กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1041.2 บอกเล่าข่าวคราวของดอกเหมย
“ผลล่ะเป็ นเช่นไร พรวดๆๆๆ เดิมพันผิดฝั่ง เพียงไม่นานก็จบสิ้น พ่ายแพ้หมดท่า”
“หากพัฒนาไปตามเส้นสายบางอย่างต่อไป เจ้าจะได้รู ้จักกับหลี่ ไหวก่อน ผ่านประสบการณ์บางอย่างมาแล้วค่อยเดินทางท่องไปใน อุตรกุรุทวีปพร ้อมกับหลี่ซีเซิ่ง แล้วเจ้าจะได้เจอกริชเล่มหนึ่งที่ แกะสลักค าว่า “จู๋ลู่” และนี่ยังเป็ นแค่หนึ่งในโชควาสนามากมายที่เจ้า ควรได้รับ”
“ลองย้อนนึกอย่างละเอียดดูสิ ตอนที่เจ้าอายุยังน้อยได้ออกไป จากถนนฝูลู่ เคยได้เจอกับเด็กน้อยยากจนคนหนึ่งที่แข็งแรงมี ชีวิตชีวา บางทีตอนนั้นเขาอาจจะยังสวมกางเกงเปิ ดกันอยู่บ้าง หรือไม่? อืม ภายหลังเจ้าก็ได้เจอเขาแล้ว ผลคือก็ยังไม่ชอบอยู่ดี ไม่ ว่าอย่างไรก็ชอบไม่ลง”
“ใช่แล้ว ช่วงแรกๆ เจ้าต้องติดตามอยู่ข้างกายหลี่เป่ าเจิน แน่นอน”
“ข้าเดาว่าปี นั้นในจวนหลังใหญ่ของสกุลหลี่ เจ้าจะต้องชั่ง น้าหนักซ้าไปซ้ามา ความคิดตีกันอยู่ในหัว สุดท้ายก็เลือกคุณชาย รองที่ประมุขและฮูหยินล าเอียงรักเข้าข้างมากกว่าไม่ใช่คุณชายใหญ่ บางทีอาจเป็ นเพราะในชื่อของหลี่ซีเซิ่งไม่มีอักษร “เป่า” ก็เป็ นได้”
“เพราะนี่ก็คือทัณฑ์ของเจ้า”
“ความรู ้มากมายในชีวิตนี้ของพวกเราต่างก็ได้มาจากตาราที่ อ่านมาเมื่อชาติก่อน แน่นอนว่าในตารานอกตาราก็ล้วนเป็ นตารา ดังนั้นตาราที่พวกเราอ่านในชีวิตนี้ เป็ นทั้งการอ่านในตอนนี้ และยิ่ง เป็ นการอ่านให้กับชาติหน้า”
“เพราะเมื่อชาติก่อนเจ้าฉลาดเช่นนี้ ฉลาดมากจริงๆ ความ ฉลาดนั้นสะสมต่อเนื่องสุดท้ายในช่วงเวลาหนึ่งก็ผลิดอกออกผล ชัก นาให้เจ้าเสียมากเพราะสิ่งเล็กน้อย ถึงได้พลาดโอกาสในการผสาน มรรคาที่เดิมที่ควรจะสมเหตุสมผลไป สุดท้ายกลับกลายมาเป็ น ความผิดมหันต์ นี่ยังเป็ นเพราะเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ ายอวี้จิงช่วยขอร ้อง แทนเจ้า จากนั้นช่วยแก้ไขความผิดให้กับเจ้า เจ้าถึงรอดพ้นจาก ความตายมาได้ เป็ นเหตุให้ชีวิตนี้ของเจ้าได้ย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ทั้งสามารถทาความดีชดใช ้ความผิด แล้วก็สามารถ…เป็ นเหมือนใน อดีตที่ผ่านมา”
“ดูสิดู ก็เพราะเจ้าฉลาดเกินไป ฉลาดจนขาดไหวพริบ เวลานี้ใน ใจเริ่มเคียดแค้นผินเต้าแล้วว่าทาไมไม่ชี้แนะเจ้าให้เร็วกว่านี้ ทาไมถึง นิ่งดูดาย?”
