กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1087.1 ผู้ที่คิดจะแก้แค้นอย่าได้หักดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ กาน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1087.1 ผู้ที่คิดจะแก้แค้นอย่าได้หักดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ กาน
ผืนดินทั่วทั้งโลกมนุษย์คล้ายกาลังรอคอยการเติบโตของลูก อินทรีตัวหนึ่ง
ในที่สุด หนิงเหยาก็ได้เติบโตกลายเป็ นผู้ฝึ กกระบี่บริสุทธิ์ ขอบเขตสิบสี่แล้ว
เคยถูกฝากความหวังและการอคอยที่มากที่สุดเอาไว้ แต่กลับไม่ เคยท าให้คนประหลาดใจและผิดหวัง
หนิงเหยาใช ้สถานะของผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ ก็เหมือนเฉาสือที่เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบเอ็ดบนเส้นทางวรยุทธ
คือความแน่นอนอย่างหนึ่งที่เป็ นของพวกเขาโดยเฉพาะ
เฉาสือถึงขั้นเทพมาเยือนแล้ว หากเฉินผิงอันยังไม่รีบทาเวลาอีก หากยังปล่อยให้เฉาสือขึ้นไปสู่ยอดสูงสุดของขั้นเทพแห่งการต่อสู้
เฉินผิงอันก็สามารถจินตนาการได้เลยว่าคราวหน้าที่ถามหมัด กับเฉาสืออีกครั้ง เรื่องอย่างการต่อยหน้า จะต้องได้ใช ้หนี้คืนอย่าง แน่นอน
ในอาณาเขตของภูเขาไฉอวี้เคยเป็ นสถานที่ที่สานักการทหาร ตั้งประจัญบานกันในยุคโบราณ สายน้ายังคงเดิม กระแสน้ามีขึ้นและ มีลง
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทาไมถึงมาหาข้าคนนี้ก่อนล่ะ?”
หนิงเหยาเอ่ย “มาถึงใต้หล้าไพศาลตั้งนานแล้ว ข้าไปที่เรือนไม้ ไผ่ของภูเขาลั่วพั่วอย่างเงียบๆ มารอบหนึ่งก่อน แล้วจึงไปดูที่โรงเรียน อยู่พักหนึ่ง ได้ยินเสียงในใจของที่นี่ก็เลยมา”
หนิงเหยาไม่ได้ลาพองตนจนถึงขั้นมองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ท่ามกลางฝนตกใหญ่ที่ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเรียกขานว่า “สวรรค์หลั่งน้าตา” ในครั้งนี้ นางสามารถอาศัยการหลบฝนครั้งนี้มา เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ นี่เป็ นเพราะนางมีความสอดคล้องกับมหา มรรคาของใต้หล้าห้าสี ถ้าอย่างนั้นในอีกสี่ใต้หล้าที่เหลือก็ต้องมียอด ฝี มือคนอื่นที่วางแผนล่วงหน้ามาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน แค่รออาศัย การ “เปียกฝน” ครั้งนี้มาฝ่ าทะลุขอบเขตเท่านั้นเฉินผิงอันมีศัตรูอยู่ มากมาย บนร่างเขาคือรวมเอาสายตาที่เย็นชาโหดเหี้ยมแต่กลับอา พรางซ่อนแฝงได้อย่างดีไว้มากเกินไป ดังนั้นเรื่องแรกที่หนิงเหยาซึ่ง เลื่อนเป็ นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ขอบเขตสิบสี่เป็ นกังวลก็คือจะมีผู้ฝึกตน ใหญ่ที่เลื่อนขั้นได้เร็วกว่านาง หรือเลื่อนขั้นเป็ นขอบเขตสิบสี่ได้ พร ้อมกับนาง ฉวยโอกาสที่ฟ้ าอานวยกาลังวุ่นวายมาฉวยโอกาส ลอบโจมตีเฉินผิงอัน
