novel-lucky | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • ดูอนิเมะ anime
  • มังงะ
  • หวยออนไลน์
ค้นหานิยาย
Sign in Sign up
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
  • จันทร์
  • อังคาร
  • พุธ
  • พฤหัสบดี
  • ศุกร์
  • เสาร์
  • อาทิตย์
  • ทุกวัน
  • จบแล้ว
  • นิยาย PDF
Sign in Sign up
Prev
Next
lalikabet168
lalikabet66 คาสิโนสด boston777 แทงบอลออนไลน์ เว็บแทงบอล บาคาร่า แทงงหวย เว็บพนัน สมัครบาคาร่าออนไลน์ Empire777 huayhit168 สมัคร ufabet แทงบอล แทงหวยออนไลน์ เว็บหวยออนไลน์ สล็อตเว็บตรง kodpung88 แทงบาคาร่า PGK44 nexobet แทงหวย24 เว็บคาสิโน คาสิโนออนไลน์ บาคาร่าออนไลน์ คาสิโน คาสิโนออนไลน์

กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 956.1 รวบรวมเวทกระบี่

  1. Home
  2. กระบี่จงมา! Sword of Coming
  3. บทที่ 956.1 รวบรวมเวทกระบี่
Prev
Next

มณฑลมี่โจวที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของใต้หล้ามืดสลัว มี
ภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่อย่างเดียวดาย ยอดเขาสูงตระหง่านเด่นเหนือ
พื้นที่ราบ มีชื่อว่าภูเขารุ่นเยว่ ตรงตีนภูเขามีสายน้ำไหลเอื่อยอยู่เส้น
หนึ่ง
ลักษณะภูเขาสูงชันอันตราย ก้อนหินทับถมกันเหมือนก้อน
หยก ต้นสนที่ตั้งเรียงรายสีสันดุจมรกต แต่กลับมีปราณวิญญาณ
บางเบา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่เหมาะกับการก่อตั้ง
พื้นที่ประกอบพิธีกรรม
ตราผนึกขุนเขาสายน้ำของยอดเขารุ่นเยว่แห่งนี้ก็คือพายุหมัด
ของผู้ฝึกยุทธซินขู่
เหมือนทะเลสาบแห่งหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา ปณิธานหมัดดุจดั่ง
น้ำไหลที่ทะลักท่วมไปทั่วทั้งภูเขา แต่กลับไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิตในภูเขา
เลยแม้แต่น้อยผู้ฝึกยุทธที่หากไม่ใช่ขอบเขตปลายทาง ผู้ฝึกตนที่
ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยาน ก็ไม่ต้องเพ้อฝันว่าจะขึ้นมาบนยอดเขาแห่ง
นี้ได้เลย
โปรดอภัยที่ไม่ต้อนรับแขก
มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสิบกว่าคนที่ต่างก็มาจากมณฑลต่างๆ
ขอบเขตวิถีวรยุทธสูงต่ำไม่เท่ากัน มาหาพื้นที่สร้างกระท่อมฝึกตน
อยู่ริมสายน้ำนิ่งตรงตีนเขา มองเรื่องของการเดินขึ้นเขาเป็นวิธีใน
การฝึกหมัดที่ดีที่สุด
ซินขู่ที่เป็นเจ้ายอดเขารุ่นเยว่กลับไม่เคยขับไล่คน
วันนี้ยอดเขารุ่นเยว่มีแขกท่านหนึ่งมาเยือน เป็นปัญญาชนสวม
ชุดสีเขียว คิ้วกระบี่ยาวผลุบหายเข้าไปในจอนผม มีกลิ่นอายของ