“เจ้าต้องรู ้นะว่าตอนที่ผินเต้าไปตั้งแผงอยู่ในถ้าสวรรค์หลีจู เจ้า อายุเท่าไรแล้ว? เจ้าคิดว่านิสัยใจคอของคนคนหนึ่งที่ถูกกาหนด มาแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? ไม่อย่างนั้น
ทาไมถึงได้มีคาโบราณบอกไว้ว่าสันดอนเปลี่ยนง่ายสันดานเปลี่ยน ยากเล่า?”
“อีกอย่างผินเต้าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าสักหน่อย เป็ นพ่อ ของเจ้าหรือ?”
“เจ้ายังคงชอบโทษคนอื่นอยู่เสมอ ไม่เคยทบทวนหาปัญหาจาก ตัวเอง เจ้าที่เป็ นเช่นนี้ต่อให้ผินเต้าเข้าไปอยู่ในเมืองเล็กเร็วกว่าเดิม สักสิบปี…บางทีอาจจะได้ผลจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ความสามารถของ ผินเต้าก็มีเล็กน้อยแค่นั้น แขนขาเล็กบาง เจ้าคิดว่าอยากจะเข้าไปอยู่ ในถ้าสวรรค์หลีจูก็เข้าไปได้เลยหรือ? เจ้าบอกว่าให้ช่วยเจ้าก็ช่วยได้ เลยหรือ? อีกอย่างมนุษย์อย่างพวกเราน่ะต้องมีเรื่องให้พบเจอเสมอ นั่นแหละ เมื่อเจอกับความยากลาบากแล้วก็เปลี่ยนความตั้งใจใหม่ เกิดความปรารถนา หวังให้ตัวเองโชคดี อยากให้ตัวเองเดินไปบน เส้นทางแล้วได้เจอผู้สูงศักดิ์ให้ความช่วยเหลือ สภาพจิตใจที่เป็ น เช่นนี้จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้”
“ในตาราอริยะปราชญ์ที่หลี่เป่าเจินอ่านต้องมีประโยคนี้แน่ “เมื่อ การกระท าไม่ได้ผลลัพธ ์ดั่งที่หวังควรต้องกลับมาทบทวนตัวเอง หา สาเหตุจากตัวเอง มีเพียงปฏิบัติชอบเที่ยงตรง คนในใต้หล้าย่อมยอม สวามิภักดิ์” แล้วนับประสาอะไรกับที่บนซุ้มก้ามปูของบ้านเกิดเจ้าก็มี ตัวอักษรสี่คาว่า “อย่าแสวงหาสิ่งนอกกาย” ด้วยไม่ใช่หรือ?”
ลู่เฉินขยับเส้นสายตาไปอีกทาง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จูเหอหนอจู เหอ เจ้าคนนี้ไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด เป็ นคนซื่อสัตย์เที่ยงตรง จิตใจ
โอบอ้อมอารี มีเพียงข้อเดียวที่ต้องแก้ไข นิสัยที่ชอบยอมรับผิดแทน คนอื่น วันหน้าต้องเปลี่ยนได้แล้ว ล้อมคอกเมื่อวัวหายยังไม่สาย เกินไปบางที อาจจะ น่าจะกระมัง”
บุรุษคนหนึ่งที่แก่ชราแล้ว จนถึงวันนี้ก็ยังรู ้สึกผิดเต็มหัวใจต่อ เด็กหนุ่มในปี นั้น ทั้งรู ้สึกดีใจกับผลสาเร็จที่เด็กหนุ่มตรอกหนีผิง ได้รับในภายหลังอย่างจริงใจ แต่กลับไม่กล้าเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริง ของตัวเองออกมาต่อหน้าบุตรสาวแม้แต่น้อย ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา นี้เขาจึงใช ้ชีวิตได้ไม่ง่ายเลย
ลู่เฉินวางสองมือพาดกางไปบนราวรั้วแล้วตบเบาๆ เงยหน้ามอง ไปยังทิศไกล
อะไรเรียกว่าโต๊ะเดิมพัน
สิ่งที่พวกเจ้าไม่ต้องการ ย่อมมีคนที่ต้องการ
จูลู่ถาม “เจ้าเป็ นใคร?”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ผินเต้าแซ่ลู่ พูดไปในชื่อใหญ่ๆ คิดไปในจุดสูงๆ”
น้าตาไหลอาบหน้าจูลู่โดยที่นางไม่รู ้ตัวแม้แต่น้อย
ลู่เฉินหัวเราะคิก “แม่นางจู ไม่ต้องร ้องไห้เสียใจถึงเพียงนี้ ล้อม คอกเมื่อวัวหายยังไม่สายเกินไป ไม่อย่างนั้นผินเต้าจะมาหาเจ้าทาไม บอกความจริงกับเจ้าเพียงแค่เพื่อให้เจ้าเสียใจจนไส้เขียวอย่างนั้น
หรือ? ผินเต้าเป็ นบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้บนภูเขา ยุ่งมาก นัก!”