ดังนั้นนางจึงบอกกล่าวกับทางศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง หรือพูดให้ ถูกก็คือพอถึงเวลานางที่ต้องมาก็ได้ทา “เอกสารผ่านด่าน” เพิ่มมา อีกฉบับหนึ่ง
ดังนั้นหนิงเหยาเดินทางมาเยือนใต้หล้าไพศาลในครั้งนี้จึงไม่ ได้มาแค่เพราะความคิดถึงอย่างเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันมีความยึดติดต่อการเป็ นอาจารย์สอนหนังสือ เมื่อก่อน ตอนที่อยู่ใกล้กับร ้านเหล้าของกาแพงเมืองปราณกระบี่ เขาก็เคยได้ สอนพวกเด็กๆ ของตรอกหลิงซี ตรอกเหยียนชื่อให้รู ้จักตัวอักษร ควบกับเป็ นนักเล่านิทาน เล่าเรื่องแปลกประหลาดให้เด็กๆ ฟังไปไม่ น้อย ในเรื่องนี้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสรู ้สึกชื่นชมเขามาก กาแพง เมืองปราณกระบี่ไม่ได้มีอคติต่อตัวอักษรและวิชาความรู ้ ตอนนั้นก็ แค่ไม่ชอบใต้หล้าไพศาลเท่านั้น
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยแนะนาว่า “ท่านลุงป๋ าย นี่ก็คือภรรยาของข้า หนิงเหยา ชื่อแซ่เดียวกับหนิงเหยาผู้นั้น”
ลุงป๋ ายพยักหน้า “มิน่าเล่าเฉินจิ้วที่อยู่ในภูเขาไฉอวี้ถึงได้ไร ้ กิเลสไร ้ปรารถนาจนน่าเหลือเชื่อ ทุกวันนอกจากทางานก็คือตกปลา ที่แท้ในใจก็มีใครบางคนอยู่ก่อนแล้ว”
เฉินผิงอันโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
หนิงเหยายิ้มเอ่ย “เรื่องความรักชายหญิง ข้าวางใจในตัวเขา มาก”
เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ภูเขาลั่วพั่วเข้าร่วมงานพิธีถามกระบี่ต่อ ภูเขาตะวันเที่ยง หนิงเหยาเคยเผยตัวมาก่อน ดังนั้นการปรากฏตัว ครั้งนี้นางจึงร่ายเวทอาพรางตาไว้ชั้นหนึ่ง
ลุงป๋ ายยิ้มเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็ นอย่างดี “พวกเจ้าคุยกัน ไปเถอะ เดินเล่นอยู่ในภูเขาไฉอวี้ได้ตามสบาย ข้ายังต้องไปดูแลเรื่อง
การขุดเจาะตามหลุมเก่าต่างๆ อีกสักหน่อย”
ขณะเดียวกันผู้เฒ่าก็ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร ้อนไป ไหน จ าไว้ว่าพาแม่นางหนิงไปกินข้าวที่เหลาสุราบ้านเราสักมื้อด้วย ลงบัญชีไว้ในชื่อข้าได้เลย”
