กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1067.2 ยุทธภพเงียบเหงาหนึ่งร ้อยปี
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ผลคือมีคาว่าแต่ว่า แต่ว่าถูกคนนอกพิศ มรรคาไปรอบหนึ่ง ข้าใช ้ตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้า เรื่องอย่างการให้ข้าไป เสี่ยงดวงนี้ ช่าง…ยากเกินกว่าจะอธิบายได้หมดในค าเดียวจริงๆ”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะฮ่าๆ “ยังเป็ นเหมือนเดิมจริงเสียด้วย”
กู้ช่านยกเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะเตะน่องเล็กหลิวเสี้ยนหยางไปหนึ่งที หลิวเสี้ยนหยางเจ็บจึงถลึงตาใส่ “ระวังหน่อย อย่าเตะโดนเป้ ากางเกง ของนายท่านใหญ่เข้าล่ะ อีกเดี๋ยวข้าจะต้องจัดงานเลี้ยงเข้าหอแล้ว ไม่อาจให้พี่สะใภ้ของพวกเจ้าเป็ นหม้ายได้นะ”
กู้ช่านเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็พูดเหน็บแนมให้น้อยหน่อย”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างเดือดดาล “จะเป็ นคาพูดเหน็บแนมได้ อย่างไร พวกเราสามคน มีใครบ้างที่มีชาติกาเนิดดีคาบซ ้อนเงินช ้อน ทองมาเกิด หากพี่ชายถือกาเนิดจากถนนฝูลู่หรือตรอกเถาเย่ พูดจา ไม่น่าฟัง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่ายืนพูดไม่ปวดเอว ตอนที่ข้ารู ้จักกับ พวกเจ้า เคล็ดสุดยอดวิชา ฝี มือการเอาตัวรอดสารพัดอย่าง มี อะไรบ้างที่นายท่านใหญ่อย่างข้าไม่หัวไวเข้าใจได้เร็ว ลูกหลานคน ยากจนดูแลครอบครัวเร็ว นี่คือความสามารถเฉพาะตัวที่แค่มองจาก คนอื่นก็ทาได้แล้ว”
เฉินผิงอันได้แต่ช่วยพูดไกล่เกลี่ย ชินไปแล้วก็ดีเอง
กู้ช่านครุ่นคิด ก่อนจะยกชามเหล้าขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ชนกัน หน่อย”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือมากดชามเหล้า เขาไม่เต็มใจแล้ว “ชน อะไรกัน เมื่อครู่เจ้าลังเลไม่จริงใจแบบนี้ ข้าเสียใจมากนะ”
กู้ช่านจึงก่นด่าแทน ล้วนเป็ นเคล็ดวิชาของ “ศาลบรรพจารย์” ที่ มองไม่เห็นจากเมืองเล็กบ้านเกิด คาด่าล้วนไม่ซ้าเดิม บรรพบุรุษสิบ แปดรุ่น ใครก็อย่าหวังว่าจะหนีได้
