กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1058.3 ที่แท้คือการปกป้ องมรรคา
เฉินผิงอันกล่าว “แต่ส าหรับเจ้าแล้วกลับถือเป็ นการพันธนาการ ชั้นหนึ่งไม่มากก็น้อย”
บริเวณใกล้เคียงมีเด็กที่กาลังเล่นว่าวอยู่พอดี เฉินผิงอันจึงชี้ไป ยังว่าวที่ลอยอยู่บนฟ้ าไกล
“ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวอย่างพวกเจ้า ฟ้ าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ เดิมที่ ควรมีอิสระเสรี ไร ้พันธนาการใดๆ”
“ถ้าอย่างนั้นการคิดถึงวันเวลาเก่า ความเคียดแค้น ความกังวล ความพะวงหา ความอาลัยทุกอย่างของพวกเราก็จะเหมือนว่าวที่มี เชือก เพียงแค่กระตุกเบาๆ ก็นึกถึง”
“เมื่อความคิดผุดขึ้น จิตแห่งมรรคาก็เหมือนน้าที่มีริ้วกระเพื่อม คิดขึ้นมานั้นง่าย แต่หากจะหยุดความคิดกลับยากแล้ว”
เสี่ยวโม่ใคร่ครวญอย่างละเอียด “เคยฟังศาสดาพุทธพูดเรื่องพระ ธรรมกับคนไร ้นามผู้หนึ่งใต้ต้นไม้ ฝ่ ายหลังบอกว่าคนอื่นก็คือนรก บนดิน ศาสดาพุทธกลับบอกว่าด้วยเหตุนี้ดอกบัวจึงผลิบานในโลก มนุษย์”
เฉินผิงอันเงียบงันไปนาน
ลืมไปแล้วว่าใครเป็ นคนพูด การท าผิดและการหลงลืมคือคู่สร ้าง คู่สมที่สวรรค์สรรค์สร ้าง คือความอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยความสงสาร เวทนา ถือเป็ นการผ่อนปรนจากความเมตตา
เสี่ยวโม่เอ่ยเรียกเบาๆ “คุณชาย?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า น้าเสียงมีความจนใจแฝงอยู่ “เจ้า ถึงกับยกศาสดาพุทธมาพูดแล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก”
เซี่ยโก่วมาปรากฏตัวบนเส้นทางเบื้องหน้า ยื่นส่งขนมแปะโอ่ง หลายชิ้นที่ห่อด้วยกระดาษน้ามันมาให้พวกเขา “อร่อย”
เฉินผิงอันรับขนมแปะโอ่งมา ถามว่า “จ่ายเงินหรือเปล่า?”
เซี่ยโก่วร ้องอ๋า ยกมือตบหมวกขนเตียว “ลืมไปเลย”
นางยังนึกว่าอยู่ในอาณาเขตของเมืองหลวงต้าหลี จะกินจะดื่ม อะไร แค่บอกชื่อของเจ้าขุนเขาหรือราชครูไปก็ไม่ต้องควักเงินจ่าย เสียอีก เข้าใจผิดแล้วสินะ
เมื่อก่อนอยู่ที่อุตรกุรุทวีปนางไม่ได้เป็ นแบบนี้นะ ขึ้นเขาไปเก็บ สมุนไพร ตั้งแผงในตลาด ราคาเป็ นธรรม ของหนึ่งชิ้นเงินหนึ่งเหรียญ
เซี่ยโก่วรีบหมุนตัวกลับแล้ววิ่งตะบึงจากไป
ทางฝั่งของร ้านขายขนมแปะโอ่งที่กิจการดีมาก เจ้าของร ้านที่ เป็ นชายฉกรรจ์กาลังก่นด่า เห็นว่าเป็ นแม่นางน้อยที่หน้าตาซื่อสัตย์ แต่ไฉนถึงเป็ นนักต้มตุ๋นเสียได้
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวหยิบเศษเงินก้อนเม็ดหนึ่งออกมาจาก ชายแขนเสื้อ ชายฉกรรจ์รับมาแล้วก็พลันคลี่ยิ้มทันใด รีบเอ่ยว่ายินดี ต้อนรับลูกค้ามาเยือนใหม่
กลับมาอยู่ข้างกายพวกเฉินผิงอัน เซี่ยโก่วกินขนมแปะโอ่งไส้ ผักกาดดองผสมเนื้อที่เหลืออยู่ในมือ พูดเสียงอู้อี้ว่า “เจ้าขุนเขา เฟิงอื่บอกให้ท่านรีบไปพื้นที่มงคลร ้อยบุปผาโดยเร็ว บอกว่าหากยัง ไม่ไปอีก นางก็ไม่ต้องการให้ท่านช่วยแล้ว จะเอาของคืนไปแล้วนะ”