ถือเสียว่าช่วยทาให้เจ้าเด็กนี่มีหน้ามีตา ให้นางได้รู ้ว่าบุรุษของ ตัวเองอยู่ข้างนอกก็พอจะมีเกียรติอยู่บ้าง
บอกตามตรง อย่าว่าแต่สตรีที่สะพายกล่องกระบี่เบื้องหน้าผู้นี้จะ ชื่อหนิงเหยาเลย ต่อให้เฉินจิ้วชื่อว่าเฉินผิงอัน เกรงว่าผู้เฒ่าก็คงแค่ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังประโยคเดียวว่า บังเอิญขนาดนี้เชียว
หรือจะบอกว่าชายหญิงคู่นี้ เฉินผิงอันคือเฉินผิงอันตัวจริง หนิง เหยาคือหนึ่งเหยาจริงๆ หรืออย่างไร
ต่อให้ป๋ ายหนีจะมีความรู ้สึกว่าพรรคกิ่งไผ่เป็ นเหมือนบ้านของ ตัวเองแค่ไหน ก็ไม่ถึงขั้นรู ้สึกว่าพรรคเล็กๆ อย่างบ้านตนจะสามารถ ทาให้ชายหญิงที่เป็ นดั่งคู่สร ้างคู่สมคู่นี้มาหยุดเท้าอยู่ที่นี่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินจิ้วยังเป็ นจือเค่อฝ่ ายนอกมานานถึงเพียง นี้
ผู้เฒ่าหันกลับไปมองภาพที่ริมน้าแวบหนึ่ง ดอกซิ่งฮวาจานวน นับไม่ถ้วนถูกสายฝนฟาดกระทบให้หล่นร่วงเกลื่อนพื้น ประหนึ่งปู เส้นทางบุปผาไว้สายหนึ่ง
เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของผู้เฒ่า ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านลุงป๋ าย ตกลง กันแล้วนะว่าวันหน้าหากข้าจัดงานมงคล จะส่งเทียบเชิญมาให้ท่าน ไปนั่งที่โต๊ะประธาน”
ป๋ ายหนีหันหน้ากลับมายิ้มตอบ “ตกลง”
คิดไปในทางที่ใจกล้าหน่อย อย่างมากสุดก็แค่นั่งดื่มเหล้าร่วม โต๊ะกับเซียนดินสองสามคน ตนที่ดื่มสุราคารวะจะมือสั่นเลยหรือไร?
ป๋ ายหนีกลั้นขา ใช ้เสียงในใจถามว่า “คงไม่ได้มีเทพเซียนผู้เฒ่า ขอบเขตหยกดิบในต านานด้วยหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอบเขตหยกดิบนั่งโต๊ะประธานไม่ได้หรอก นะ”
โต๊ะประธานในงานแต่งของตนกับหนิงเหยา หากไม่ใช่อาจารย์ ฮว่อหลงเจินเหริน ก็ต้องเป็ นสวีหย่วนเสีย เฉินซี หรือทุกวันนี้ควรจะ เรียกว่าเฉินจี ดูเหมือนว่าจะไม่มีขอบเขตหยกดิบเลยจริงๆ
ป๋ ายหนีพยักหน้า
ผู้เฒ่าเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วว่าเจ้าเด็กนี่ไปหลอกแม่นางหนิงมา
อยู่ในก ามือตัวเองได้อย่างไร หนิงเหยารู ้ว่าเฉินผิงอันมีวาสนากับพวกผู้ใหญ่มาโดยตลอด เฉินผิงอันเคยให้คาตอบที่ไม่ถือว่าเป็ นคาตอบบอกว่า พวก
ผู้ใหญ่ที่นิสัยแตกต่างกันไปพวกนี้ก็แค่ชอบตัวเองตอนที่พวกเขาเป็ น
หนุ่มก็เท่านั้น
เฉินผิงอันพาหนิงเหยาเดินไปทางริมล าคลอง หนิงเหยาถาม อย่างสงสัยว่า “ทาไมเจ้าถึงฝ่าทะลุขอบเขตสองขั้นติดกันเลยล่ะ?”