สารถีเฒ่าร ้องเพ้ยเสียงดัง
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในหลายใต้หล้า ประโยคนี้ไม่มี ปัญหาใดๆ แต่เจ้าลู่เฉินยุ่งอะไรนักหนาล่ะ?
“ชีวิตคนต้องเดินไปทีละก้าว เหมือนอ่านหนังสือเขียนบทความที่ จ าเป็ นต้องขีดเขียนไปทีละเส้นอย่างจริงจังตั้งใจ เขียนอย่างสงบเยือก เย็น”
ลู่เฉินยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น ใช ้ปลายเท้าขยี้พื้นดินเบาๆ “บอกว่า สามขวบก็เห็นได้จนแก่สิ่งที่เห็นอันที่จริงก็เป็ นแค่ความชานาญและ ความไม่เชี่ยวชาญในการเขียนตัวอักษร ฝีเท้าที่ก้าวข้าก้าวเร็วของ แต่ละคนเท่านั้น โดยภาพรวมแล้วแม้จะไม่มองนิสัยใจคอ ความฉลาด ความโง่เขลาของคนก็ยังสามารถเห็นความโชคดีและผลส าเร็จของ คนคนหนึ่งได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากตั้งใจจริงๆ คนโง่ยินดีที่จะ มองดู ยินดีจะเรียนรู ้การอยู่ร่วมกับสังคมของคนฉลาดให้มากหน่อย คนฉลาดก็ยินดีที่จะใช ้วิธีโง่ๆ ในการวางตัว ตามคากล่าวของบ้าน เกิดพวกเจ้า เมื่อฝึกปรือฝีมือจนถึงที่สุดก็ไม่มีทางถูกคนมองอย่าง ตายตัวแต่เนิ่นๆ เห็นผลสาเร็จไปอย่างช ้าๆ ย่อมมีสักวันที่จะสร ้างภาพ บรรยากาศอย่างใหม่ สามารถทาให้คนอื่นตกตะลึงอย่างหนัก ท าให้ คนอื่นตกใจสะดุ้งโหยง”
ลู่เฉินยืดตัวขึ้นยืนตรง ยืดแขนบิดขี้เกียจ ยิ้มเอ่ยว่า “มีประโยค หนึ่งของคนผู้หนึ่งที่เอ่ยได้ดีมาก ลมมรสุมบรรยากาศเลวร ้าย ต้นหญ้ากลับยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ช่วยไม่ได้ทาได้เพียงแค่นี้ เท่านั้น เจ้า ข้า เขาและนาง ร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน”
“เอาล่ะๆ อย่าใช ้สายตาเหมือนจะกินคนมองผินเต้าอีกเลย ผิน เต้าจะให้ทางเลือกและโอกาสกับเจ้าอีกครั้ง บอกลากับบิดาของเจ้า ดีๆ เสีย จากนั้นก็ติดตามผินเต้า….กลับบ้านเกิดไปด้วยกัน”
“จูลู่ ผินเต้าพูดจาเปิดเผยกับเจ้าถึงขนาดนี้แล้ว คาพูดไม่น่าฟัง เอามาพูดกันก่อนหากเจ้ายังไม่รู ้จักถนอมเห็นค่าให้ดีได้ ผินเต้าก็คง ได้แต่ร ้องหึหึและหึหึเท่านั้นแล้ว!”
ลู่เฉินยกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นโบก เอ่ยอย่างเกียจคร ้านว่า “รู ้ หรือไม่ว่านี่คืออะไร? ผินเต้าจะแนะนาเจ้าสักคาก็แล้วกัน ทางที่ดีที่สุด ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าได้รู ้เลย”
ผ่านการเดินทางร่วมกันมาตลอดเส้นทางนี้ ไทเฮาหนันจานค้น พบว่าตัวเองชอบคุยกับอวี๋อวี๋มาก จึงดึงเด็กสาวเข้าไปในห้องด้วยกัน ตอนที่นางเป็ นฝ่ ายรินน้าให้ อวี๋อวี๋ก็ถามคาถามที่คงมีเพียงนาง เท่านั้นที่ถึงจะถามได้ นางทาท่าแหงนหน้ากระดกดื่มน้า ถามเสียงเบา ว่า “ไทเฮา มีเหล้าของต าหนักฉางชุนหรือไม่? นั่งรถเหนื่อยนัก รู ้สึก ล้าบ้างแล้ว หากได้จิบเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ให้กระปรี้กระเปร่าก็น่าจะคุย กับไทเฮาได้อีกนานเลย!”