เฉินผิงอันฟังความนัยในประโยคของเฟิงอี๋ออก จึงกล่าวว่า “รู ้ แล้ว จะต้องรีบไปแน่นอน”
ขอแค่ไม่ได้ใช ้เสียงในใจ ถึงอย่างไรเฟิงอี๋ก็ต้องได้ยินแน่นอน
เซี่ยโก่วกล่าว “อีกอย่างก็คือเฟิ งอี๋ให้ข้าเอาข่าวดีมาบอกเจ้า ขุนเขา ทางฝั่งของศาลบุ๋นปรึกษากันเรื่องที่จะให้เจ้าขุนเขาเป็ นวิญญู ชนของลัทธิขงจื๊อ ไม่มีความเห็นต่างใดๆ”
เฉินผิงอันรู ้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ต่อให้เฟิงอี๋จะใจกล้าแค่ไหนก็ ไม่มีทางที่นางจะกล้าแอบฟังการประชุมของศาลบุ๋นถึงจะถูก
กล่าวมาถึงตรงนี้ เซี่ยโก่วก็ผายมือออกมา
เฉินผิงอันจึงหยิบเศษเม็ดเงินที่พกติดตัวเหรียญหนึ่งวางลงไปบน ฝ่ามือของเด็กสาวสวมหมวกขนเตียว
เสี่ยวโม่ทาหน้าเหลอหรา
เซี่ยโก่วยิ้มกว้าง “ในนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉม สะคราญหลายเล่มต่างก็เขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า บัณฑิตเดินทางเข้า เมืองหลวง สอบติดเป็ นจิ้นซื่อ คนที่ตีฆ้องเอาข่าวดีมาบอกล้วนต้อง ได้รับเงินรางวัล”
เสี่ยวโม่รู ้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง
นางมีหน้ารับเงิน คุณชายก็ยอมมอบให้จริงๆ…
เซี่ยโก่วได้เงินมาแล้วก็คลี่ยิ้มกว้างสดใส “เมื่อครู่นี้เฟิงอื่บอกแล้ว ว่า รองผู้อานวยการเหมาของสานักศึกษาหลี่จี้รังเกียจว่ากระบี่บิน แจ้งข่าวช ้าเกินไป ดังนั้นพอการประชุมสิ้นสุดลง เดินออกมาจาก ศาลบุ๋นแล้วรองผู้อ านวยการเหมาก็เรียกฉายาเทพของนางแล้วขอให้ นางน าข่าวมาบอกต่อ”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็ นประกายวาบ
เซี่ยโก่วหัวเราะฮ่าๆ ช่วยพูดความในใจของเจ้าขุนเขาบ้านตัวเอง ออกมา “คือเส้นทางท าเงินอย่างใหม่ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าเลย นะ”
เฉินผิงอันร ้องเอ๊ะ “พูดจาเหลวไหล จะกล้ารบกวนเฟิ งอี๋ได้ อย่างไร”
อันที่จริงเสี่ยวโม่ยิ่งรู ้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่าเซี่ยโก่วที่อยู่บน ภูเขาลั่วพัว จะมีหรือไม่มีเขาเสี่ยวโม่ก็คงเหมือนกัน นางเข้าเมืองตา หลิ่วหลิ่วตาตามได้ดีมาก ทุกวันนี้ใช ้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
เซี่ยโก่วเอ่ยเสียงเบา “เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ เฟิงอี๋ยังบอกด้วยนะว่า ฮ่องเต้เอาเหล้าหมักต าหนักฉางชุนมาล่อให้รองเจ้ากรมเฉาไปเข้าเวร ในวังก็เหมือนที่ภูเขาลั่วพั่วเอาเจ้ามาล่อข้า”
อันที่จริงตอนที่อยู่ใต้ซุ้มองุ่นของศาลเทพอัคคี นางพูดคุยกับเพิ่ง อื้ออกรสกว่านี้มากนัก แล้วก็เพราะพวกนาง “บังเอิญ” ได้ยินเสี่ยวโม่ “คุยเล่น” กับเจ้าขุนเขาบ้านตน เฟิงอี๋ถึงได้มอบแผนการอันแยบยลนี้ มาให้นางเปล่าๆ
เสี่ยวโม่ถาม “เจ้าได้ยินแล้วไม่โกรธหรือ?”