เฉินผิงอันเองก็ไม่ห้าม ยิ้มมองเรื่องสนุก หลิวเสี้ยนหยางคิด อยากจะโต้คืน ไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของกู้ช่าน เพราะถึงอย่างไรใน อดีตคนรุ่นเยาว์และเด็กบ้านใกล้เรือนเคียงของเมืองเล็ก ทุกคนต่างก็ ให้การยอมรับว่าเจ้าขี้มูกยึดของบ้านหญิงหม้ายตรอกหนีผิงมี “พรสวรรค์ดีที่สุด ทะเลาะกับคนอื่นดุเดือดที่สุด อายุน้อยที่สุด ทว่าคา ด่ากลับมีแต่ค าแปลกใหม่ เป็ นเหตุให้แม้กระทั่งยายหม่าของตรอก ซิ่งฮวาก็ยังเคยเสียเปรียบเขามาก่อน ที่หน้าประตูบ้านของนางมักจะ มีอีกองหนึ่งตั้งแต่เช ้าตรู่ ประตูบ้านและนอกก าแพงเรือนของบ้านนาง ล้วนมีแต่น้ามูกสีเหลืองชวนขยะแขยง หญิงชราเองก็นึกอยากจะจับ ตัวเจ้าลูกกระต่ายน้อยตรอกหนีผิงที่สมควรโดนแทงพันครั้งผู้นั้นมา ลงโทษ แต่ทุกครั้งเมื่อนางจงใจปิดไฟรอเฝ้ าตอนกลางคืนกลับมิอาจ อดทนได้นานกว่าเจ้าตะพาบน้อยที่ฉลาดเฉลียวผู้นั้น มาถึงภายหลัง หญิงชราก็สู้เจ้าขี้มูกยึดน้อยที่เชี่ยวชาญการวางแผนก่อนแล้วค่อย ลงมือไม่ไหวจริงๆ มีครั้งหนึ่งตอนที่ไปตักน้าที่บ่อโซ่เหล็ก นางถึงได้
ฝื นนิสัยพูดจาดีๆ กับนังจิ้งจอกหญิงหม้ายผู้นั้นอย่างที่หาได้ยาก หญิงหม้ายกลับมาที่ตรอกหนีผิงด้วยความอารมณ์ดี ราวกับได้ฉลอง ปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น นางเล่าเรื่องนี้ให้ลูกชายฟัง เจ้าขี้มูกยึดน้อยที่ อยู่ในบ้านแค่ฟังไปเงียบๆ หลังจากนั้นมาตรอกซิ่งฮวาถึงได้ไม่ สกปรกโสมมถึงเพียงนั้นอีกแล้ว หญิงชราจนใจกับเรื่องนี้แต่ก็ท า อะไรไม่ได้ นางไม่กล้าปากมากอีกแล้ว ได้แต่กล้าด่าเป็ นการส่วนตัว ว่าในบ้านหญิงหม้ายมีมารผจญมาเกิด ช่างเป็ นเวรเป็ นกรรมแต่ชาติ ปางก่อนจริงๆ คอยดูเถอะ ไม่ช ้าก็เร็วต่อให้คนไม่จัดการ สวรรค์ก็ ต้องจัดการแทน…
การด่ากันครั้งนี้ผลแพ้ชนะไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ผลคือถึง ท้ายที่สุดหลิวเสี้ยนหยางก็ได้แต่ดื่มเหล้าไปด้วยสีหน้าอัดอั้น ไม่ดื่มก็ โดนด่า ข้ามัวท าอะไรอยู่กันนะ
หลิวเสี้ยนหยางพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็ นอะไรของเจ้า ไม่ คิดถึงพี่น้องของตัวเองขนาดนี้เลยหรือ? พวกเราสองคนต่างก็เป็ นผู้ ฝึ กกระบี่นะ เรื่องอย่างการเสี่ยงดวงนี้ เจ้าไม่เชี่ยวชาญ แต่ข้า เชี่ยวชาญไม่ใช่หรือไร?”
กู้ช่านเกือบจะด่ากราดออกไปอีกครั้งแล้ว เพียงแต่อดกลั้นเอาไว้ สานักกระบี่หลงเฉวียนก่อกรรมท าเข็ญมามากถึงเพียงใดกันนะถึง ได้มาเจอกับเจ้าส านักคนใหม่ที่พึ่งพาไม่ได้แบบนี้
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าเคยคิดเรื่องนี้นานแล้ว แต่เจ้าคิดว่า เหมาะสมไหมล่ะ?”
ข้ายินดี เจ้าสานักหลิวอย่างเจ้าก็ยินยอม แต่ทางฝั่งของสานัก กระบี่หลงเฉวียนล่ะ? อีกฝ่ ายยินดีติดค้างน้าใจเช่นนี้กับภูเขาลั่วพั่ว ไหม?
หากไม่ทันระวัง ข้ากลัวว่าจะไม่ได้ดื่มสุรามงคลของเจ้าด้วยซ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเป็ นเพื่อนเจ้าบ่าวให้นายท่านใหญ่หลิวอย่างเจ้าเลย
หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจ “เหตุผลข้อนี้ค่อนข้างจะถูกต้อง ถ้า อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ให้ผ่านไปแล้วกัน วันหน้าค่อยว่ากันใหม่”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น “อุตส่าห์ได้มารวมตัวกันทั้งที พวก เรามาดื่มกันหน่อย”
ต่างคนต่างดื่มเหล้า หลิวเสี้ยนหยางเช็ดมุมปาก วางชามว่าง เปล่าลง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “พวกเราต่างก็ไม่ชอบฟังคนอื่นอธิบาย หลักการเหตุผล ฟังหลักการเหตุผลไปแล้ว ตัวเองก็ท าไม่ได้ เหมือน ขอยืมตะกร ้าใส่ถ่านใบหนึ่งมาจากคนอื่นในหน้าหนาว อังความ อบอุ่นขับไล่ไอหนาวได้ครู่เดียวก็ต้องมอบกลับคืนไป ทันใดนั้นก็รู ้สึก ว่าหน้าหนาวนี้หนาวกว่าเดิมอีกดังนั้นมียังสู้ไม่มีดีกว่า”
กู้ช่านเอ่ย “ยิ่งเหมือนคนที่สวมเสื้อผ้าบางๆ เดินอยู่บนถนนตอน ที่อากาศหนาวเหน็บแล้วมองเห็นว่าในมือของคนที่เดินมาบนเส้นทาง คือตะกร ้าถ่านที่สานจากไม้ไผ่อุ่นๆ ใบหนึ่งเพียงแค่เพราะว่าหลักการ เหตุผลของพวกเขาสามารถทาให้พวกเขามีชีวิตที่ดีได้”
เฉินผิงอันเคี้ยวเนื้อปลา จิบเหล้าหนึ่งอีก ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องเป็ นอาจารย์สั่งสอนผู้อื่น แค่ทาชีวิตของตัวเองให้ดีก่อน ระหว่างมีหรือไม่มีรสชาติ เก่งหรือไม่เก่ง ถึงอย่างไรก็ต้องเดินกันไป เอง ดอกถึงจะออกผล”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างตกตะลึง “นี่มันคาพูดคนเมาอะไรกัน เพิ่งจะเริ่มดื่มก็เมาแล้วหรือ”
กู้ช่านเอ่ย “ดื่มเหล้าอาศัยปาก เจ้าพูดให้น้อยหน่อยเถอะ ดื่ม เหล้าก็คือดื่มเหล้า อย่าเห็นเป็ นฉี่กาหนึ่ง”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ควบคุมเขา หน่อยหรือ? เจ้าไม่ควบคุมเจ้าขี้มูกยึดน้อยที่ปากเต็มไปด้วยอาจม ข้าก็จะควบคุมเจ้าแทนแล้วนะ!”
เฉินผิงอันยกมือขึ้นตบหัวกู้ช่าน “เถียงชนะก็คือแพ้ หลักการ เหตุผลที่ตื้นเขินแค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ”
ทั้งๆ ที่คนลงมือคือเฉินผิงอัน กู้ช่านกลับมองหลิวเสี้ยนหยาง หลิวเสี้ยนหยางเกือบจะดื่มเหล้าพร ้อมกับน้าตาแห่งความช้าใจอยู่ แล้ว เขาเอ่ยว่า “พี่น้องทั้งหลาย อย่ามัวสนใจเรื่องไม่เป็ นเรื่องอยู่เลย คนสามคนบนโต๊ะ ทุกคนต่างก็เป็ นเจ้าส านักกันแล้วนะ”
ก็จริง ใครเล่าจะคิดได้ว่าภูเขาลูกเล็กของบ้านเกิดในอดีตที่กอด กันเพื่อหาความอบอุ่นคืนนี้มาดื่มร่วมโต๊ะกัน เพียงไม่นานทุกคนก็ได้ เป็ นเจ้าส านักสามคนของใต้หล้าไพศาลแล้ว
กู้ช่านมองหลิวเสี้ยนหยางแล้วดื่มเหล้าของตัวเองไปเงียบๆ ชาม หนึ่ง ดื่มหมดแล้วก็รินให้ตัวเองเต็มอีกชาม ยังคงดื่มเงียบๆ อีกครั้ง กระทั่งกู้ช่านคิดจะดื่มเป็ นชามที่สาม หลิวเสี้ยนหยางก็เริ่มลนลาน แล้ว ดอกบัวขาวนี้ไม่ใช่เหล้าฤทธิ์แรงอะไร แต่หากกู้ช่านดื่มขนาดนี้ ก็ยังเมาได้ จึงใช ้สายตาบอกเป็ นนัยแก่เฉินผิงอัน เจ้าขี้มูกยึดน้อยก็มี แต่เจ้าที่ควบคุมได้ อย่าปล่อยให้เจ้าหมอนี่ดื่มเหล้าอย่างห้าวหาญ ขนาดนี้ เฉินผิงอันกลับส่ายหน้า บอกเป็ นนัยว่าไม่ต้องสนใจ หลิว เสี้ยนหยางมองกู้ช่านที่ดื่มเหล้าชามที่สามจนหมด แล้วจึงหันไปมอง เฉินผิงอันใช ้สายตาสอบถามว่ากู้ช่านกินยาผิดขนานหรือ? เฉินผิง อันหัวเราะ เขารู ้ต้นสายปลายเหตุดี แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
บ้านเกิดในอดีต หลิวเสี้ยนหยางและกู้ช่านต่างก็มีคนที่ตัวเอง พึ่งพาเป็ นชีวิตให้แก่กันและกัน กู้ช่านเป็ นมารดาที่เลี้ยงดูมาจนเติบ ใหญ่ ส่วนหลิวเสี้ยนหยางเองนับตั้งแต่จาความได้ ในบ้านก็มีแค่ท่าน ปู่เท่านั้น
ท่านปู่ ของหลิวเสี้ยนหยางคือผีขี้เหล้าที่ขึ้นชื่อ ติดสุราเป็ นชีวิต จะต้องดื่มเหล้าต้มสองตาลึงที่ร ้านเหล้าทั้งหลายแทบทุกวัน ยืนดื่มจน หมด คุยเล่นเสร็จแล้วค่อยกลับบ้าน
ไม่แน่เสมอไปว่าจะจ่ายเงินซื้อได้ไหวทุกครั้ง จึงได้แต่ไปขอเหล้า ดื่มโดยไม่จ่ายเงิน ขอให้คนอื่นเลี้ยงเหล้า ดื่มจนเสพติดก็จะทาหน้า หนาไปขอคนอื่น ไม่ว่าไกลหรือใกล้ล้วนต้องได้ยินชื่อเสียงของเขา ด้วยเหตุนี้จึงเคยสร ้างเรื่องตลกไว้มากมาย แม้กระทั่งถนนฝูลู่และ
ตรอกเถาเย่ก็ยังได้ยินเรื่องราวของผีขี้เหล้าหลิว ดังนั้นหลิวเสี้ยนห ยางจึงไม่เคยเรียนหนังสือไม่เคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแม้แต่วันเดียว นับตั้งแต่เล็กก็เริ่มทางาน ตอนเป็ นเด็กหนุ่มก็มักจะทะเลาะต่อยตีกับ คนอื่นเป็ นประจา และทุกครั้งที่ทะเลาะกันก็เพราะคนวัยเดียวกัน หรือไม่ก็ชายฉกรรจ์ทั้งหลายเอาเรื่องท่านปู่ ของเขามาล้อ ภายหลัง ได้รู ้จักกับเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง แล้วจึงได้รู ้จักกับแมลงตามก้นที่ อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มีครั้งหนึ่งกู้ช่านถูกหลิวเสี้ยนหยางแกล้งจน โมโหจึงเริ่มร่ายวีรกรรมอันเลื่องลือของผีขี้เหล้าหลิวขึ้นมาบ้าง…..นั่น เป็ นครั้งแรกที่เฉินผิงอันโกรธเจ้าขี้มูกยึดน้อย หลังจบเรื่องกู้ช่าน น้อยใจอย่างมาก เขานั่งร ้องไห้โฮอยู่บนคันนา รอกระทั่งมือข้างหนึ่ง วางลงบนศีรษะ เจ้าขี้มูกยึดน้อยที่ร ้องไห้จนเหนื่อยแล้วถึงได้ถามเสียง สะอื้นว่า หลิวเสี้ยนหยางพูดจาไม่น่าฟังขนาดนั้น ข้าจะพูดบ้างไม่ได้ เลยหรือ? ตอนนั้นเฉินผิงอันเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า เจ้าลองคิดดูให้ ดีๆ ว่าหลิวเสี้ยนหยางเคยพูดถึงแม่ของเจ้าสักครั้งไหม?