“มีเพียงดื่มเหล้าสักจอกถึงจะสดชื่นได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาใช ้ ชามดื่มเหล้ากันดีกว่า”
หนันจานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หยิบเหล้าเซียนสองกาออกมา จากชายแขนเสื้อ จากนั้นก็ร่ายตราผนึกบทหนึ่ง ป้ องกันหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ชนชามเหล้ากับเด็กสาวเบาๆ แล้วกระดกดื่มจนหมด สตรีเป็ นฝ่ ายเล่าเรื่องวงในในงานเลี้ยงสุราที่นางใช ้รับรอง “เฉินอิ่นก วาน” คราวก่อนด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเป็ นขั้นตอนที่ผ่านการแก้ไข ปรับเปลี่ยนมาจากไทเฮาก่อนแล้ว เรื่องจริงเรื่องไม่จริงปะปนกันมั่วไป หมด ยกตัวอย่างเช่นนางบอกว่าตัวเองมีความจริงใจอย่างมาก ตอน นั้นเสนอ ‘ราคา” ที่สูงมากให้กับเฉินผิงอัน สกุลซ่งต้าหลียินดีจะทุ่มเท กาลังคนและทรัพย์สินอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้เขาเดินขึ้นสูงบน เส้นทางการฝึกตนกระทั่งถึงคอขวดขอบเขตบินทะยาน…
หนันจานพูดไปพูดมาก็ตาแดงก่า ในดวงตามีประกายน้าตามา เอ่อคลอ นางจิบเหล้าหนึ่งอึก ผายฝ่ ามือออกมาปาดไปบนผิวโต๊ะ เบาๆ พึมพ าว่า “อวี๋อวี๋ เจ้าว่าถึงขนาดนี้แล้วท าไมถึงยังเจรจากันไม่ ส าเร็จอีกล่ะ”
ก่อนหน้านี้พูดคุยกับเฉินผิงอันต่อหน้า ปากนางบอกว่าตัวเองคือ โอสถทอง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็ นก่อก าเนิด เพียงแต่ว่าถูกเฉินผิงอัน มองขอบเขตสูงต่าได้ในปราดเดียวก็เท่านั้น
อวี๋อวี๋ก็กล้าพูดจริงๆ “ไทเฮา ท่านฟังแล้วอย่าโกรธนะ พูดจริงๆ นะ ท่านไม่ควรพูดคุยเช่นนี้ กับคนทาการค้าควรพูดเรื่องการค้าเรื่อง
เงินทอง กับบัณฑิตก็ควรใช ้หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ หลังจากสนิทสนมกันแล้วค่อยหาโอกาสพูดถึงมิตรภาพกับคน ค้าขาย พูดเรื่องค้าขายกับบัณฑิต”
หนันจานอึ้งตะลึง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มเอ่ย “คล้ายจะมีเหตุผล นะ”
อวี๋อวี๋ถามอย่างระมัดระวังว่า “ไทเฮา ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้ท า เรื่องอะไรที่ผิดมารยาทต่อท่านหรอกกระมัง?”
