กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1041.3 บอกเล่าข่าวคราวของดอกเหมย
นอกจากเจ้าเด็กลู่ไถผู้นั้นที่เป็ นคนเฉลียวฉลาดตรงไปตรงมา พูดจาตลกขบขัน อีกทั้งยังถือว่ากตัญญูอยู่บ้าง ก็ไม่มีใครที่ทาให้ บรรพบุรุษอย่างเขาวางใจได้อย่างแท้จริงเลย
เจอกับเรื่องอะไรก็ชอบจุดธูปโขกหัวให้บรรพบุรุษ ท่านบรรพ บุรุษข้าเจอเรื่องแล้ว ขอโขกหัวให้พวกท่านได้หรือไม่? แค่นี้ก็ได้ผล แล้วหรือ? ในเมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ได้ผล ใครจะโทษใครได้เล่า
ลู่เจี้ยงแสร ้งทาเป็ นไม่ได้ยิน เพียงแค่โขกหัวแรงๆ
ลู่เฉินยกม้านั่งตัวยาวมาแล้วนั่งลง ยกขาไขว่ห้าง ยิ้มเอ่ยว่า “พอ ได้แล้ว การโขกหัวที่ไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อยจะมีประโยชน์ ตรงที่ใด คิดว่าบรรพบุรุษที่อยู่ในภาพเหมือนล้วนตายไปจริงๆ แล้ว หรือไร?”
ลู่เจี้ยงยังไม่ยอมฟัง เอาแต่โขกหัวต่อไป คงจะต้องการแสดง ความจริงใจ หน้าผากของนางจึงบวมแดงแล้ว
ลู่เฉินตบเข่า เอ่ยว่า “กลัวเจ้าแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ จะไม่ให้เจ้า โขกหัวเปล่าๆ หรอก เพื่อให้เป็ นค่าตอบแทน ข้าจะบอกกล่าวกับลู่ เสินสักคา วันหน้าชื่อลู่เจี้ยงนี้ก็ให้ลบออกจากทาเนียบสกุลลู่ ข้าจะ นับถึงสาม หากยังไม่ลุกขึ้นอีก ข้าจะไปแล้ว ถือเสียว่าวันนี้ไม่ได้มา ที่นี่ส่วนเรื่องที่จะอาศัยลู่เจี้ยงมาตีสนิทกับข้า หนันจาน ระวังจะเป็ น
เพียงฝันกลางวัน ถึงเวลากลายเป็ นการใช ้ตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้า หนึ่ง สอง…”
หนันจานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
ลู่เฉินยิ้มถาม “เดิมทีไม่ได้อยากมาที่นี่ เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ อยากรู ้มากจริงๆ ไหนลองมาว่าสิ เศษกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้น
เจ้าสั่งให้หยางฮวาเอาไปวางไว้ที่ไหน?”
หนันจานไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย พูดเสียงสั่นที่ยังแฝงไว้ด้วยการ ถอนสะอื้น “ตอบท่านบรรพ…เจ้าลัทธิลู่ กระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้น นั้น ข้าได้ให้หยางฮวาแอบนาไปวางไว้ในบ้านข้างๆ บ้านบรรพบุรุษ ตรอกหนีผิงของเฉินผิงอันแล้ว”
“อ้อ?”
ดวงตาลู่เฉินเป็ นประกายวาบ หัวเราะปากกว้าง “บ้านข้างๆ ข้าง ซ ้ายหรือข้างขวา?”
