้างหาได้ยาก ตระกูลจูและเฉิน ไม่หันหลังให้กัน ตลอดกาล
เพราะว่าหากพูดกันถึงชาติกาเนิด ลู่เฉินในวันนี้ไม่ได้พูดปดสัก ค าจริงๆ ต่อให้จะเป็ นในสายตาของสารถีเฒ่าเอง จูลู่ก็ยังมี “ความ เป็ นมา” ที่ดีมาก ถึงขั้นพูดได้ว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็ก หากละเว้นคนกลุ่มน้อยอย่างพวกหลี่หลิ่ว หร่วนซิ่ว หลี่ซีเซิ่งเอาไว้ไม่ ไปพูดถึง นางก็คือคนที่โดดเด่นอย่างสมชื่อ ดียิ่งกว่าพวกเซี่ยหลิ งแห่งตรอกเถาแย่และหูเฟิงแห่งร ้านขายของงานมงคลจริงๆ เพราะจูลู่ ถือเป็ น “คนต่างถิ่น” ของถ้าสวรรค์หลีจูครึ่งตัว
ส่วนโชควาสนาก็ได้มอบให้นางไปนานแล้ว
ต่อให้เป็ นเฉินผิงอัน บางทีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู ้ว่าพวกคนรุ่น เยาว์ที่สารถีเฒ่ากับเฟิงอี๋ และยังมีเจ้าเฒ่าอย่างลู่เหว่ยพูดถึงกันมาก ที่สุดตอนที่อยู่ว่างๆ ต้องมีจูลู่เป็ นคนหนึ่งในนั้นแน่นอน
ทุกคนต่างก็คาดเดาความเป็ นมาของนาง แม้ว่าจะเหมือนมีเมฆ หมอกบดบัง แต่เดิมทีก็สามารถอธิบายปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว หากความเป็ นมาของนางไม่ยิ่งใหญ่ มีหรือจะท าให้พวกเขาเหมือน มองดอกไม้ในดงหมอกได้?
เพียงแค่เพราะนางถือกาเนิดในสกุลหลี่ถนนฝูลู่ ก่อหน้านี้มีหลี่ซี เซิ่งที่เป็ น “ท้อตายแทนหลี” ภายหลังก็มีเจ้าลัทธิลู่ที่เข้ามาในถ้า สวรรค์หลีจู ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ากระท าการบุ่มบ่าม เปลี่ยนคาเรียกขาน ใหม่ก็คือไม่ว่าใครก็แบกรับผลกรรมของลัทธิเต๋าส่วนนี้ไม่ไหว
จูเหอมีสีหน้าซับซ ้อน
จูลู่กัดฟันแน่นจนเกิดเสียงบดฟันดังกรอดๆ สองหมัดของนางก า แน่นจนเส้นเอ็นบนหลังมือปูดโปน
“โยวโจวของใต้หล้ามืดสลัว พวกเจ้าสามารถมองเป็ นทวีปแห่ง หนึ่งของใต้หล้าไพศาลได้ ยกตัวอย่างเช่นว่า…”
นักพรตกระทืบเท้า “แจกันสมบัติทวีปใต้ฝ่ าเท้าของพวกเราแห่ง นี้ อันที่จริงการเปรียบเทียบเช่นนี้ยังไม่ค่อยแม่นยานัก”
ลู่เฉินชี้ไปทางทิศเหนือ “ควรจะเทียบกับอุตรกุรุทวีปที่อาณาเขต กว้างใหญ่มากยิ่งกว่า เพราะโยวโจวที่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวถือเป็ น มณฑลใหญ่อันดับหนึ่ง”
“อาณาเขตของโยวโจวมีสองสถานที่ที่ชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด หนึ่งคือตาหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ ย นักพรตเกากูทุกวันนี้คือบุคคล อันดับที่แปดในใต้หล้ามืดสลัว”
“นอกจากนี้ก็คือสนามรบโบราณในเขตจู๋ลู่”
“และชาติก่อนของเจ้าก็คือเต้ากวานในท้องถิ่นของที่นั่น เรื่องที่ ใหญ่ที่สุดที่เจ้าทาไปเมื่อชาติก่อนก็คือทาให้เขตจู๋ลู่กลายเป็ นซาก ปรักสนามรบ ตอนนั้นเต้ากวานคนสุดท้ายที่ประมือกับเจ้าก็คือเกากู ที่ถูกบีบให้ลงจากภูเขา หากพูดถึงการบีบคั้นผู้อื่น เจ้าถือเป็ นยอด ฝีมือในกลุ่มยอดฝีมือมาโดยตลอด”
จูเหอจับแขนของจูลู่เบาๆ ใช ้สายตาบอกเป็ นนัยกับนางว่าไม่ต้อง
กลัว
สีหน้าของจูลู่ไร ้อารมณ์ จ้องเป๋ งไปที่นักพรตผู้นั้น เค้นคาลอด ไรฟัน “เจ้า เป็ น ใคร กันแน่?!”
ลู่เฉินเพียงแค่พูดพึมพ ากับตัวเอง “ผินเต้าจะยกตัวอย่างอีกข้อ หนึ่งก็แล้วกัน เคยมีโต๊ะเดิมพันอยู่ตัวหนึ่ง ในมือของคนบางคนมีเงิน เดิมพันแค่ไม่กี่เหรียญทองแดงเท่านั้น บางคนในกระเป๋ ามีเศษเงิน ก้อน แต่เจ้ากลับแบกทองก้อนและเงินก้อนไว้ถุงหนึ่งตลอดเวลา”