ตำราแผ่อวลเต็มร่าง
พอเห็นร่างของคนผู้นี้ก็มีเงาคนผลุบโผล่ ล้วนเป็นปรมาจารย์
วิถีวรยุทธที่มีชื่อเสียงมานานแล้วที่พากันเร่งรุดเดินทางมายังที่แห่งนี้
หมายจะมาชื่นชม ‘หลินซือ’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้ามืดสลัว
ผู้นี้ผลคือพวกเขาอยู่ห่างจากบุรุษอีกหลายสิบจั้งหรือไม่ก็ร้อยกว่า
จั้ง ก็ไม่อาจขยับเท้าเดินขึ้นหน้าไปได้อีกแม้แต่ครึ่งก้าว ราวกับ
ถูกร่ายยันต์กักตัว ต่อให้พวกเขาจะออกแรงแค่ไหน หรือแม้กระทั่ง
ออกหมัด พยายามจะใช้สองหมัดเปิดทาง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจ
เคลื่อนหน้าไปได้อีกแม้แต่น้อย
ตามมาติดๆ ก็คือคนจำ นวนไม่น้อยที่เรี่ยวแรงมิอาจ
ประคับประคองตัวไว้ได้อีก เรือนกายเริ่มไถลกรูดออกไป คล้ายกับ
กลายมาเป็นเรือทวนกระแสน้ำบนเส้นทางวิถีวรยุทธในใต้หล้าที่
มิอาจบุกรุดหน้าได้ ซ้ำ ร้ายยังถอยร่นกลับมา เพื่อหยุดยั้งการถอยร่น
ของตัวเอง ผู้ฝึกยุทธกระทืบเท้าเต็มแรงเสียงดังเหมือนสายฟ้า
กัมปนาท น่าเสียดายที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะยังไร้ผลอยู่
เหมือนเดิม สองเท้าเหมือนคันไถที่ครูดจนบนพื้นเกิดร่องลึกสองเส้น
คนหนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าผมขาวที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา เขา
ตะเบ็งเสียงบอกกล่าวนามของตัวเอง หวังเพียงว่าจะสามารถพูดคุย
กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีอายุขัยยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของใต้
หล้ามืดสลัวผู้นี้สักสองสามประโยคผู้ฝึกยุทธหลินเจียงเซียน
หนึ่งในสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว
อันดับที่หก ลำดับรายชื่ออยู่ด้านหลังซุนไหวจงแห่งอาราม
เสวียนตูที่เป็นอับดับห้าซึ่งต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน
แต่ขอแค่เจ้าอารามผู้เฒ่าออกไปอยู่ข้างนอก ทุกครั้งที่พูดคุย
กับคนในยุทธภพเรื่องของหลินเจียงเซียน เจอใครก็มักจะพูดว่า
ละอายนัก ละอายนัก ผินเต้าละอายใจที่อยู่ด้านหลังอันดับสี่ อับอาย
ที่อยู่เบื้องหน้าหลินซือ
หลินเจียงเซียนไม่สนใจผู้ฝึกยุทธของแต่ละมณฑลที่ล้วนถือว่า
อยู่ในสามขั้นของหลอมเทพ เอาแต่เดินขึ้นเขาของตัวเองไป ไม่ได้
ใช้วิธีการเดินทางไกลของผู้ฝึกยุทธ เพียงแค่เดินไปบนยอดเขารุ่นเยว่
เหมือนกำลังเดินเล่นเท่านั้น
ในภูเขาไม่มีขั้นบันได ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ทางที่ปูด้วยก้อนหินก็ยัง
ไม่มี มีเพียงทางดินโคลนคดเคี้ยวเต็มไปด้วยพืชหญ้ารกชัฏเส้นหนึ่ง
ที่ทอดยาวไปสู่ยอดเขาเท่านั้นยอดเขารุ่นเยว่มีคนมาสร้างกระท่อมพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง
คือชายหนุ่มเรือนกายผอมบาง สองข้างแก้มเต็มไปด้วยหนวดเครา
รกรุงรังเพราะไม่ได้ตัดเล็ม สายตาขุ่นมัว
คนหนุ่มกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินยักษ์แถบหนึ่ง ใช้ฝ่ามือ
ลูบคลำขลุ่ยไม้ไผ่เลาเก่า ข้างเท้าวางกาเหล้าไว้ใบหนึ่ง ยังมีเมล็ด
ต้นสนกองหนึ่งที่คล้ายนำมาใช้ต่างกับแกล้ม รวมไปถึงเผือกเผาและ
แผ่นฝูหลิง (เห็ดที่เกิดตามกิ่งของต้นสนลักษณะคล้ายกับมันเทศ)
พอเห็นหลินเจียงเซียน ซินขู่ก็ไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไร เพียงแค่
ผงกศีรษะทักทายเท่านั้น
ส่วนหลินเจียงเซียนกลับกุมหมัดคารวะ ไม่ได้บอกกล่าว
จุดประสงค์ที่มาเยือน เพียงแต่มาหยุดอยู่ด้านข้างก้อนหินยักษ์ เอา
สองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปยังสายน้ำนิ่งที่อยู่นอกภูเขาเส้น
นั้น
เล่าลือกันว่าในสายน้ำแห่งนี้เคยมีเซียนเหรินยุคโบราณนำแก่น
น้ำมาใช้หลอมโซ่เหล็ก จากนั้นก็ทยอยกักขังวานรเขียวตัวหนึ่งและ
งูขาวตัวหนึ่งที่อีกนิดเดียวก็เกือบจะกลายร่างเป็นหุ่ย (งูพิษชนิดหนึ่ง
ในสมัยโบราณ) หลังจากนั้นสัตว์เดรัจฉานสองตัวที่ถูกกักขังอยู่ใต้น้ำก็กลายมาเป็นเหมือนผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของยอดเขารุ่นเยว่
เพียงแต่ว่าเรื่องเล่าประหลาดประเภทนี้ไม่เคยถูกผู้ฝึกตนพิสูจน์ได้
ว่าเป็นจริงหรือเท็จ เรื่องของวานรเขียวและงูขาวจึงแค่ถูกกระพือ
ข่าวลือออกไปเป็นวงกว้างเท่านั้น
ลมภูเขาพัดแรงเยียบเย็น ‘หลินซือ’ ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของ
ปัญญาชนชุดเขียว ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด ไม่รู้ว่าเหตุใด เขา
ถึงได้ให้ความรู้สึกหลุดพ้นเหนือโลกีย์ยิ่งกว่าซินขู่แห่งยอดเขารุ่นเยว่
ที่ไม่เคยเดินลงจากภูเขาเสียอีก
ในภูเขาไร้พืชหญ้ารกชัฏ สิ่งที่พบเห็นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า ที่นี่
เต็มเปี่ยมไปด้วยความงามแห่งหมอกเมฆในแสงสายัณห์
ซินขู่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เอาชนะเจ้าไม่ได้ ไม่ต้อง
ถามหมัดแล้ว ข้ายอมแพ้ก็แล้วกัน”
ยอมแพ้อย่างขี้ขลาดเช่นนี้ไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเลย
แม้แต่น้อย แต่ดันเป็นบุคคลอันดับสองแห่งใต้หล้า
ก่อนหน้านี้ไม่นานยังใช้หนึ่งหมัดต่อยป๋ายโอ่วที่เดินมา
ถึงกึ่งกลางภูเขาให้ร่วงกลับไปที่ตีนเขา เรือนกายหล่นกระแทกลงในน้ำนิ่ง
หลินเจียงเซียนยิ้มกล่าว “ไม่ได้มาเพื่อประลองฝีมือ แต่มาเพื่อ
ชมทัศนียภาพของที่แห่งนี้ แล้วก็มาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่สองฝ่ายได้พบหน้ากัน
บนยอดเขาแห่งนี้นอกจากกระท่อมไม่กี่หลังที่ซินขู่สร้างขึ้น
อย่างเรียบง่ายแล้วก็คือก้อนหินระเกะระกะ มีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก
ลักษณะประหลาดแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่างไปไม่ไกล
จุดที่ติดกับหน้าผายังมีก้อนหินอยู่แถบหนึ่งที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษ
ขนาดใหญ่จั้งกว่า รูปร่างมั่นคง ด้านล่างกลมด้านบนเรียบ เหมือน
ลอยอยู่เหนือก้อนหินก้อนอื่น บนหน้าผามีตัวอักษรขนาดใหญ่
แกะสลักทาสีน้ำมันสีแดงเป็นคำว่าพื้นที่ประกอบพิธีกรรมอายุยืน
ไม่มีการลงชื่อ หลินเจียงเซียนมองอยู่หลายที หากไม่ผิดไปจากที่
คาด นี่ก็น่าจะเป็น ‘หินรองฝ่าเท้า’ ที่ ‘เป็นจุดพักเท้าของมรรคาจารย์
เต๋า’ อย่างที่ผู้คนเรียกขานกันเป็นการส่วนตัวแล้ว
แต่เรื่องที่มรรคาจารย์เต๋าเคยแวะมาพักเท้าที่นี่ ไม่ได้
แพร่หลายไปในใต้หล้ามืดสลัวเป็นวงกว้างนัก มีแค่ในสำ นักใหญ่ที่คาดคะเนกันเป็นการส่วนตัวเท่านั้น
ก่อนที่มรรคาจารย์เต๋าจะมาถึงยอดเขารุ่นเยว่ สิ่งเดียวที่
ยอดเขารุ่นเยว่พอจะเอาออกมาเป็นหน้าเป็นตาได้ก็คือต้นสน
โบราณในภูเขา รวมไปถึงปราณวิญญาณพิเศษของหินลอยตัวบน
ยอดเขาแถบนี้ที่วนเวียนไม่จางหาย เป็นเหตุให้มีคำเล่าลือบอกว่า
เทพเซียนผู้ชอบปลีกตัวสันโดษมักมาพักผ่อนหย่อนใจ ณ ที่แห่งนี้
ดังนั้นการที่ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีผู้ฝึกลมปราณมาบุกเบิกลาน
ประกอบพิธีกรรมอยู่ที่นี่ก็เพราะสภาพการณ์ที่แปลกประหลาดนี้
เพียงแต่ว่ามันก็เป็นแค่ชั้นวางดอกไม้ชั้นหนึ่งเท่านั้น ภูเขาที่
ไม่มีปราณวิญญาณของฟ้าดิน สำ หรับผู้ฝึกลมปราณแล้วก็คือ
สถานที่ที่แห้งแล้งกันดาร เป็นน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด
หลินเจียงเซียนยืนอยู่บนยอดเขา ความคิดล่องลอยไปไกล
ไม่สนใจเลยสักนิดว่าตอนนี้ข้างกายมีผู้ฝึกยุทธขอบเขต
ปลายทางชั้นเทพมาเยือนคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
จากรายงานของขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่ง เจาเกอแห่งภูเขา
เหลี่ยงจิงกับสวีเจวี้ยนแห่งสำ นักต้าเฉา คู่รักที่อายุแตกต่าง ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าคู่นี้เพิ่งจะมาเยือนยอดเขารุ่นเยว่ เพียงแต่
พวกเขาไม่ได้อยู่บนยอดเขานานนัก ครู่เดียวก็หวนกลับไปที่ภูเขา
เหลี่ยงจิงแล้ว ราวกับว่าจะต้องปิดด่านแล้ว ผู้ปกป้องมรรคาคือ
คนนอกอย่างเหยาเซียงเสนาบดีรูปงามของราชวงศ์ชิงเสิน นี่
แสดงให้เห็นว่าเจาเกอมุ่งมาดต่อการปิดด่านในครั้งนี้มาก
หลินเจียงเซียนรู้ว่านักพรตหญิงขอบเขตบินทะยานที่มีฉายาว่า
ฟู่คานผู้นี้เคยมีชาติกำเนิดมาจาก ‘เฉาเทียนหนวี่’ (หมายถึง
พระสนมของฮ่องเต้ที่ต้องถูกฝังไปพร้อมกับฮ่องเต้ด้วย) ส่วน
ชาติก่อนนางเป็นเช่นไร กลับพอจะมีเบาะแสที่พอจะจับลมปั้นเงาได้
บ้าง เนื่องจากยาซานก่อตั้งองค์กรลับอย่างหนึ่งมีชื่อว่ากองป้าย
กวาน รับผิดชอบรวบรวมเรื่องเล่าลือตามตรอกซอกซอยและเกร็ด
ประวัติของราชวงศ์ต่างๆ โดยเฉพาะ ทำให้ผู้ฝึกยุทธของยาซาน
มีสายลับอยู่ทั่วใต้หล้า
ซินขู่เก็บขลุ่ยไผ่เลานั้นลงไป หยิบเมล็ดต้นสนสองสามเมล็ด
มาจากข้างเท้า โยนใส่ปาก เคี้ยวละเอียดแล้วกลืนลงไปช้าๆหลินเจียงเซียนหยิบแท่นอัดก้อนหมึกที่ทำมาจากไม้ชิ้นหนึ่ง
ออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนให้ซินขู่เบาๆ “ของกลับคืนสู่เจ้าของ
ถือโอกาสนี้เอ่ยขออภัยเจ้าแทนลูกศิษย์ของลูกศิษย์ข้าผู้นั้นด้วย”
ที่แท้ลูกศิษย์คนเล็กของหลินเจียงเซียน ก่อนหน้านี้ได้ถูกคน
คลั่งวรยุทธอายุน้อยคนหนึ่งตามตอแยไม่เลิกรา ยืนกรานจะขอ
กราบอาจารย์ให้ได้ คุณสมบัตินั้นดี เพียงแต่ว่านิสัยมุทะลุเกินไป
หน่อย ฝึกวิชาจนเกิดข้อผิดพลาดกับตัวเอง จึงไม่ยินดีจะรับลูกศิษย์
เพื่อให้ผีขี้ตอแยตนนั้นยอมถอยห่าง จึงโยนปัญหายากข้อหนึ่งไปให้
บอกว่าให้มาที่ยอดเขารุ่นเยว่แห่งนี้ จะขโมยก็ดี จะขอร้องก็ช่าง
จะต้องเอาก้อนหมึกใหม่เอี่ยมก้อนหนึ่งมาให้ได้ เพื่อนำมาเป็น
ของขวัญกราบอาจารย์ หากทำสำ เร็จ ลูกศิษย์ของหลินเจียงเซียนก็
จะยินดีดื่มชากราบอาจารย์ รับอีกฝ่ายเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ
ผลคือคนหนุ่มสร้างเรื่องน่าตะลึงระคนยินดีที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ให้
เขาไม่สามารถเอาก้อนหมึกกลับมาได้ แต่กลับนำแท่นอัดก้อนหมึกที่
ทำจากไม้ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธ
ของซินขู่มากกว่าชิ้นนี้ลงมาจากภูเขามาจากคำกล่าวของลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลินเจียง
เซียนคนนี้ ระหว่างที่เดินขึ้นเขา เขาต้องสิ้นเปลืองปราณที่แท้จริง
และความคิดจิตใจไปไม่น้อย ถึงกับเป็นลมหมดสติไป ผลคือถูกซินขู่
ช่วยไว้ อนุญาตให้เขามารักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่กึ่งกลางภูเขา
ไปๆ มาๆ จึงสนิทคุ้นเคยกัน ก็เลยมอบแท่นอัดก้อนหมึกชิ้นนั้นให้กับ
เขาเพื่อมอบให้เป็นของขวัญก่อนจากลา
ซินขู่ส่ายหน้า แท่นอัดก้อนหมึกชิ้นนั้นจึงลอยอยู่กลางอากาศ
ระหว่างคนทั้งสอง เขาเอ่ยว่า “ให้เขาเก็บไว้เป็นที่ระลึกเถอะ ตอนนั้น
หากข้าไม่มอบให้ เขาก็ขโมยไปไม่ได้”
หลินเจียงเซียนกลั้นขำ ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้าสำ นักผู้
นี้ ที่แท้ก็คือโจรน้อยที่หยิบฉวยของคนอื่นมาโดยไม่บอกกล่าว
ถือเป็นวัตถุดิบที่สร้างได้
ก่อนหน้าที่ตอนที่อยู่ยาซาน คนหนุ่มพูดจาคล่องแคล่ว
น่าสนใจแต่ไร้แก่นสาร บอกว่าซินขู่เห็นว่าเขาคือผู้มีพรสวรรค์ด้าน
การฝึกวรยุทธที่พันปีก็ยากจะพานพบ ทั้งยังเห็นว่าเขา
มีความเด็ดเดี่ยว ไม่รักตัวกลัวตาย ยอมสละชีวิตไม่ต้องการ แต่ก็ต้องขึ้นมาบนยอดสูงสุดของยอดเขารุ่นเยว่ให้จงได้ ปรมาจารย์ใหญ่
ซินถึงได้เกิดใจถนอมคนมีความสามารถ ยังถามเขาด้วยว่ายินดี
จะอยู่บนยอดเขารุ่นเยว่หรือไม่ มาเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา
เพียงแต่เขาไม่ต้องการจะเปลี่ยนเจตจำ นงเดิม เลือกคนที่จะมาเป็น
อาจารย์เอาไว้แล้ว แล้วจะทำตัวเป็นคนใจโลเลได้อย่างไร
จึงตัดสินใจลงจากภูเขา ซินขู่มาส่งเขาที่ตีนเขาของยอดเขารุ่นเยว่
ด้วยตัวเอง ทั้งสองฝ่ายจากลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ กลายมาเป็น
สหายรักต่างวัยกัน…
นอกจากซินขู่จะฝึกวรยุทธอย่างยากลำบากบนยอดเขารุ่นเยว่
แล้ว งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวที่เขาสนใจก็คือหาวัสดุในพื้นที่ ตัด
กิ่งต้นสนเอามาทำเป็นหมึกสนรมควัน นับตั้งแต่การหล่อหลอม
แกะสลัก ผสมกาว ขึ้นรูปเป็นก้อนหมึก จากนั้นเอาไปตากแดด ขัด
กลึงและลงทอง ล้วนเป็นซินขู่ที่ลงมือทำด้วยตัวเอง หมึกสนรมควันที่
ซินขู่หลอมขึ้นกับมือตัวเองนี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือมากในใต้หล้ามืดสลัว
เหมาะจะนำไปคัดคัมภีร์ที่ต้องใช้ตัวอักษรขนาดเล็กแบบบรรจง และนำไปเขียนคิ้วของบุคคลหรือวาดขนนกในภาพวาดมากที่สุด เนื้อ
ก้อนหยกเนียนละเอียดฝนได้ง่าย ไม่ทำลายแท่นฝนหมึก
เล่าลือกันว่าซูจื่อแห่งใต้หล้าไพศาลเคยมาเที่ยวเยือนที่แห่งนี้
แล้วก็ไม่ได้มาเสียเที่ยว ได้หมึกสีที่ซินขู่มอบให้ไปชุดหนึ่ง จึง
มีคำกล่าวที่ว่า ‘ฝนหมึกอย่างยากลำบาก (ซินข
ู่โม่เฉิง) จึงไม่กล้าใช้’
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่ซูจื่อหวนกลับมายังบ้านเกิดก็ได้แยก
ก้อนหมึกชุดนี้ออก นำไปแบ่งให้กับลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจหลายคนที่ได้
กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน นี่แสดงให้เห็น
ถึงระดับความทะนุถนอมเห็นค่าที่ซูจื่อมีต่อก้อนหมึกชุดนี้
ก่อนที่หลินเจียงเซียนจะมาเยี่ยมเยือนยอดเขารุ่นเยว่เคยให้
ลูกศิษย์ไปตามหาก้อนหมึกที่แกะสลักคำว่า ‘สามหมื่นกระทุ้ง’ และ
‘สิบหมื่นกระทุ้ง’ ก่อนหน้านี้ไม่นานยังได้แท่นอัดก้อนหมึกที่ทำ
มาจากไม้ชิ้นหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าหลินเจียงเซียนชอบแสร้งทำตัว
ให้มีรสนิยม แต่สามารถอาศัยระดับความแน่นและหนาข้นของก้อน
หมึกไม่กี่ก้อนนั้น รวมไปถึงฝีมือในการทำก้อนหมึกมาพิสูจน์ให้เห็น
ถึงระดับความลึกตื้นและความชำ นาญของวิชาหมัดซินขู่ได้คร่าวๆแล้ว ไม่ใช่เพราะหลินเจียงเซียนมองซินขู่เป็นภัยคุกคามที่จะ
มาช่วงชิงอันดับหนึ่งในใต้หล้าของตัวเอง เพียงแค่สงสัยใคร่รู้ ผู้ฝึก
ยุทธหนุ่มคนหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาฝึกหมัดอย่างเดียว ไม่เคย
ประลองฝีมือกับคนอื่น ยิ่งไม่มีคนช่วยสอนหมัดป้อนหมัดให้ ถึงขั้น
ที่ว่าแม้แต่ตำราหมัดที่เข้าท่าสักเล่มก็ยังไม่มี ทำไมถึงได้อาศัยการ
ใคร่ครวญอย่างส่งเดชของตัวเองจนเดินไปบนจุดสูงสุดของวิถีวร
ยุทธได้ ประเด็นสำ คัญคือฝีเท้าในการก้าวเดินขึ้นเขาของซินขู่ยังเร็ว
ถึงเพียงนี้
เห็นว่าซินขู่มีท่าทีเกรงใจกันเช่นนี้ หลินเจียงเซียนก็เก็บแท่นอัด
ก้อนหมึกชิ้นนั้นกลับใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เพื่อเป็นการมอบผลท้อ
ตอบแทนผลหลี จึงยิ้มอธิบายว่า “ทางฝั่งของช่องจวี้เชวีย บางทีอาจ
ยังมีช่องว่างที่ให้ตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ได้ เส้นทางสายที่ห่าง
จากอวี้ถังและอิงชวง (ชื่อจุดสำ หรับฝังเข็มอยู่บริเวณหน้าอก บน
แนวกึ่งกลางลำตัวด้านหน้า ระดับช่องซี่โครงที่สาม) มาสี่ชุ่
น คือทิศ
ทางการดำเนินไปของลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ เมื่ออยู่บนร่างของ
เจ้า อันที่จริงกลับต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ควรเลือกแบบเข้มข้นไม่ใช่เลือกแบบเบาใส นอกจากนี้ก็มีเส้นทางเส้นหยางสามเส้นของมือที่
ควรจะขัดเกลาให้ดีอีกสักหน่อย ลงมีดก็ดี ส่งหมัดก็ช่าง ไม่แน่ว่า
อาจเพิ่มความเร็วได้อีกหลายส่วน”
ซินขู่ใคร่ครวญอย่างจริงจังครู่หนึ่งก็พยักหน้าเอ่ย “หลินซือ
ปราดเปรื่อง”
หลินเจียงเซียนยิ้มถาม “ในเมื่อมีการกระทุ้งสามหมื่นและ
กระทุ้งสิบหมื่น ในอนาคตก้อนหมึกก้อนใหม่ที่ทำขึ้นมา ต้องกระทุ้ง
ร้อยหมื่นหรือไม่?”
ซินขู่พยักหน้า “ตั้งใจว่าจะทำเช่นนี้ ส่วนจะเริ่มลงมือเมื่อไหร่
ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดเวลา ต้องดูที่สภาพอากาศด้วย”
หลินเจียงเซียนหัวเราะ
ซินขู่แห่งยอดเขารุ่นเยว่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ชอบทำหมึก ราชครู
หญิงของราชวงศ์ชิงเสินป๋ายโอ่วก็ชอบเก็บรวบรวมแบบคัดตัวอักษร
ส่วนทางฝั่งของใต้หล้าไพศาลนั้น อิ่นกวานคนสุดท้ายของ
กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ดูเหมือนว่าจะชอบแกะสลักตราประทับผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ในยุคนี้ต่างก็มีงานอดิเรกที่สง่างาม
มีท่วงทำนองแปลกใหม่มากเลยนะ
ซินขู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ขอถามสักประโยคได้หรือไม่
หมัดที่หลินซือปล่อยไปในนครฟางหูปีนั้น?”
สายตาของหลินเจียงเซียนมองตรงไปข้างหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า
“รอให้วันใดได้ถามหมัดกับข้าแล้วก็จะเข้าใจอย่างชัดเจนเอง”
ซินขู่เองก็ไม่ถามมากอีก
ข้อต้องห้ามบางอย่างในยุทธภพ ซินขู่ยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง
การสอบถามเรื่องวิชาหมัดที่เป็นสมบัติก้นกรุของปรมาจารย์วิถีวร
ยุทธคนหนึ่งก็เท่ากับสอบถามเรื่องของวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต
ของกระบี่บินผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งแล้ว
คนผู้หนึ่งอยู่บนยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธ หยัดยืนอยู่ในอันดับ
หนึ่งมาเกือบสามร้อยปี
สิบคนที่ฝึกวรยุทธซึ่งจะได้รับการประเมินทุกๆ หกสิบปีของใต้
หล้ามืดสลัว การประเมินก่อนหลังหกครั้ง พวกปรมาจารย์สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าหลินเจียงเซียนกลับเป็นอันดับ
หนึ่งในใต้หล้าอย่างที่ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น
หลินเจียงเซียนอายุสามร้อยหกสิบกว่าปีแล้ว
สำ หรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งแล้ว นี่คืออายุมากอย่างแท้จริง
ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อันน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
ปรมาจารย์วิถีวรยุทธทั่วไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขต
ปลายทาง คิดอยากจะมีชีวิตได้สองร้อยปีก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
พูดถึงแค่เรื่องของอายุขัย เมื่อเทียบกับพวกเซียนดินของผู้ฝึก
ลมปราณที่สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้ยาวนานหลายร้อยปีอย่าง
ง่ายดาย นี่ก็เรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ก่อนหน้าเผยเปย บุคคลอันดับหนึ่งด้านวรยุทธของใต้หล้า
ไพศาลคือจางเถียวเสียที่มีฉายาว่าหลงป๋อคนนั้น การที่เขาสามารถ
มีชีวิตอยู่มาได้นานขนาดนี้ สาเหตุยังเป็นเพราะเขาหันไปฝึกตนแทน
ทว่าหลินเจียงเซียนที่อาศัยตัวตนของผู้ฝึกยุทธกลับสามารถ
ถูกผู้ฝึกตนบนยอดเขาเรียกขานด้วยความเคารพนอบน้อมว่า ‘หลิน
ซือ’ กลับเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งเท่านั้นดังนั้นจึงมีข่าวลือเล็กๆ แพร่มาตลอดว่า อันที่จริงหลินเจียง
เซียนได้แอบเลื่อนเป็นขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธที่เป็นมายา
เลื่อนลอยอย่างลับๆ มานานแล้ว
——