หนันจานกล่าว “อยู่ในลิ้นชักในห้องหนังสือของซึ่งมู่ เหน็บอยู่ใน ต าราประถมวัยเล่มหนึ่ง”
ดูเหมือนลู่เฉินจะรู ้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เขาเบ้ปาก ลุกขึ้นยืน “กลับ ดีกว่า กลับดีกว่า”
หนันจานท าท่าจะพูดแต่ไม่พูด
ลู่เฉินยื่นนิ้วออกมาเคาะที่หางตา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนันจาน จะ มอบอีกประโยคหนึ่งให้เจ้าเพิ่มเติม อย่าได้ด่าเฉินผิงอันในใจอีก อัน ที่จริงเขาได้ยิน ก็แค่คร ้านจะสนใจเท่านั้น”
หนันจานเหมือนถูกฟ้ าผ่าคาที่
คราวนี้นางอึ้งตะลึงจริงๆ
ความจาและความสามารถในการอดทนข่มกลั้น โดยเฉพาะเรื่อง ของความเจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้าหมอนั่นทาให้หนันจานต้องมองเขาเสีย ใหม่จริงๆ
ลู่เฉินหัวเราะร่า “เจ้าก็เชื่อจริงๆ หรือ”
หนันจานมึนงง
ลู่เฉินพยักหน้าอยู่กับตัวเอง “เชื่อได้นะ”
“ไม่เชื่อก็อาจจะเจอเรื่องลาบาก เชื่อแล้วกลับไม่เสียเปรียบแม้แต่ น้อย กลับกันยังจะได้กาไรด้วย ทาไมจะไม่เชื่อล่ะ”
ลู่เฉินถีบม้านั่งยาวกลับไปที่เดิม “ความรู ้ในใต้หล้า ล่องเรือยาม ราตรีเป็ นเรื่องยากที่สุด”
พาจูลู่มองเมินผนังและกาแพงเดินตรงดิ่งไปตลอดทาง ลู่เฉินสอด สองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ผินเต้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก”
“ในความเห็นของข้า เรื่องที่ยากที่สุดก็คือค้อมเอวเก็บเงินที่ร่วง อยู่เต็มพื้น”
“ทั้งๆ ที่แค่ก้มเก็บก็พอ แต่กลับไม่มีใครยอมเก็บ ไม่ยอมให้มันมา อยู่ในกระเป๋ าของตัวเอง วิถีทางโลกใบนี้เดิมทีทุกคนควรมีเงินหมื่นก้ วนร ้อยเอว มีงูมีมังกรบนพื้นพสุธาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง จะมีอะไรแปลก กันเล่า”
“สหาย เจ้ารู ้หรือไม่ว่าหากเงินเหรียญทองแดงที่อยู่บนพื้นมี
ความหมายแฝงอยู่ มันจะคืออะไร?”
แสงสว่างเปล่งวาบขึ้นมาในหัวของจูลู่ แต่จากนั้นสีหน้าของนาง ก็เปลี่ยนมาเป็ นหม่นหมอง พึมพ าเบาๆ ว่า “หลักการเหตุผล”
“พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิด”
ลู่เฉินหัวเราะ “ที่แท้เจ้าก็รู ้ด้วยหรือ” สวรรค์เป็ นใจ ให้โอกาสพวกเราได้ท าผิด “ก้าวเดินเนิบช ้า ในใจขัดแย้ง กลับแล้ว กลับแล้ว”
ลู่เฉินยืดแขนบิดขี้เกียจ “นักพรตในภูเขาบอกเล่าข่าวคราวของ ดอกเหมย”
……
พื้นที่ชานเมืองหลวงแคว้นชิงซิ่ง อารามเต๋าเงียบสงบแห่งหนึ่งที่ เต็มไปด้วยต้นป่ ายโบราณ หน้าประตูเงียบเหงาวังเวงราวกับว่าไม่มี ใครมาจุดธูปที่นี่
ถึงอย่างไรเฉิงเฉียนก็เป็ นแค่เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น ไม่ได้รับ หน้าที่เป็ นราชครู มาฝึกตนอย่างเงียบสงบอยู่ที่นี่ อยู่ห่างจากความ ขัดแย้งในวงการขุนนางก็เหมาะสมอย่างถึงที่สุด
หลายวันมานี้เวินจื่อซี่รักษาตัวอยู่ในอารามเต๋าอย่างสงบ
เจินเหรินผู้เฒ่าเฉิงที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กน้อย วันนี้อาบน้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปจุดธูปสามดอกที่โถงบรรพจารย์ควันสีม่วงลอย กรุ่นขึ้นสูง จากนั้นสตรีคนหนึ่งก็เดินออกมาจากภาพวาด ก็คือบรรพ จารย์ต้งถิง เจ้าต าหนักหลิงเฟย
พวกเขาเดินออกมาจากศาลบรรพชนด้วยกัน เฉิงเฉียนเล่า เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาให้บรรพจารย์เซียงจวินฟัง อย่างละเอียด ที่แท้ก่อนหน้านี้ไม่นานจู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งออกมาปั่นป่วน สถานการณ์ ดูจากท่าทางแล้วคือต้องการช่วงชิงอาณาเขตของภูเขา เหอฮวานกับอารามหลิงเฟย
นอกจากฮ่องเต้สกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งแล้ว จักรพรรดิอีกสองแคว้น ที่อยู่โดยรอบภูเขาเหอฮวานต่างก็มีลางว่าจะเปลี่ยนใจ
เฉิงเฉียนกล่าว “กลุ่มคนสามคน ตอนนี้อยู่ในวังหลวงของเมือง หลวง ต้องการจะปรึกษาเรื่องซื้อภูเขากับฮ่องเต้ ในวังส่งข่าวแจ้งเรื่อง นี้มาที่อาราม”
เซียงจวินถามอย่างสงสัย “พวกเขามีภูมิหลังอย่างไร? ก่อนหน้า นี้ไม่มีข่าวแพร่งพรายออกมาสักนิดเลยหรือ?”