นางไม่ได้ใช้เสียงในใจ
ไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปาก หนิงเหยาก็อธิบายว่า “ในเมื่อข้าอยู่ ที่นี่ด้วย ยามที่พูดคุยก็ไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว คนที่ขอบเขตต่ากว่า สิบสี่ลงไป กล้าลอบสังเกตการณ์ที่แห่งนี้ ข้าล้วนสัมผัสได้”
ใครอยากจะถูกนางถามกระบี่ก็เชิญชมขุนเขาสายน้าผ่านฝ่ ามือ ได้ตามสบาย น่าเสียดายที่สกุลลู่สานักหยินหยางแผ่นดินกลางจา บทเรียนกันได้แล้ว ไม่อย่างนั้นนางก็มีเหตุผลให้ไปเยือนทวีปแดน เทพแผ่นดินกลางรอบหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง พยักหน้าเอ่ยว่า “นี่ก็คือ ขอบเขตสิบสี่”
บางทีแค่เรียกชื่อว่าหนิงเหยาตรงๆ นางก็คงจะรู ้ได้ในทันที
เฉินผิงอันอธิบายว่า “ปิดด่านครั้งนี้ค่อนข้างจะอันตราย ทาในสิ่ง ที่ตรงข้ามกับปกติทั่วไป เท่ากับว่าขอบเขตก่อกาเนิดแต่กลับทาเรื่อง ของคอขวดขอบเขตหยกดิบ ไม่เว้นพื้นที่ว่างไว้ให้ตัวเองแม้แต่น้อย เผชิญหน้ากับด้านมืดของตัวเองทั้งหมดโดยตรง ถามใจตัวเองเคาะ ด่านใจของตัวเอง โยนความดีความเลวทิ้งไป แสวงหาเพียงความจริง เท่านั้น บวกกับที่ฝนตกใหญ่ครั้งนี้ ข้าได้รับการประทานบางอย่าง จากมหามรรคาที่คิดไม่ถึง มีความเกี่ยวข้องกับหีบตาราที่ท่านปู่ ชุย ทิ้งไว้บนภูเขา แล้วก็มีความเกี่ยวข้องกับเงินเหรียญทองแดงและเงิน เหรียญทองแดงแก่นทองที่ข้าเอาไปวางไว้ในสุสานเทพเซียนสองครั้ง แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ นเบาะแสที่ค่อนข้างเห็นได้ชัด หรือจะพูดให้ ถูกต้องก็คือล้วนมีความเกี่ยวข้องกับอดีตทั้งหมดและร่องรอยตาม ภูเขาสายน้าที่ข้าเคยไปเยือน ถือเป็ นการ…สะท้อนกลับอย่างหนึ่ง กระมัง ส่วนวิธีการที่ใช ้ยันต์แบ่งหนึ่งออกเป็ นเก้านั้น ข้าต้องทุ่มเท ความคิดจิตใจไปมากมายเอ่ยประโยคที่ไม่ได้คุยโวสักคา ความคิด บรรเจิดพวกนี้มีความยอดเยี่ยมอัศจรรย์อย่างมากร ้อยเรียง ต่อเนื่องกันเป็ นทอดๆ อยากจะฟังหรือไม่? ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บน ภูเขาลั่วพั่ว เจินเหรินผู้เฒ่าอวี๋ที่มาเป็ นแขกก็ได้ฟังไปแล้ว ขนาดเขา ยังรู ้สึกว่าไม่ธรรมดา…”
หนิงเหยาพยักหน้า “ลองเล่าอย่างละเอียดสิ ข้าไม่ได้รีบจะไป ไหน”
จู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะขึ้นมา เพียงแค่เพราะคิดถึงคากล่าวอย่าง หนึ่งของเจิ้งต้าเฟิงที่บอกว่า ถึงอย่างไรฝนตกก็อยู่ว่างไม่มีอะไรท า หากไม่ใช่วันที่ฝนตกเย็บรองเท้า ก็เป็ นวันที่ฝนตกให้ก าเนิดบุตร หึหึ หึ
ฟังเฉินผิงอันเล่ารายละเอียดของการปิดด่านครั้งนั้นไปแล้ว หนิง เหยาก็พยักหน้า “เดินบนคมกระบี่ อันตรายรายล้อม เด็ก…คนนั้น สุดท้ายเขาเป็ นฝ่ ายเลือกที่จะจากไปด้วยตัวเอง บางทีอาจไม่ใช่ว่า ยอมรับหรือเห็นด้วยกับตัวเองที่เติบใหญ่แล้ว แต่เพียงแค่เพราะเขา เป็ นคนจิตใจดีงาม ไม่อยากให้เจ้าต้องลาบากใจต่อไป แน่นอนว่านี่ เป็ นเพียงแค่ความคิดเห็นของข้า ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็ นความจริง เจ้าเองก็ไม่จาเป็ นต้องรู ้สึกแย่ต่อเรื่องนี้”
เฉินผิงอันเงียบไปนาน เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงเขาได้มีการถาม ตอบกับตัวเองที่มีความเป็ นเทพบริสุทธิ์ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจให้คาตอบ ที่ถูกต้องแม่นยาได้
คนที่อยู่นอกสถานการณ์มองเห็นได้ชัดเจนกว่า บางทีสิ่งที่หนิง เหยาพูดต่างหากถึงจะเป็ นความจริง
หนิงเหยากล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเป็ นเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว เส้นทางต่อจากนี้ก็จะเปิดกว้างชัดเจนมากแล้ว ใช่หรือไม่ เซียนกระบี่ ใหญ่เฉิน”
หากว่ากันในบางระดับ ขอบเขตหยกดิบเลื่อนเป็ นขอบเขตเซียน เหรินก็คือด่านใหญ่ด่านหนึ่ง การ “ถามใจแสวงหาความจริง’ จะมีข้อ พิถีพิถันเยอะมากกว่า แต่ขอบเขตเซียนเหรินเลื่อนเป็ นขอบเขตบิน ทะยานกลับกลายเป็ นว่าจะใช ้การ ฝึกก าลัง มากกว่า
ก็หนีไม่พ้นว่าเป็ นการเสริมเติมแต่งจิตแห่งมรรคาที่เป็ นรูปเป็ น ร่างให้สมบูรณ์บนเส้นทางที่มีอยู่ก่อนแล้ว คัดสิ่งที่ไม่ดีทิ้งไป เก็บไว้ แต่สิ่งที่ดีที่สุด หล่อหลอมจิตวิญญาณ ผู้ที่ฝึกบาเพ็ญตนเริ่มลงมือ สร ้างฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์ขึ้นมาใหม่ เลือกช่องโพรงลมปราณที่ เหมาะสมในการเพาะปลูกอย่างตั้งใจ ก็เหมือนว่าได้ครอบครองพื้นที่ มงคลแห่งหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว แล้วค่อยสร ้างถ้าสวรรค์อีกแห่งหนึ่งขึ้นมา สุดท้ายถ้าสวรรค์กับพื้นที่มงคลเชื่อมโยงถึงกัน ก็คือบินทะยาน
ช่องโพรงลมปราณทุกแห่งก็คือพื้นที่มงคลเดี่ยวแห่งหนึ่ง คนที่ เกิดมาก็มีคุณสมบัติในการฝึกตนดีก็เหมือนสวรรค์ประทานข้าวให้ กิน ชามข้าวมีเยอะ จานวนของพื้นที่มงคลก็เยอะในอนาคตภาพ บรรยากาศยามที่บินทะยานก็จะยิ่งใหญ่มากเท่านั้น
แสงตะวัน ขี่มังกร รัศมีเมฆทอง ขี่นกกระสา ดึงเรือนบินทะยาน ในประวัติศาสตร ์ลาพังแค่บันทึกเกี่ยวกับชนิดต่างๆ ของวิธีการบิน ทะยานก็มีมากถึงหกสิบกว่าประเภท
ดังนั้นก่อนที่หนิงเหยาจะมา สิ่งที่นางกังวล ความกังวลที่ใหญ่ ที่สุดของนางอย่างแท้จริงก็ยังเป็ นเรื่องที่ว่าเฉินผิงอันหวนกลับคืนสู่ ขอบเขตหยกดิบอย่างไร รวมไปถึงควรจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นใน
ขอบเขตหยกดิบอย่างไร เพื่อที่จะได้หวนคืนสู่ความจริง เลื่อนเป็ น เซียนเหริน ผู้ฝึกบาเพ็ญตนที่เดินขึ้นเขาได้ นับแต่โบราณมาก็ไม่มี ใครที่เป็ นคนโง่ ถ้าอย่างนั้นคนคนหนึ่งที่ฉลาดมากพอควรจะ เผชิญหน้ากับจิตมารที่ฉลาดมากกว่าอย่างไร ก็คือปัญหายากที่ใหญ่ เทียมฟ้ าแล้ว
ธรรมะสูงหนึ่งฉือ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง นี่ไม่ใช่คากล่าวอย่างกว้างที่ ลัทธิเต๋าใช ้อธิบายง่ายๆ อะไร และหยกดิบเป็ นเซียนเหรินก็ว่ากันว่า ถูกผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาบางส่วนมองเป็ นการแสดงรอบทดลอง ของขอบเขตบินทะยานเป็ นขอบเขตสิบสี่ แม้ว่าหนิงเหยาจะไม่ค่อย เข้าใจความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ แต่ในเมื่อบนยอดเขาต่างก็พูดกัน เช่นนี้ คิดดูแล้วก็น่าจะมีความยากล าบากอยู่จริง ผลคือเฉินผิงอัน กลับดีนัก ฝ่ าทะลุขอบเขตทีเดียวสองขั้นติด นี่ท าให้หนิงเหยาเหมือน ได้ปลดภาระทางใจลงได้ทันที นางเลิกคิ้วขึ้น สายตาตนไม่เลวเลย!