เด็กน้อยเงียบเสียงลง เพียงแค่สูดน้ามูก เด็กหนุ่มรองเท้าสานที่ อยู่ข้างกายจึงยื่นมือมาช่วยเช็ดน้าตาและน้ามูกให้กับเด็กน้อย
สุดท้ายเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งก็แบกเด็กน้อยขึ้นหลังกลับบ้านไป ด้วยกัน เดินอยู่บนคันนา ภายใต้แสงสนธยา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ กลับยังไม่ได้เดินจากไปไกล เขาคลี่ยิ้มกว้างชูหญ้าหางสุนัขในมือขึ้น โบก บนหญ้าเส้นนั้นร ้อยปลาในลาธารที่เพิ่งจะจับมาได้
เรื่องทานองนี้ ดูเหมือนว่าหลิวเสี้ยนหยางเกิดมาก็เป็ นคนขี้ลืม เขาไม่เคยจดจ าความแค้น ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
แต่กู้ช่านที่ความจาดีมากมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งยังไม่เคยยอมรับผิด ยิ่งไม่ชอบพูดขอโทษกลับต้องยังจ าได้แน่นอน
เวลานี้หลิวเสี้ยนหยางที่อยู่บนโต๊ะเหล้าเริ่มคุยโวอีกครั้ง “ด้วย คุณสมบัติของพวกเราแน่นอนว่าข้าต้องอยู่อันดับหนึ่ง กู้ช่านอันดับ สอง เฉินผิงอันเจ้าอยู่รั้งท้ายก็แล้วกัน อย่าว่าผ่านไปอีกพันปีเลย ขอ แค่ให้เวลาในการฝึกตนพวกเราอีกสักสามร ้อยห้าร ้อยปี นั่นจะไม่ร ้าย กาจแย่เลยหรือ?! อย่าว่าแต่ใต้หล้าไพศาลของพวกเราเลย ผู้ฝึกตน ของใต้หล้าแห่งอื่นได้ยินและได้เห็นพวกเราสามคน แน่นอนว่าหลักๆ ต้องเป็ นชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของข้าหลิวเสี้ยนหยาง ต่างก็ต้องชั่งน้าหนัก ให้ดี ยังจะกล้ามาหาเรื่องพวกเราคนใดคนหนึ่งอีกหรือ พูดมาถึงตรง นี้ หลักๆ ก็ต้องเป็ นกู้ช่านแล้ว”
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็เอ่ยว่า “เริ่มด่าได้แล้ว ข้าไม่ห้ามแน่”
กู้ช่านหัวเราะ “อุตส่าห์พูดความจริงอย่างที่หาได้ยาก”
ต่างคนต่างยกชามเหล้าชนกันเบาๆ สองที
เมื่อครั้งหนึ่ง อิ่นกวานคนสุดท้ายเฝ้ าหัวก าแพงอยู่เพียงล าพัง เป็ นครึ่งคนครึ่งผี จะมีชีวิตรอดกลับมายังบ้านเกิดได้หรือไม่ยังบอกได้ ยาก
หลิวเสี้ยนหยางกลับจากที่ไปขอศึกษาต่อกับสกุลเฉินผู้รอบรู ้ ทักษินาตยทวีปมายังบ้านเกิด ไม่สาเร็จทั้งตาราและกระบี่ ไร ้ชื่อเสียง เพราะเพิ่งจะอายุสี่สิบพอดี ปีนั้นแม้กระทั่งรายชื่อคนรุ่นเยาว์สิบคน แห่งแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่ติดอันดับ
กู้ช่านเข้าไปอยู่ที่นครจักรพรรดิขาว ประหนึ่งจมลงสู่มหาสมุทร ลึก นับแต่นั้นมาก็เงียบหายไร ้ข่าวคราว
“เวทกระบี่ของข้าหลิวเสี้ยนหยาง วิชาหมัดของเจ้าเฉินผิงอัน กู้ช่าน….เจ้ามีเวทคาถาอะไรก็เรียนรู ้ให้ดีไปแล้วกัน วันนี้ดื่มเหล้าไป แล้ว พวกเราก็ขยันหมั่นเพียรกันต่อ ต่างคนต่างตั้งใจฝึกตนให้ดี ถึงว เลานั้นต้องต่อสู้กับใครก็ล้วนไม่ขี้ขลาด! ถามหมัดถามกระบี่หรือถาม มรรคา ดูเหมือนว่าต่างก็ซ้าซากเกินไป ในเมื่อเป็ นเช่นนี้ จะถามก็ ถามไปพร ้อมๆ กันเลย!”
คาพูดใหญ่โต” ที่เกี่ยวกับว่าในอนาคตจะเป็ นเช่นไร วันข้างหน้า จะเป็ นแบบไหนพวกนี้กู้ช่านในอดีตอายุน้อยเกินไปคิดไม่ถึง เฉินผิง อันไม่ถนัดพูด มีเพียงหลิวเสี้ยนหยางที่อยากพูด ยอมพูด กล้าพูด
ทะเลสาบชิวขี่ที่ตั้งอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อชายแดนสองแคว้นระหว่าง แคว้นเป่ ยจิ้นกับซ่งไล่ใจกลางทะเลสาบมีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง บนเกาะมี อารามเต๋าชื่อว่าอารามต้ามู่
ตรงหน้าประตูอารามแขวนกลอนคู่ที่แกะสลักจากไม้ไว้บทหนึ่ง คือกลอนประตูมังกรที่เนื้อหายาวมาก ตัวอักษรคือลายมือที่เจ้า
อารามคัดลอกมาจากเทียบอักษรฉบับหนึ่งซึ่งไม่รู ้ว่าผ่านเวลามา ยาวนานแค่ไหนแล้ว ใช ้แผ่นไม้แกะสลักตัวอักษร มีฝีมืออย่างมาก และนี่ยังเป็ นงานแกะสลักที่ตั้งใจมาก ถือเป็ นการเลียนแบบที่ผิดเพี้ยน ไปจากของจริงครั้งที่สอง หากได้เทียบอักษรที่เป็ นผลงานจริงมา คิด ดูแล้วน่าจะมีกลิ่นอายความโบราณได้มากกว่าด้วยซ้า
นั่งปากบ่อมองฟ้ าดิน ตะวันจันทราแจ่มชัดเป็ นพิเศษ แสงกระบี่ ตัดสลับฉวัดเฉวียนดวงตามองไม่เห็นผู้ใด ทางานที่ได้รับมอบหมาย เสร็จสิ้น เฝ้ ามองดาวเป่ ยโต้วยามค่าคืนโลกมนุษย์มีสามอมตะเพิ่ม มากขึ้น เสียงเคาะเบาๆ ดังบนประตูสีชาด ต้นไม้ยักษ์ในอารามสูง เสียดฟ้ า ใครเดินมาร่วมเส้นทาง?
จิตใจห้าวหาญดั่งสายน้าในฤดูใบไม้ร่วง กระดูกขาวเกลื่อน กลาดปะปนอยู่ในพงหญ้าให้น้าม้าขณะข้ามแม่น้า ผู้คนบนเส้นทาง หลีกทางให้ ขุนนางสกุลเฉามอบตาราศักดิ์สิทธิ์ ฝูงชนร่วมกันอ่าน บทหนันหัว มีเพียงข้าพิสูจน์มรรคาเป็ นอมตะ ธุลีแดงกลิ้งตลบ คละคลุ้ง งูเขียวในกล่องแสวงหาความจริง ข้านั้นคือเทพเซียนพสุธา!
คนที่ขึ้นเกาะมา หากมายืนอยู่ตรงหน้าประตูอารามเต๋าแล้วไม่มี ความสามารถในการท าความเข้าใจภาษาโบราณ เห็นกลอนประตู มังกรบทนี้ คาดว่าแม้แต่ตัวอักษรก็ยังอ่านไม่ออกด้วยซ้า
เจ้าอารามต้ามู่คือกงฮวา ฉายา ‘ชิงสือ” ควบต าแหน่งสุ่ยจวิน แห่งทะเลสาบผืนนี้ กงฮวาคือนักพรตหญิงที่รูปโฉมงามพิลาศ อายุ
ประมาณสามสิบปี สะพายกระบี่โบราณเล่มหนึ่งฝักกระบี่ร ้อยพันไว้ ด้วยด้ายสีทอง ในฝักเก็บกระบี่ที่มีชื่อว่า “เหิงชิว”
ว่ากันว่าตอนที่มีชีวิตอยู่นางเคยเป็ นปรมาจารย์วิถีวรยุทธคน หนึ่ง หลังจากตายไปแสงแห่งจิตวิญญาณก็ไม่ได้สลายหายไป กลาย มาเป็ นวิญญาณวีรบุรุษ นางเก็บกระบี่ที่เคยพกติดกายกลับมา พก กระบี่เดินกร่างไปทั่วฟ้ าดิน สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ทะเลสาบยักษ์แห่งนี้ สร ้างอารามต้ามู่ขึ้นมา ตั้งตัวเองเป็ นหูจวิน แต่เมื่อวิญญาณวีรบุรุษ และภูตผีกลายมาเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่หนึ่ง วันที่กลายเป็ นเทพก็ คือ “วันบรรลุมรรคา” ของภูเขาที่ยึดครองเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ก็เหมือนอย่างผู้ฝึ กลมปราณเลื่อนขั้นเป็ นขอบเขตเซียนเหรินที่ สามารถสร ้างรากกระดูก สร ้างรูปโฉมขึ้นมาใหม่เหมือนเป็ นการ “ชาระล้างใจปรับเปลี่ยนโฉมหน้า ครั้งหนึ่ง
แขกที่ขึ้นมาบนเกาะถูกเจ้าของที่อย่างนางแบ่งออกเป็ นระดับ ต่างๆ ก็เหมือนอย่างในเวลานี้ คนที่ได้รับเชิญให้มาดื่มน้าชาในเรือน ลั่วฮวา เมื่อรวมตัวเจ้าอารามเองแล้วก็มีทั้งหมดแค่เจ็ดคนเท่านั้น
คนนอกหกคนได้แก่เกาจวินเจ้าประมุขพรรคหูซาน ซานจวินห้า ท่านของห้ามหาบรรพตในใต้หล้า พวกเขาต่างก็มีนามแฝงและฉายา ของตัวเอง
เกาจวินสวมกวานนักพรตที่ทาจาลองกวานดอกบัวสีเงิน สวมชุด เต๋าสีเหลืองดอกซิ่งสวมรองเท้าชิงอวิ๋นที่ลวดลายถี่ประณีตเป็ น อักขระยันต์ล่องลอย
นางคือคนร่วมการประชุมที่เดินก้าวธรณีประตูเข้ามาเป็ นคน สุดท้าย เมื่อครู่นี้เกาจวินที่อยู่ข้างนอกทามุทราคาถากระบี่ที่เป็ นเวท ลับสืบทอดจากสายของบ้านตัวเองบทหนึ่งก่อนแล้วจึงค่อยก้มศีรษะ กราบตามขนบลัทธิเต๋า “คารวะกงหูจวินและสหายทุกท่าน”
ได้พบเซียนจวินที่เป็ นดั่งไม้เด่นเกินไพรของใต้หล้าผู้นี้ ทุกคนที่ อยู่ในห้องต่างก็อดนึกไปถึงอวี๋เจินอี้ที่ปีนั้นถึงกับเปลี่ยนรูปโฉมจาก แก่เป็ นเด็ก ขี่กระบี่บินทะยานไม่ได้
ตนกลายเป็ นขอบเขตก่อก าเนิดก่อน แล้วค่อยอบรมบ่มเพาะ ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งให้กับพรรคหูซาน
อวี๋เจินอี้เป็ นเจ้าประมุขพรรคได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่ามีคุณูปการอย่าง หาที่สิ้นสุดไม่ได้แล้ว
องค์เทพซานจวินที่รับบัญชาจากสวรรค์ทั้งห้าท่านนี้ไม่ใช่คน แปลกหน้าส าหรับเกาจวิน เพราะเมื่อหลายปีก่อนพวกเขาต่างก็เคย เจอกันมาก่อน
หูจวินแห่งทะเลสาบชิวชี่ เหนียงเนียงเทพวารีกงฮวาก็สวมชุดเต๋า เหมือนกัน แต่ด้านนอกยังสวมชุดอาคมโตวลวี่ในตานานทับไว้อีก ชั้นหนึ่ง เบาเหมือนขนห่าน ว่ากันว่าน้าหนักที่แท้จริงหนักแค่ครึ่งจู (ประมาณครึ่งตาลึงหรือ 0.3 กรัมในปัจจุบัน) ปล่อยปราณวิญญาณ ออกไปข้างนอกเล็กน้อย ในห้องก็มีประกายแสงแวววับไหลวน เปล่ง
ประกายระยิบระยับ เป็ นเหตุให้ไม่จ าเป็ นต้องจุดเทียนก็สว่างได้ด้วย แสงศักดิ์สิทธิ์นี้
ในห้องมีซานจวินที่รูปโฉมเป็ นชายวัยกลางคนอยู่คนหนึ่งที่ บุคลิกสุภาพอ่อนโยน เขาเปิดปากพูดก่อนว่า “เจ้าประมุขเกา เวลา ผ่านมานานหลายปี ได้เจอกันอีกแล้วนะ”
เขากาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งไว้ด้วยความเคยชิน บนแผ่นหยก แกะสลักภาพเซียนอมตะขี่แพ แรกเริ่มแกะสลักเป็ นตัวอักษรคาว่า “หกสิบปีมาเยือนอีกครั้ง” ภายหลังถูกบุรุษซึ่งเป็ นซานจวินแห่งภูเขา หรงเซิงแกะสลักตัวอักษรเพิ่มไปอีกสี่ห้าตัว
เขาก็คือเจ้าแห่งขุนเขากลางในทุกวันนี้ ชื่อของภูเขาลูกนี้ ยิ่งใหญ่มาก ชื่อว่าภูเขาเจียงซาน (เจียงซานจะหมายถึงแม่น้าและ ภูเขา อีกความหมายคือแผ่นดินบ้านเมือง) นอกภูเขาแม่น้าใหญ่ไหล พาดผ่าน
ใช ้นามแฝงว่าเจิ้งเฟิ่งโจว
ก่อนหน้านี้เกาจวินเคยทะยานลมไปถึงยอดเขาของขุนเขากลาง ซึ่งคล้ายกับเกาะเดียวบนทะเลเมฆ ในที่สุดก็ได้ค้นพบซากปรัก โบราณของเซียนเหริน และได้เจอกับคนบนเส้นเดียวกันบนภูเขาคน แรกในโลกมนุษย์
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเจ้าประมุขพรรคหูซานยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ความแตกต่าง ระหว่าง “เทพ’ และ ‘เซียน” อย่างแท้จริ