ส่วนเรื่องที่จะบุกเบิกภูเขาเหอฮวานเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม และภูเขาเบื้องล่างของอารามหลิงเฟย แต่กลับถูกอีกฝ่ ายมาชิงตัด หน้าไปกลางทาง เซียงจวินไม่ได้มีโทสะสักเท่าไรมีแต่ความสงสัยใคร่ รู ้เสียมากกว่า
เฉิงเฉียนอธิบาย “สองครั้งก่อนหน้านี้ คนกลุ่มนี้ลงมืออย่าง ลึกลับอ าพราง ไม่มีข่าวเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย อีกฝ่ ายตรงไปหา ฮ่องเต้ ปรึกษาเรื่องลับกันต่อหน้า ครั้งนี้ดูเหมือนพวกเขาจะจงใจให้ ทางอารามรู ้เรื่อง ข้าถึงสามารถนามาแจ้งให้เจ้าตาหนักทราบได้ หนึ่ง ชายสองหญิง เป็ นคนต่างถิ่น ล้วนใช ้เวทอาพรางตา มองออกว่าอีก ฝ่ ายให้ราคาสูงมาก หาไม่แล้วฮ่องเต้ของสองแคว้นก็ไม่มีทางเสี่ยงที่ จะผูกปมแค้นกับพวกเราเพื่อให้ได้กาไรเป็ นเงินเทพเซียนที่ร ้อนลวก
มือก้อนนี้”
มาถึงเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เวินจื่อซี่มารออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว กาลังยื่นมือหยอกปลาจิ่นหลีในถังน้าเล่น ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ช่วง ที่ผ่านมานี้ป่วยกระเสาะกระแสะหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ใจกล้าไม่เบา ทั้ง ที่รู ้ว่าเป็ นการค้าของอารามหลิงเฟยพวกเรา ขอแค่ไม่ใช่คนหูหนวก ก็น่าจะเคยได้ยินว่าก่อนหน้านี้บรรพจารย์เฉาได้ปรากฏตัวในอาณา เขตของภูเขาเหอฮวานมาก่อน พวกเขายังกล้าโอ้อวดตัวเอง กล้า แย่งชิงพื้นที่กับพวกเราอย่างเห่อเหิมเช่นนี้ ข้าล่ะประหลาดใจนักว่า พวกเขาอาศัยอะไร?”
เซียงจวินแสร ้งทาเป็ นไม่ได้ยิน เฉิงเฉียนก็ไม่ถือสา ช่วงนี้เวินจื่อ ซี่อารมณ์ไม่ดีก็ย่อมต้องมีเหตุผลของตัวเอง แม้ว่าเฉิงเฉียนจะไม่รู ้ถึง การประลองที่นอกจวนเฝิ่ นหวานครั้งนั้นแต่เวินจื่อซี่ถูกสิงจื่อแห่ง อารามจินเขียน “ย้ายมา” รักษาบาดแผลที่นี่ อาการบาดเจ็บไม่เบา แต่ก็ไม่ถือว่าหนักหนามากนัก ไม่ได้ถูกท าร ้ายถึงรากฐานมหามรรคา กินยาวิเศษและอาหารที่เป็ นยาบารุงร่างกายสองสามเดือนเป็ นเรื่องที่ เลี่ยงไม่ได้ มีเพียงเรื่องเดียวที่เฉิงเฉียนค่อนข้างใส่ใจ ดูเหมือนว่าใน ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เวินจื่อซี่พยายามจะนั่งลืมตน รวบรวมสมาธิ หลอมลมปราณอยู่หลายครั้ง แต่กลับไร ้ผลทุกครั้ง จานวนมากเข้า อารมณ์ของเขาจึงเริ่มเปลี่ยนมาเป็ นฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด
ในห้องมีอุปกรณ์เล่นหมากล้อมอยู่ชุดหนึ่งและมีตาราหมากล้อม เก่าแก่อยู่บางส่วนเม็ดหมากสองโถล้วนท ามาจากหินไข่ห่านสองสี ขาวดาในลาธารที่เอามาขัดกลึงอย่างประณีติ วัตถุดิบธรรมดาอย่าง ถึงที่สุด แต่กลับทาขึ้นมาอย่างใส่ใจ