เจ้าคนผู้นั้น ยามที่พูดง่ายก็พูดง่ายจริงๆ แต่ยามที่พูดยากก็… ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว ไม่กล้าคิด ไม่คิดดีกว่า
หนานจานคุยเล่นกับอวี๋อวี๋อยู่นานมาก ต่างคนต่างดื่มเหล้าหมด กันไปคนละกา ผลคือถูกแม่นางน้อยหลอกเอาเหล้าหมักเซียน ต าหนักฉางชุนไปอีกสองกาเพราะบอกว่า ‘เรื่องดีต้องมาเป็ นคู่” แล้ วอวี๋อวี๋ถึงได้เดินก้าวยาวๆ ออกจากห้องไปด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใส
หนันจานนั่งอยู่ในห้องเพียงลาพัง กวาดตามองไปรอบด้าน ในใจ เดือดดาลอย่างหนักสองนิ้วคีบชามสีขาวยกขึ้นสูงหมายจะขว้างลง บนโต๊ะแรงๆ
เพียงแต่คิดดูแล้ว หนันจานก็ยังเลือกจะวางลงเบาๆ ไม่เห็นต้อง มาระบายโทสะใส่ชามขาวใบหนึ่ง
นางเอนกายพิงไปด้านหลังตามจิตใต้ส านึกก็เกือบจะหงายหลัง ล้มไปกองอยู่กับพื้น เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัว หนึ่ง ไม่ใช่เก้าอี้ที่ตัวเองนั่งจนชินมานานหลายปี
ทาเอาสตรีโมโหจนสะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง ขว้างชามสีขาว ใบนั้นไปกระแทกผนังแล้วนางก็ถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยว บังคับชาม
ขาวที่แตกเป็ นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วกลับมาบนโต๊ะ
จ้องมองไปยังชามที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย สตรีออกเรือนแล้วที่ ยิ่งคิดก็ยิ่งอัดอั้นโมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด
ตอนนั้นนางมั่นใจว่าอีกฝ่ ายไม่กล้ากระทาการดุร ้ายในเมือง หลวง ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่งมีหรือจะทาเรื่องที่ผิดทานอง คลองธรรมได้ ประเด็นส าคัญคือขอแค่เขามีสติและมีสมองสักหน่อย จะยอมทนเห็นต้าหลีที่กิจการบ้านเรือนเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็ นกิจการที่ศิษย์พี่ชุยฉานสร ้างขึ้นมาเองกับ มือต้องเหมือนสายน้าที่ไหลหายไปด้วยน้ามือของศิษย์น้องอย่างเขา เฉินผิงอันได้อย่างไร?
ผลคือศีรษะของหนันจานถูกอีกฝ่ ายฟันทิ้ง หากไม่เป็ นเพราะ นางใช ้เวทลับที่ “สืบทอดมาจากสกุลลู่บทหนึ่งทันทีทันใด…
หนันจานคิดมาถึงตรงนี้ก็อดลูบหน้าผากไม่ได้ จากนั้นยื่นมือ ออกมาปาดล าคอเบาๆ
เจ้าคนที่เหยียบโชคดีขี้หมามาตลอดทางผู้นี้ พอร่ารวยขึ้นมา กะทันหันก็เหิมเกริมขึ้นมาทันที! ถึงกับพาผู้ติดตามซึ่งเป็ นคนหนุ่ม สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวคนหนึ่งเข้าวังมาด้วยกัน ตอนนั้นคนที่ นาทางก็คือลู่เหว่ยที่บอกว่าตัวเองถือเป็ นคนบ้านเดียวกันกับเฉินผิง อันครึ่งตัว บรรพบุรุษท่านนี้กับหนันจานที่มีชื่อเดิมว่าลู่เจี้ยง และยังมี ลู่ไถผู้นั้นต่างก็มาจากสายหลักของสกุลลู่ เจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้นไม่ เพียงแต่จุดยันต์ส่องไฟใส่นาง ยังจุดธูปเมฆาเรื่องใส่ลู่เหว่ย ปั่นหัว ของหนันจาน แล้วยังกดหัวของนางบีบให้นางโขกหัวรัวๆ เหมือน โขลกกระเทียมสุดท้ายก็พลิกโต๊ะคว่า
ครั้งนี้ที่หนันจานเป็ นฝ่ ายขอติดตามฮ่องเต้ออกจากวังมาด้วย ตัวเองไม่ใช่มาเพื่อเที่ยวเล่น แต่เพราะเรื่องส่วนตัวสองเรื่อง อีกทั้ง ล้วนหนีไม่พ้นเฉินผิงอันผู้นั้น
เรื่องหนึ่งคือต้องการยืนยันกับเฉินผิงอันให้แน่ใจว่าไข่มุกบนมือ ยังเหลือไข่มุกหลิงซีอีกสามสี่เม็ดที่ยังใช ้ได้จริงหรือไม่