เซี่ยโก่วจัดหมวกขนเตียวให้ตั้งตรง “โกรธทาไม? ข้าคิดว่าเป็ น ประโยคที่ดีเลยนะ เหล้าเซียนตาหนักฉางชุนคือสุราดีที่ใครเห็นก็ชื่น ชอบ ดีจนถึงที่ว่าดื่มเหล้าไปแล้วก็ยังต้องเก็บกาเหล้าเอาไว้เลยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ พวกเจ้าก็เพลาๆ กัน หน่อยเถอะ”
เซี่ยโก่วยิ้มกว้าง “เฟิ งอี๋ยังบอกด้วยว่า รองผู้อ านวยการเหมา บอกว่าประโยคนั้นที่ศาลบุ๋นจะมอบให้ท่านก็ถือว่าแน่นอนแล้ว”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู ้ “ประโยคอะไร?”
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ขอแค่กลายเป็ นนักปราชญ์หรือวิญญูชนของ สานักศึกษาก็จะได้รับประโยคหนึ่งที่เจ้าขุนเขาของสานักศึกษา หรือไม่ก็อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปมอบให้
หากรับหน้าที่เป็ นผู้อานวยการ รองผู้อานวยการของสถานศึกษา หรือเป็ นเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสานักศึกษาแห่งลัทธิขงจื๊อก็จะ ได้รับถ้อยคาจากหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและเหวินเซิ่ง
หากรับหน้าที่เป็ นเจ้าลัทธิหลักรองสามท่านของศาลบุ๋น ว่ากันว่า ปรมาจารย์มหาปราชญ์จะ “ตัด เอาประโยคหนึ่งที่ความหมายไพเราะ งดงามจากต าราบางเล่มมามอบให้
เซี่ยโก่วท าสีหน้ามีเลศนัย มองเจ้าขุนเขาเฉินแล้วถามว่า “เจ้า ขุนเขาเชี่ยวชาญการเดาใจคนขนาดนั้น ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไฉนรู ้แล้วยังแกล้งถาม”
เสี่ยวโม่มึนงงไม่เข้าใจ
เซี่ยโก่วพยักหน้า “รองผู้อ านวยการเหมาอธิบายมาพร ้อมกัน แล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็ นอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่ไปเห็นประโยคหนึ่ง มาจากในตาราเล่มหนึ่งของหอเหรินอวิ๋นอื้อวิ๋นเพราะประโยคนั้นใน ต ารามีเส้นสีแดงขีดผ่านอยู่ข้างๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า เขาเดาค าตอบได้แล้ว
เป็ นอย่างที่เซี่ยโก๋วพูดจริงๆ เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันคาดเดาได้
ในใจกระเพื่อมไหวเล็กน้อย จากนั้นความคิดบางอย่างก็ผุด ขึ้นมา เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกลับสลายริ้วกระเพื่อมของมหามรรคา ส่วนนั้นทิ้งไปทันที
เฉินผิงอันเปลี่ยนเรื่องพูด ใช ้เสียงในใจเอ่ยกับพวกเขาว่า “เสี่ยว โม่ ข้าปรึกษากับเจ้าลัทธิลู่เรียบร ้อยแล้ว เขาช่วยน าความข้าไปบอก ต่อศิษย์พี่จวินเชี่ยน อีกเดี๋ยวศิษย์พี่จวินเชี่ยนก็จะกลับมายังใต้หล้า ไพศาล ข้าได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปที่ศาลบุ๋นแล้ว ให้เจ้าไปที่ดวง จันทร ์เฮ่าไฉ่ของใต้หล้ามืดสลัวครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะได้ราลึกความหลัง กับเจ้าอารามผู้เฒ่าดีๆ เจ้าสามารถอยู่ที่นั่นพักใหญ่ๆ ได้เลย ไม่ต้อง รีบร ้อนกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ช่วงนี้ข้าคิดว่าจะปิดด่านครั้งหนึ่ง”
เซี่ยโก่วถามหยั่งเชิง “เจ้าขุนเขา ข้าไปกับเสี่ยวโม่ได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้าเขียนบอกไปพร ้อมกันในจดหมายแล้ว แต่ จะถูกศาลบุ๋นปฏิเสธหรือไม่ก็ยังบอกไม่ได้”
เสี่ยวโม่กล่าว “เซี่ยโก่ว ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรอยู่บนภูเขา ไม่อย่างนั้นข้าก็จากไปอย่างไม่สบายใจ ตอนที่ข้าไม่อยู่ข้างกาย คุณชาย เจ้าก็ต้องช่วยปกป้ องมรรคาให้เขา”
เขากับเจ้าแห่งถ้าปี้เซียวหาดลั่วเป่ าคือสหายรักที่ต่างก็มองอีก ฝ่ ายเป็ นคนรู ้ใจของตัวเองจริงๆ บอกว่าความสัมพันธ ์แนบแน่นก็ ไม่ได้เป็ นค าคุยโวเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันก าลังจะพูดอะไรบางอย่าง เซี่ยโก่วกลับหยุดยืนนิ่ง กะทันหัน ยืดอกตั้งเลียนแบบผู้พิทักษ์ขวาบ้านตน เอ่ยเสียงจริงจังว่า “หากว่ามีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อยจะถือหัวไปพบเสี่ยวโม่!”
เสี่ยวโม่พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “อยู่ดีๆ กันแท้ๆ คุณชายต้องฝ่ าทะลุ ขอบเขตได้อย่างราบรื่นแน่นอน เจ้าแค่ต้องแทะเมล็ดแตงเป็ นเพื่อน หมี่ลี่น้อยเท่านั้น”
เซี่ยโก่วกาลังจะอ้าปากพูด
เฉินผิงอันกลับเอ่ยก่อนว่า “แม่นางเซี่ย ได้ยินถ้อยคาอบอุ่นหัวใจ ที่ไม่ใช่คาบอกรักแต่เหนือยิ่งกว่าคาบอกรักเช่นนี้ ไม่ควรจะเค้นน้าตา ออกมาสักหน่อยหรือ?”
พวกเจ้าสองคนพลอดรักกันมาตลอดทาง คิดว่าข้าที่เป็ นเจ้า ขุนเขาไม่มีตัวตนสินะ ถึงได้ไม่ท าให้พวกเจ้ารู ้สึกขัดเขินกันบ้างเลย
เซี่ยโก่วร ้องเฮ้อหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็ น อย่างดี “ดูท่าเจ้าขุนเขาคงคิดถึงฮูหยินเจ้าขุนเขาแล้วล่ะ”
ในดวงตาของเสี่ยวโม่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พยักหน้า เอ่ยคล้อย ตามเซี่ยโก่วอย่างที่หาได้ยาก “เป็ นเรื่องปกติทั่วไปของคนเรา ไม่มี อะไรให้ต้องล าบากใจ”
“หุบปากกันไปเลย”
เฉินผิงอันที่เดินอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาคล้ายจะอับอายจน พานเป็ นโกรธ ยื่นมือมารั้งคอเสี่ยวโม่ ส่วนอีกมือก็กดหมวกขนเตียว ของเซี่ยโก่ว
ภาพเหตุการณ์นี้ทาเอาเฟิงอี๋ที่อยู่ใต้ซุ้มองุ่นของศาลเทพอัคคี รู ้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่
บนเส้นทางสายนั้น ใบหน้าของเสี่ยวโม่ประดับยิ้มน้อยๆ เซี่ยโก่ว เม้มปากตีหน้าเคร่งเฉินผิงอันไม่มีกลิ่นอายของคนแก่แม้แต่น้อย เขา เหมือนเด็กหนุ่มอย่างมาก
เฟิงอี๋ที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินปิดหน้าหนังสือลง นางรู ้สึกอิจฉาพวก เขาเล็กน้อย
ไม่ว่าใครที่ได้เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ก่อน อีกสองคนที่เหลือ ไม่ ว่าจะอยู่ที่ใด ในใต้หล้าแห่งใด หากมีด่านยากที่ต้องข้ามผ่าน แสง กระบี่ก็จะต้องไปถึงก่อนแน่นอน ครู่หนึ่งต่อมาผู้ฝึ กกระบี่ก็จะตาม มาถึงติดๆ
เฉินผิงอันไม่ได้ให้เว่ยซานจวินช่วยเหลือ แต่เลือกจะนั่งเรือข้าม ฟากลาหนึ่งกลับภูเขาหนิวเจี่ยว เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เว่ยเสินจวินก็ ต้องยุ่งอยู่กับการเตรียมจัดงานเลี้ยงท่องราตรีแน่นอน
ตอนกลางคืน เฉินผิงอันลากเสี่ยวโม่มาดื่มเหล้าด้วยกันบน หลังคาเรือ เซี่ยโก่วซื้อกับแกล้มมาหลายอย่าง นั่งลงข้างกายเสี่ยวโม่ นางบ่นไม่หยุดบอกว่าราคาเอาเปรียบกันเกินไปหน่อย
เซี่ยโก่วดื่มเหล้าห้าวหาญที่สุด ความสามารถในการยุให้คนอื่น ดื่มกลับไม่ได้เรื่องเพียงไม่นานนางก็หงายหลังตึงลงไป บอกว่าดื่มอีก ไม่ได้แล้ว หากดื่มอีกต้อง…นางหัวเราะฮ่าๆ แล้วมองไปทางเสี่ยวโม่
แสงจันทร ์สุกสกาว เป็ นอีกคืนที่จันทร ์เต็มดวง แสงจันทร ์สาด ส่องยาวมายังคนที่จากไป
เมฆคล้อยผ่านบดบังดวงจันทร ์ แสงพลันหรุบหรู่ขมุกขมัว
เสี่ยวโม่คีบถั่วลิสงขึ้นมาเม็ดหนึ่ง เคี้ยวอย่างละเอียด ใช ้เสียงใน ใจถามว่า “ช่วงนี้คุณชายมักจะลืมอะไรบางอย่าง พอพูดคุยกับคนอื่น ถึงจะนึกขึ้นมาได้ ก็เพราะเตรียมตัวจะปิดด่านหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “ความคิดก่อเกิดความคิด ธรรมชาติตลอดทางถือก าเนิดดุจร ้อยบุปผาเบ่งบาน ยากมาก แต่ หากจะไม่ให้เกิดความคิดเลยก็ยากมากเหมือนกัน เจ้าลองถามข้าสัก คาถาม ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่พบเจอมาในเมืองหลวงต้าหลีของพวก เรา”
เสี่ยวโม่ยิ้มถาม “เวลานี้คุณชายยังจาประโยคที่จะได้รับมอบได้ ไหม?”
เหมือนตกปลาในทะเลสาบหัวใจ ตะขอตกปลาและเหยื่อตกปลาก็คือ “ถ้อยคาที่มอบให้ รวบแหยกปลาขึ้นมา เฉินผิงอันก็จดจาความทรงจาที่ยาวเป็ นพรวนเกี่ยวกับประโยคนี้ ได้ เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ประโยคที่ศาลบุ๋นมอบให้มาจาก “บทเทียนลุ่น” ของอาจารย์ ตัวเอง
คือประโยคที่ว่าวิญญูชนให้ความสาคัญกับความมานะพยายาม ของตัวเอง โดยที่ไม่ได้หวังสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ ดังนั้นต้องพัฒนา ตัวเองในทุกวัน
แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ลืมมันไป ลืมหมดสิ้นอย่างแท้จริง เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่คิดอะไรมากอีก
เสี่ยวโม่เองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ยกจอกเหล้าขึ้น เฉินผิงอันชน จอกกับอีกฝ่ ายเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องของการดื่มเหล้า จอกเหล้าสู้ ชามเหล้าไม่ได้”
ก้อนเมฆริมขอบฟ้ าเคลื่อนตัวออก แสงจันทร ์ยิ่งสว่างไสว
ในจิตแห่งมรรคาของเฉินผิงอัน
ตัวเขาเองที่มีดวงตาทั้งคู่เป็ นสีทองกาลังอยู่บนด่านที่มีชื่อว่า “หลงลืม” กระโดดไปมาคล้ายเด็กน้อยที่กาลังเล่นกระโดดข้ามช่อง
ในอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่งของใต้หล้ามืดสลัว
เฉินฉง ที่แท้ก็คือข้า เฉินผิงอัน ท่างลุงฉาง ที่แท้ก็คือท่าน ศิษย์พี่ใหญ่