เซียงจวินถอดรองเท้าอยู่นอกห้อง เดินเข้าไปในห้องที่ปูไว้ด้วย เสื้อไม้ไผ่ นั่งอยู่ด้านข้างกระดานหมาก ผายมือออกไปเอ่ยเชื้อเชิญ ว่า “เฉิงเฉียน มาเล่นด้วยกันสักตา”
เฉิงเฉียนนั่งลงแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “น้อมรับคาสั่ง”
เวินจื่อซี่ไม่ถอดรองเท้า นั่งอยู่ตรงหน้าประตู หันหลังให้กับสอง ฝ่ ายที่เล่นหมากล้อมกัน หัวคิ้วขมวดแน่น สายตาเหม่อลอย สีหน้า อัดอั้นอย่างถึงที่สุด
หากไม่เป็ นเพราะอยู่ในอารามเต๋าของบ้านคนอื่น เวินจื่อซี่คงด่า กราดไปนานแล้วอาจจะดื่มเหล้าเมาหัวราน้า อาศัยฤทธิ์เหล้าทะยาน ลมไปหาภูเขาที่เงียบสงบสักแห่ง แล้วจะต้องทุบท าลายภูเขาหลายลูก ให้แหลกเละให้จงได้
เพียงแต่เพราะว่าช่วงที่ผ่านมานี้เขามีความลาบากใจยากที่จะ เอื้อนเอ่ยออกมาได้จริงๆ ทุกครั้งที่หลับตาลงฝึ กวิชาของลัทธิเต๋า พอจะรวบรวมสมาธิได้บ้าง ในสมองก็จะมีใบหน้าของสตรีผู้นั้นลอย ขึ้นมา สีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเหยียดหยามของนาง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสายตาที่ทั้งเร่าร ้อนทั้งเย็นชาซึ่งขัดแย้งกันเองที่ทาให้เวินจื่อซี่ จะต้องถอยดวงจิตเมล็ดงาออกมาในทุกครั้งที่เพิ่งจะเริ่มนั่งลืมตน เป็ น เหตุให้ความเร็วในการประสานตัวของบาดแผลเขา เมื่อเทียบกับที่ ตัวเองคาดการณ์ไว้แล้วก็ช ้ากว่าไม่ใช่แค่วันสองวันเท่านั้น
นักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีทองก้าว เดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ประดุจน้าไหลพลิ้วกายมายังที่นี่ มาหยุดยืนนิ่ง อยู่หน้าประตู เขาไม่ได้มองไปในห้อง เพียงแค่คารวะตามขนบลัทธิ เต๋า เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าอาราม มีแขกมาเยือน สามคน หนึ่ง ชายสองหญิง ต่างก็เป็ นผู้ฝึกลมปราณ ศิษย์มองตบะไม่ออก พวกเขา บอกว่าต้องการมาคุยเรื่องการค้ากับเจ้าอาราม”
สองนิ้วที่คีบเม็ดหมากของเฉิงเฉียนลอยค้างอยู่กลางอากาศ มองไปทางบรรพจารย์เซียงจวิน นางพยักหน้า
เฉิงเฉียนวางเม็ดหมากลงบนกระดานเบาๆ เอ่ยด้วยน้าเสียงดัง กังวาน “พาพวกเขาเข้ามา”
เวินจื่อซี่ที่กาลังอยู่ในอารมณ์เบื่อหน่ายรู ้สึกสนอกสนใจขึ้นมา ทันที ฟังเสียงแล้วแยกแยะต าแหน่ง ฟังจากเสียงฝีเท้าและเสียงหายใจ ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนที่ประสบความส าเร็จ หรือจะเป็ นพวกบ้านนอก ที่ในกระเป๋ าพอจะมีเงินเหม็นๆ อยู่บ้าง ออกจากยอดเขามาไกลเกินไป กลับกลายเป็ นว่ากล้าไม่เห็นตาหนักหลิงเฟยที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็ นสานัก อักษรจงอยู่ในสายตา? ครู่หนึ่งต่อมาเวินจื่อซี่ก็เห็นเงาร่างของสาม คนนั้น คนที่เป็ นผู้นาคือชายหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อ บนผมปักปิ่น หยก ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ เนื้อหนังมังสาไม่เลว บุคลิกก็ใช ้ได้ฝั่ง ซ ้ายมือของเขาคือสตรีที่ลักษณะคล้ายหญิงจากชนบท ฝั่งขวามือทา ให้เวินจื่อซี่อดมองอยู่หลายทีไม่ได้ มวยผมทรงก้นหอยเสียบ เครื่องประดับสีหยก เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น สวมชุดคลุมอาคมสี เขียวมรกตระดับขั้นไม่ต่า เอวบางที่แค่มือเดียวก็รวบได้หมดของนาง มองแล้วกลัวว่าผ้าจะบางเกินไป
เซียงจวินเพียงแค่มองแวบเดียวก็รู ้ว่าคนพวกนี้รับมือได้ไม่ง่าย ไม่ต้องสงสัยว่าเป็ นมังกรข้ามแม่น้าอย่างแน่นอน
พูดถึงแค่ชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกตบนร่างผู้ฝึกตนหญิง แม้แต่ เซียงจวินก็ยังเคยเห็นแค่จากต าราเต๋าเท่านั้น คือ “ชุดจูอีแห่ง พระราชวังโตวหลวี่” ของลัทธิเต๋า หลอมได้ยากมากและต้อง สิ้นเปลืองทรัพยากรมหาศาล
ในบันทึกบนตารา ชุดจูอีตระกูลเซียนที่ถูกขนานนามว่า “ร ้อยปี ปิดหนึ่งครั้ง” ชิ้นนี้ เคยมีปรากฏชุดหนึ่งในช่วงยุคบรรพกาลที่เจินเห รินพสุธาต่างก็มีที่ทาการเป็ นของตัวเองเท่านั้นว่ากันว่าสามารถช่วย ให้ผู้ฝึกลมปราณสัมผัสได้ถึงแม่น้ายาวแห่งกาลเวลา เวลายาวนาน เลยผ่านจนมหาสมุทรกลายเป็ นผืนนาก็แทบจะไม่มีผู้ฝึกตนหญิงคน
ใดเอามาสวมไว้บนร่างอีก
ในเมื่อเฉิงเฉียนที่เป็ นงูเจ้าถิ่นอาจการาบพวกเขาไม่ได้เสมอไป เซียงจวินที่เป็ นบรรพจารย์ของสานักเบื้องบนเองก็ไม่คิดจะหยั่งเชิง อะไรอีก วางเม็ดหมากกลับลงไปในโถ ยิ้มเอ่ยว่า “เซียงจวินแห่ง ตาหนักหลิงเฟย ฉายาตั้งถิง พวกเจ้าคือ?”
ชายหนุ่มที่เป็ นผู้นามีสีหน้าอ่อนโยน ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “กู้ช่านแห่งนครจักรพรรดิขาว คารวะบรรพจารย์เซียงจวิน เฉิงเจินเห ริน ปรมาจารย์เวิน”
สาวใช ้ที่อยู่ข้างกายยอบกายคารวะอย่างเงียบเชียบ เพียงแต่ว่า การกระทาที่ไร ้เสียงนี้ของนางกลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างล้นเหลือ
มีเพียงสตรีวัยกลางคนที่เหมือนหญิงชนบทเท่านั้นที่ยืนนิ่งไม่ ขยับ
เวินจื่อซี่นึกว่าตัวเองฟังผิดไป “เจ้าก็คือกู้ช่าน?!”
ลูกศิษย์เอกของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาววิ่งมายังสถานที่ ที่มีแต่กลิ่นอายอัปมงคลแม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้แห่งนี้ทาไม? ส่วนเรื่องที่
กู้ช่านมีชาติกาเนิดมาจากถ้าสวรรค์หลีจูของราชส านักต้าหลี เวินจื่อ ซี่ย่อมเคยได้ยินมาก่อนนานแล้ว การกระท าของกู้ช่านในทะเลสาบซู เจี่ยนตอนที่ยังเป็ นเด็กน้อย เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับบันทึก ขุนเขาสายน้าบางเล่ม คนทั้งบนและล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีป ล้วนรับรู ้ทาไม หรือถือว่าคนที่เคยทาผิดแล้วกลับตัวเป็ นคนดีมีค่าหา
ยากมากกว่าทองค า?