เฉินผิงอันจงใจมองข้ามค าพูดสัพยอกของหนิงเหยา พูดด้วยสี หน้าจริงจังว่า “คราวหน้าที่ไปนครบินทะยาน ข้าจะต้องขอบคุณหัว โจกของกลุ่มเด็กๆ อย่างหยวนจ้าวฮว่าให้ดี ปีนั้นเป็ นแม่นางน้อยที่จัด อันดับให้ข้าอยู่อันดับที่สิบเอ็ดในบรรดาเซียนกระบี่บนยอดเขาของ หัวกาแพงเมือง นางมองการณ์ไกลมาก คราวหน้าที่เจอกัน ข้าจะต้อง สอนวิชาหมัดดีๆ ให้นางสักหน่อย”
หนิงเหยากล่าว “ทางฝั่งของใต้หล้าห้าสี ช่วงนี้มีผู้ฝึกลมปราณ ห้าขอบเขตกลางโผล่มากลุ่มใหญ่ เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีขอบเขต หยกดิบที่หลบๆ ซ่อนๆ โผล่มากลุ่มหนึ่ง”
หากนางเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าในนาม ไม่ได้เลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่ ไม่ได้ทิ้งระยะห่างจากผู้ฝึกตนทุกคนของใต้หล้าห้าสีไป ไกลอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ของใต้หล้าที่เริ่มค่อยๆ มีรูปแบบ ที่แน่นอนแล้วก็มีความเป็ นไปได้อย่างยิ่งที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง แบบพลิกฟ้ าพลิกดินในชั่วข้ามคืน
เฉินผิงอันกล่าว “ค าโบราณบอกไว้ว่าสวรรค์รู ้ว่าเขาก าลังจะอด อยาก จึงโปรยเมล็ดฝนลงมาดั่งธัญญาหาร ในเมื่อสวรรค์ประทาน เมล็ดฝนธัญญาหาร ก็ต้องมีการแย่งชิงกันขึ้นฝั่ง หากครั้งนี้ยังมัวเก็บ งาอาพรางอยู่อีกก็จะมีจุดจบเหมือนปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานแห่งพื้นที่ มงคลดอกบัวในปีนั้นจริงๆ เพียงแต่ไม่รู ้ว่าที่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างจะมี ขอบเขตสิบสี่ใหม่เอี่ยมเพิ่มมาสักกี่คน”
ในอดีต บรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ โจวมี่ ปีศาจใหญ่ชูเซิง ผู้ที่สร ้างตาหนักอิงหลิงของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง อาจารย์ของเชี่ยอวิ้น ลู่ ฝ่าเหยียนที่ถูกโจวมี่กินไป และป๋ ายเจ๋อ
ในปัจจุบัน ผู้ฝึกตนยุคบรรพกาลที่นอนหลับกันมาอย่างยาวนาน กลุ่มของอู๋หมิงซื่อ ป๋ ายจิ่งและเสี่ยวโม่ ต่างก็เป็ นขอบเขตบินทะยาน ขั้นสูงสุดที่มีหวังจะก้าวข้ามบันไดขั้นใหญ่ไปได้
อดีตอิ่นกวานเซียวสวิ้นที่เลื่อนขั้นเป็ นขอบเขตสิบสี่มานานแล้ว โดยใช ้ความ ไม่บริสุทธิ์” มาเป็ นราคาที่ต้องจ่าย แน่นอนว่ายัง รวมถึงเฝยหรานผู้ฝึ กกระบี่ที่เข้ามาแทนที่บรรพบุรุษใหญ่แห่ง ภูเขาทัวเยว่กลายมาเป็ นผู้ครองเปลี่ยวร ้าง รวมไปถึง “จงหยวน” ที่จิต แห่งกระบี่บริสุทธิ์ผู้นั้น
การสลายมรรคาของบรรพจารย์สามลัทธิในครั้งนี้ บวกกับการ ผลักดันรุดหน้าที่ใต้หล้าไพศาลมีต่อใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ไม่ใช่ว่า อาจจะ แต่ต้องมีผู้ฝึกตนใหญ่กลุ่มน้อยของเปลี่ยวร ้างที่ได้ขึ้นสู่ยอด สูงสุดอย่างว่องไวแน่นอน
หนิงเหยาถาม “ทางฝั่งของแคว้นอวี้เซวียนจะปิดฉากเมื่อไหร่?”
เฉินผิงอันตอบ “อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น จะไปเยือนตอนเทศกาล ชิงหมิง”
หนิงเหยาถาม “ต้องการให้ข้าคอยพิทักษ์ค่ายกลอยู่ข้างๆ หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ต้องหรอก อย่างมากสุดก็แค่ หม่าขู่เสวียนคนเดียวบวกกับอวี๋สืออู้ที่เปลี่ยนใจ ขอบเขตหยกดิบ สองคน ต่อให้พวกเขาจะดิ้นรนกันเต็มที่แค่ไหนก็ไม่อาจสร ้างคลื่น มรสุมอะไรขึ้นมาได้”
หนิงเหยายิ้มเอ่ย “แค่ “ขอบเขตหยกดิบสองคนเท่านั้น? กลายเป็ นเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว ค าพูดค าจาก็ไม่เหมือนเดิมจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ถึงอย่างไรผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน ของก าแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราก็สามารถมองเป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าไพศาลได้เลย”
หนิงเหยาถาม “ตอนนี้จะทาอะไรต่อ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ยังมีเรื่องเล็กๆ อีกสองสามเรื่องต้องจัดการ จากนั้นก็จะถอนค่ายกลออกทันที ทางฝั่งของโรงเรียนเป็ นช่วงฤดู เพาะปลูกพอดี ต้องเด็ดใบชาก่อนถึงเทศกาลชิงหมิง ข้าจะให้พวก เด็กๆ หยุดเรียนสักสี่ห้าวัน ร่างจริงจะไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอวี้เซ วียนก่อนก าหนด”
หนิงเหยากล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกาแพงเมืองปราณกระบี่ ก่อนสักรอบ ไปแปบเดียวก็กลับ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องกังวลว่าอยู่ดีๆ ข้าจะถูกเวทคาถาของผู้ ฝึกตนขอบเขตสิบสี่เล่นงานหรอก”
หนิงเหยากล่าว “หากเป็ นอู๋โจวล่ะ?”
เฉินผิงอันตอบ “ก็หนีไม่พ้นว่าใช้ความไร้เหตุผลตอบแทน กลับคืนความไร้เหตุผล ดูสิว่าใครจะเสียเปรียบมากกว่ากันก็แค่นั้น”
เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังมีดวงจิตอีกดวงหนึ่งที่เดินทางไกลอยู่ นอกฟ้ า หากอู๋โจวกล้ามาเก็บตก นอกจากจะต้องถูกศาลบุ๋นเอาโทษ แล้ว เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือสาที่จะใช ้ท่วงท่าของความบริสุทธิ์บางอย่าง ไปเผยกายที่ใต้หล้ามืดสลัวก่อนกาหนด
หนิงเหยาพยักหน้า “เจ้าระวังตัวด้วย”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “แม้ว่าจะไม่มีจิตหยินและจิตหยาง แต่ข้า ได้สร ้างเค้าโครงช่วงต้นของกายธรรมร่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว เลียนแบบ กายธรรมของอาจารย์ฉีตอนที่อยู่ในศึกของนครมังกรเฒ่า