เรื่องที่สองก็คือนางอยากรู ้ว่าตัวเองจะสามารถหลุดพ้นจากสกุล ลู่ส านักหยินหยางของแผ่นดินกลาง ตัดขาดความสัมพันธ ์กับบุคคล ยิ่งใหญ่ที่ทาให้นางหวาดผวาไม่คลายผู้นั้นอย่างสิ้นเชิงได้หรือไม่
ก็เหมือนอย่างสารถีเฒ่าที่อยู่ในศาลเทพอัคคีก่อนหน้านี้ที่ถูก เพิ่งสัพยอกไปประโยคหนึ่งว่า หากไม่ได้จริงๆ ก็ยอมขี้ขลาดต่อหน้า เฉินผิงอันไปซะ เพื่อแสดงความเป็ นมิตรก็เปิดโปงเรื่องของลู่เหว่ยให้ เขารู ้สารถีเฒ่าจิตใจหวั่นไหวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังล้มเลิกความคิดนี้
ไป นั่นเป็ นเพราะรู ้สึกว่าต่อให้ไปมีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่ก็ยังดีกว่าไปมี เรื่องกับพวกคนที่ทานายทายทักได้ มีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่ก็แค่โดนฟัน ไม่กี่ที หากแบกรับได้ไหวก็ผ่านไปได้แล้วแต่หากผูกปมแค้นกับผู้ฝึก ลมปราณของสานักหยินหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกุลลู่แผ่นดิน กลางก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจบลงได้ในคนหนึ่งรุ่นหรือสองรุ่นแล้ว ขนาด สารถีเฒ่ายังหวาดเกรงสานักหยินหยางถึงเพียงนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนในสถานการณ์ที่กลายเป็ นหมากเม็ดหนึ่งบนกระดานอย่างหนัน จานเลย
เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเหตุใด นับตั้งแต่ที่ลู่เหว่ยกลับไปยังตระกูลก็ดู เหมือนจะลืม “ลู่เจี้ยง” อย่างนางไปสิ้นเชิงแล้ว
วันนี้บนมวยผมของหนันจานปักปิ่ นไผ่เขียวที่ทาจากวัสดุ ธรรมดาไว้ชิ้นหนึ่ง
อวี๋อวี๋สังเกตเห็นแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ซักไซ ้ แค่คิดว่าไทเฮามี อารมณ์สุนทรี เพราะถึงอย่างไรมองดูแล้วก็สง่างามเรียบง่ายอย่าง มาก
ก่อนหน้านี้อยู่ในวัง นางไม่ได้ แล้วก็ไม่กล้าหลอกลวงอิ่นกวาน หนุ่มที่กลอุบายลึกล้าผู้นั้น
นางแอบเอาเศษเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นกลับไปวาง ไว้ในถ้าสวรรค์หลีจูจริงๆ
สีหน้าของหนันจานแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน ในขณะที่ความคิด ของนางก าลังล่องลอยไปไกล ข้างหูก็พลันมีน้าเสียงที่ไม่คุ้นเคยดัง ขึ้นมา
“ขุนนางสานักทอผ้าเล็กๆ คนหนึ่งที่ได้แต่เดินกินฝุ่ นอยู่ตามหลัง รถม้า จู่ๆ กลับได้มานั่งทัดเทียมกับไทเฮาแห่งราชสานักต้าหลี
รสชาติเป็ นเช่นไรเล่า?”
หนันจานเงยหน้าขึ้นช ้าๆ ผลคือเห็นนักพรตหนุ่มสวมกวาน ดอกบัวคนหนึ่ง ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายของนักพรตผู้นั้น ดูเหมือนจะ แซ่จู? คือสาวใช ้ข้างกายหลี่เป่าเจินขุนนางสานักทอผ้าคนนั้น?
นางไม่อยากจะชายตามองด้วยซ้า
สตรีเพียงแค่เหม่อลอยไปชั่วขณะก็กลับคืนมามีสีหน้าปกติ น้าตาร ้อนๆ เอ่อคลอดวงตาอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ถอยแล้ว ถอยอีก พอหยุดยืนนิ่งก็ลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวดังตึงๆ
เพิ่งคิดจะตัดขาดความสัมพันธ ์กับ “ลู่เจี้ยง” แต่ตอนนี้กลับไม่ เหลือความคิดนั้นอีกแม้แต่น้อย ร ้องสะอื้นด้วยใบหน้าอาบน้าตาดุจ ดอกหลีพร่างพรมพิรุณ “ลู่เจี้ยงคารวะท่านบรรพบุรุษ!”
ลู่เฉินกระโดดออกไปด้านข้าง ยื่นฝ่ ามือออกมา “อย่า อย่านับ ผินเต้าเป็ นบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูลเด็ดขาด ผินเต้าติดหนี้บานเบอะ เยอะพอแล้ว”