กู้ช่านที่ประสานมือคารวะยืดตัวขึ้น พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้า เอง”
เวินจื่อซี่จุปาก “ถึงกับรู ้จักข้าด้วยหรือ?”
กู้ช่านพยักหน้า
เวินจื่อซี่กล่าว “มองดูแล้วเจ้าก็ไม่ได้บ้าคลั่งสักเท่าไร ทาไมถึง บอกว่าเจ้าเป็ น “คนวิกลจริต ล่ะ?”
กู้ชานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากคุยธุระวันนี้เสร็จแล้วปรมาจารย์เวิน ยังรู ้สึกเช่นนี้ก็คงดี”
เวินจือซี่หัวเราะลั่น ยกนิ้วโป้ งให้กู้ช่าน “พอจะมีความวิกลจริต อยู่บ้างแล้ว”
เซียงจวินไม่ขัดขวางการคุยเล่นระหว่างเวินจื่อซี่กับกู้ช่าน อาศัย ค าพูดและการกระท าพยายามที่จะทาความเข้าใจนิสัยใจคอของอีก ฝ่ายให้มากขึ้น ไม่ถือเป็ นเรื่องแย่
ในเมื่อเขาคือกู้ช่าน สถานะแน่นอนไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย ถ้า อย่างนั้นคาถามก่อนหน้านี้ก็มีคาอธิบายแล้ว ในใต้หล้าไพศาล ลูก ศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาวไม่ต้องไว้หน้า ต าหนักหลิงเฟยสักเท่าไรจริงๆ
กู้ช่านกวาดตามองไปยังสถานการณ์บนกระดานหมากในห้อง เอ่ยว่า “ไม่กล้ารบกวนการเล่นหมากล้อมระหว่างบรรพจารย์เซียง จวินและเฉิงเจินเหริน ผู้เยาว์จะพูดธุระเลยแล้วกัน”
เซียงจวินพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เชิญพูด”
กู้ช่านยืนอยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก สีหน้าสงบนิ่งเป็ นธรรมชาติ เอ่ยเนิบช ้าว่า “ในเมื่อบรรพจารย์เซียงจวินและต าหนักหลิงเฟยแค่ เจรจาในเรื่องจุดประสงค์ขั้นต้นกับพวกสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่ง ยังไม่มี การลงนามในกระดาษ เรื่องที่ยังไม่แน่นอนเช่นนี้ ผู้เยาว์ก็ยังมีโอกาส การค้าขายในใต้หล้าก็หนีไม่พ้นว่าเจ้ายินยอมข้าพร ้อมใจ คนที่ให้ ราคาสูงกว่าก็ได้ไป”
“อีกอย่างในอาณาเขตของภูเขาเหอฮวาน ข้าต้องได้มาครอง เท่านั้น ไม่มีสถานการณ์ที่จะฉวยโอกาสขึ้นราคาพรวดพราด ถึง อย่างไรทุกครั้งที่พวกท่านเสนอราคา ข้าก็มีแต่จะให้มากกว่าพวก ท่านหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชเสมอ”
“ดังนั้นหากว่าพวกท่านทนโมโหไม่ไหวก็เสนอราคาไปเรื่อยๆ ให้ ข้าต้องจ่ายเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ เมื่อไหร่ที่หายโกรธแล้วก็ถอย ออกไปซะ”
เซียงจวินขมวดคิ้วน้อยๆ
เฉิงเฉียนยิ่งมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ เจ้ากู้ช่านคิดว่าตัวเองคือ อาจารย์เจิ้งจริงๆ อย่างนั้นหรือ? ถึงได้พูดจาสามหาวไร ้ย าเกรง เช่นนี้?
เวิ่นจื่อซี่โมโหจนกลายเป็ นขา เป็ นฝ่ ายเปิดปากพูดก่อนใครว่า “เมื่อไหร่กันที่หน้าตาต าหนักหลิงเฟยของพวกเรามีค่าแค่เงินฝน ธัญพืชเหรียญเดียว?”
กู้ช่านกล่าว “ปรมาจารย์เวินรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองให้ดี ไปเถอะ”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือเรื่องที่ทั้งสองฝ่ ายพูดคุยกัน เจ้าเวินจื่อ ซี่ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะสอดปากพูดแทรก