กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1095.3 แสงหิมะ
ตามการประมาณการณ์ของหม่าขู่เสวียน รอให้เฉินผิงอัน เปลี่ยนลมปราณ ในช่วงจังหวะที่ลมปราณใหม่เก่าสองขุมกาลัง เชื่อมโยงกัน เขาค่อยมอบท่าเด็ดให้กับอีกฝ่าย
ผู้ฝึกบาเพ็ญตน เดิมทีเรือนกายมนุษย์ก็คือ “พื้นที่มงคล” แห่ง หนึ่ง เลือดเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูกคือภูเขาสายน้า คาว่าฝึกตนก็คือ การใช ้สะพานแห่งความเป็ นอมตะเชื่อมโยงกับ “ถ้าสวรรค์” หล่อ หลอมจิงเสินชี่ที่อยู่ด้านใน ลัทธิพุทธกล่าวว่าการเกิดมาเป็ นมนุษย์ นั้นยากแสนยาก แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเป็ นคาลวง สรรพชีวิตใน โลกก็มีเผ่ามนุษย์ที่เป็ นผู้นาแห่งหมื่นจิตวิญญาณ ทาไมเผ่าปีศาจทุก ตนบนพื้นแผ่นดินที่สติปัญญาเปิดออกถึงต้องหลอมเรือนกายอย่าง ยากลาบากเพื่อให้มีร่างของมนุษย์? แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์ เมื่อ มีร่างกายมนุ ษย์ การฝึ กบาเพ็ญตนถึงจะเหนื่อยเพียงครึ่งได้ ผลประโยชน์เป็ นเท่าตัว พูดง่ายๆ ก็คือในบางความหมาย เผ่ามนุษย์ ก็คือ…สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิสระ
ด้วยรูปแบบของบ่อสายฟ้ าทัณฑ์สวรรค์แห่งนี้ ตามหลักแล้วต้อง สามารถสยบก าราบผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งได้อย่าง สมบูรณ์ สามารถสังหารอีกฝ่ ายให้ร่างแหลกสลายกลายเป็ นผุยผง แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็ยังแหลกเป็ นจุล ไม่ต้องเพ้อฝันว่าจะได้
กลับมาเกิดใหม่อีกแล้ว ต่อให้เป็ นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตยอดเขาที่ สามารถเข้าออกนครเฟิงตูได้คิดอยากจะกอบกู้สถานการณ์ก็ยังเป็ น การใช ้ตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้า อาศัยวิชาอภินิหารเฉพาะบทนี้มาสังหาร ขอบเขตหยกดิบหรือท าร ้ายขอบเขตเซียนเหรินให้ได้รับบาดเจ็บ สาหัส ก็เป็ นจุดสูงสุดของ “ก าลังคน” ของหม่าขู่เสวียนแล้ว หากมี ความต้องการมากกว่านี้ ต่อให้เพียงแค่เสี้ยวเดียว หม่าขู่เสวียนก็ จาเป็ นต้องจ่ายด้วยราคาที่สาหัสในระดับเท่าเทียมกัน ไม่ คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย เดินไปบนเส้นทางแห่งเทพ กลับคืนสู่ ตาแหน่งเทพ จากนั้นก็กลายเป็ นเทพ!
และแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ที่เป็ นเช่นนี้ก็มิอาจต้านทาน ได้ เป็ นเหตุให้หากขยับรุดหน้าไปอีกขั้น ขโมยเอากลไกแห่งสวรรค์ มาเพิ่มมากกว่านี้ หม่าขู่เสวียนก็จะต้องละทิ้งเจ็ดอารมณ์หก ปรารถนาไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ถูกผลกรรมกักขังไว้อีก ต่อให้จะมีความ ทรงจ าของชาตินี้เหลืออยู่ก็ตาม ดังนั้นนี่ก็คือตรรกะที่ขัดแย้งกันเอง คิดอยากจะอาศัยวิถีแห่งเทพมาช่วยขยับขยายวิชาอภินิหารของ ตัวเองไปมากกว่านี้ สามารถบดขยี้สังหารเซียนเหรินได้ หม่าขู่เสวียน ก็จะไม่ใช่หม่าขู่เสวียนอีกต่อไป ในเมื่อทางสายนี้ได้เดินไปถึง ปลายทางชั่วคราวแล้วหม่าขู่เสวียนที่อยู่บนเส้นทางอีกเส้นก็ได้ เตรียมของขวัญอีกหลายชิ้นไว้ให้เฉินผิงอันเพื่อเป็ นการต้อนรับแขก
ด้านล่างของซากปรักที่พังถล่มลงไป ท่ามกลางหิมะปลิวปราย เต็มท้องฟ้ ามีสายฟ้ าสีทองแลบปลาบปะปนอยู่
ถึงอย่างไรกาลังคนก็มีช่วงเวลาที่หมดลง ปณิธานหมัดหนาขั้น ของเจ้าของชุดคลุมอาคมสีแดงสดกลับไม่วี่แววว่าพลังจะเสื่อมถอย แม้แต่น้อย
หรือว่าเฉินผิงอันสามารถ “กิน” บ่อสายฟ้ าทั้งหมดได้ในรวด เดียวจริงๆ?
หม่าขู่เสวียนถามอย่างประหลาดใจ “ผู้ฝึ กยุทธขอบเขต ปลายทางร ้ายกาจกันขนาดนี้เลยหรือ?”
สาหรับขั้นตอนในการฝึ กตน หม่าขู่เสวียนคือผู้เชี่ยวชาญ สายตาของเขาสูงมาก มีเพียงการรับมือกับการเรียนวรยุทธเท่านั้นที่ เขาไม่เคยสัมผัสกับตัวเอง สิ่งที่ได้รับรู ้มาก็มีน้อยนิด
โจวมี่ที่อยู่ข้างกันตอบคาถามให้ว่า “เพราะเขาอยู่ในขั้นปราณ โชติช่วงอย่างที่ไม่มีใครเคยทาได้มาก่อน จึงได้รับเงื่อนไขพิเศษจาก สวรรค์ ถึงได้ต้านทานได้นานขนาดนี้”
หม่าขู่เสวียนกระตุกมุมปาก “แน่จริงก็ทนต่อไป ถึงอย่างไรก็เป็ น เรื่องดี”
โจวมี่ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
หม่าขู่เสวียนหัวเราะฮ่าๆ ตบเข่าฉาด “อีกเดี๋ยวหากหลุดมาได้ ไอ้หมอนี่ต้องบ่นข้าด้วยประโยคว่า “วิธีนี้ของเจ้าต่าช ้าเกินไปหน่อย” ใช่หรือไม่?”
โจวมี่เอ่ยเตือน “ตัวอยู่ในค่ายกล ดีใจตอนนี้ยังเร็วไป”
เพราะถึงอย่างไรมหาสมุทรความรู ้แห่งเปลี่ยวร ้างที่ถูกหม่าขู่ เสวียนอัญเชิญมาผู้นี้ก็คือบุคคลที่หม่าขู่เสวียนใช ้เวทลับบรรพกาล นิมิตถึง จากนั้นใช ้ “เตาหล่อหลอม” ถึงปรากฏออกมาได้ เท่ากับว่า เขาใช ้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเทพชั้นสูงสององค์ในบรรดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสิบสององค์ของยุคบรรพกาล หุ่นเชิดทั่วไปอยู่ไกล เกินกว่าจะเทียบเคียงได้ติด ถูกหม่าขู่เสียนตั้งชื่อให้ว่าเป็ นการ “เรียก ขวัญ” สอดคล้องกับกลไกแห่งสวรรค์ ไม่เลวเลยทีเดียว
โจวมี่ยิ้มบางๆ “มนุ ษย์ยื้อลมหายใจ เทพรับธูปหนึ่งก้าน สอดคล้องกับเหตุการณ์จริงๆ”
บนพื้นดิน วิชาหมัดของเฉินผิงอันเรียบง่ายจนแทบไม่มีคาว่า กระบวนท่าใดๆ ให้กล่าวถึง หลุดพ้นจากกรอบที่ตายตัว
ปณิธานหมัดที่โชติช่วงก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยพลังอานาจเหลือล้น ประหนึ่งองค์เทพที่ไม่รับควันธูป ท าลายพันธนาการ เดินท่องไปใน โลกมนุษย์
บนใบหน้าของหม่าขู่เสวียนถูกแสงสีทองและสีหิมะสาดสะท้อน ให้เปล่งประกายมีชีวิตชีวา ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังสนามรบที่ ราวกับว่าเบื้องหน้าของผู้ฝึ กยุทธไร ้ศัตรูทัดเทียม เพียงแค่ ประจัญหน้ากับสวรรค์เท่านั้น
การปล่อยเวทคาถานับพันนับหมื่นออกไปของคนบนภูเขา ทา ให้คนเวียนหัวตาลายแม้จะน่ามองก็จริงอยู่ แต่ในสายตาของหม่าขู่ เสวียนแล้วกลับดูเหมือนว่าจะไม่สะใจได้เท่าสองหมัด
แรกเริ่มที่เขาเข้าใกล้อวี่สืออู้ก็เพราะมีจุดประสงค์ แต่น่าเสียดาย ที่สุดท้ายแล้วมิอาจตัดใจลงมือกับสหายผู้นี้แล้วเป็ นนกพิราบยึดรัง
นกกางเขน ยืมศพคืนวิญญาณได้ลง
หม่าขู่เสวียนอดเอ่ยอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ว่า “เป็ นตัวประหลาด จริงๆ”
โจวมี่กล่าว “ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ผู้ฝึกยุทธ ในยุคสมัยเดียวกันที่สามารถเลื่อนสู่ขั้นเทพมาเยือนได้มีน้อยนิด เท่านั้น โอกาสที่สองฝ่ ายจะเผชิญหน้ากัน และจานวนครั้งที่จะถาม หมัดกันก็ยิ่งมีน้อยมากกว่า”
หม่าขู่เสวียนกล่าว “หากลองเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ เดียวกัน ต่อให้พลังการต่อสู้บนหน้ากระดาษเท่าเทียมกัน เผชิญหน้า กับบ่อสายฟ้ าเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีทางเดินได้อย่างผ่อนคลายเช่นเขา”
โจวมี่เอ่ย “คือความเยือกเย็น”
การด ารงอยู่ของทัณฑ์สวรรค์ นอกจากจะถูกผู้ฝึกตนมองเป็ น ด่านที่ยากและอันตรายถือเป็ นเคราะห์กรรมในชะตาที่ยากจะ หลีกเลี่ยงได้พ้น ความน่าหวาดกลัวของความอันตรายที่ต้องเผชิญ นั้น พูดถึงแค่ผู้ฝึ กตนในประวัติศาสตร ์ที่มิอาจหลุดพ้นจากทัณฑ์
สวรรค์ ได้แต่สละร่างไปจากโลกนี้ ก็มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู ้ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลในส่วนที่ลึกยิ่งกว่า เมื่อทัณฑ์สวรรค์หล่นร่วง ลงบนพื้นจะสามารถลดทอนคุณูปการ สะบั้นผลกรรมในโลกโลกีย์ได้ ด้วย
หากฝึกปรือวิชาความรู ้ได้ไม่ถึงแก่น ตกอยู่ในสภาพที่ต้องกาย ดับมรรคาสลาย ก็เป็ นแค่ของที่กลับคืนสู่เจ้าของเท่านั้น แต่หากข้าม ผ่านหายนะไปได้ส าเร็จก็จะเป็ นผลประโยชน์ต่อมหามรรคา สามารถ ช่วยให้จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกบาเพ็ญตนที่หลุดพ้นจากเคราะห์กรรม ใสกระจ่าง เรือนกายไม่แปดเปื้อนฝุ่ นธุลี หาไม่แล้วทาไมผู้ที่บรรลุ มรรคาที่ถ่ายทอดความลับสวรรค์จะต้องพูดกันปากเปียกปากแฉะว่า พิถีพิถันในเรื่องที่ว่าต้องรอให้บุญกุศลครบถ้วนบารมีถึงพร ้อม ถึงจะ พิสูจน์มรรคาแก้เคราะห์กรรม ถึงจะมีโอกาสบรรลุมรรคาเป็ นเฟย เซียน
แต่หากจะบอกว่าเป็ นทัณฑ์สวรรค์ที่มนุษย์สร ้างขึ้นมา นั่นก็จะมี ความต่างราวฟ้ ากับดินแล้ว หากไม่ทันระวังก็จะถูกทัณฑ์สวรรค์ห้า อสนีเฉือนสามบุปผา (หมายถึงจิงขี่เงิน พลังชีวิต พลังฟ้ าและจิต วิญญาณ) เหนือศีรษะ ดับห้าลมปราณในร่างมนุษย์ที่มารวมตัวกัน อย่างไม่ง่ายทิ้งไป
สิ่งที่หม่าขู่เสวียนต้องทาก็คือให้อื่นกวานหนุ่ม เจ้าขุนเขาของ ภูเขาถั่วทั่วที่สร ้างวีรกรรมเอาไว้ไม่น้อย ถูกสะบั้นการกระทาคาพูด
และคุณูปการจนหมดสิ้น สูญเสียการปกป้ องบางอย่างที่ราวกับเป็ น บัญชาจากสวรรค์ซึ่งมองไม่เห็นทิ้งไป
การกระทาเช่นนี้จะสามารถพลิกกลับสถานการณ์ ทาให้เฉินผิง อันสูญเสีย “ฟ้ าอ านวยไปชั่วคราว ไม่ต้องสนว่าเจ้าจะอาศัยกระบี่บิน หรือวิธีการอะไร นับแต่นี้คนเป็ นแขกจะกลายเป็ นเจ้าบ้าน ข้าก็จะท า
ตามอย่าง เปลี่ยนจากแขกกลายเป็ นเจ้าบ้าน
นอกจากนี้หม่าขู่เสวียนยังคิดไปถึงผลประโยชน์ที่อัศจรรย์ มากกว่านั้น
หม่าขู่เสวียนจ้องนิ่งไปที่เจ้าหมอนั่น พึมพาว่า “สะบั้นบุญกุศล ของเจ้า ไม่ต้องตลอดกาล แค่ชั่วครู่ชั่วยามก็พอ”
เมื่อคนคนหนึ่งบุญกุศลสลายสิ้นก็จะกลายมาเป็ นผีห่อเหี่ยวที่ โชคไม่เข้าข้าง ค าโบราณกล่าวไว้ว่าหากดวงแข็งคนก็รังแกผีได้ หากดวงซวยผีก็จะเล่นงานคน ก็คือหลักการเหตุผลข้อนี้
ทาไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าในทุกวันนี้ถึงยินดีจะเคารพ คนบางคนที่ข้ามผ่านดินแดนเข้ามา? บ้างก็ปรากฏตัวมาส่งอย่าง นอบน้อม ไม่ก็คอยปกป้ องอย่างลับๆ? แล้วท าไมศาลเทพอภิบาล เมืองในโลกมนุษย์ถึงจะต้องมีสมุดเฉพาะเล่มหนึ่งที่ใช ้บันทึกชื่อด้วย หมึกสีชาด
ทุกอย่างล้วนเกิดจากบุคบรรพกาล หลี่เซิ่งเคยทาการแก้ไขระบบ ครั้งหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็มีการกาหนด “เงื่อนไขฟ้ า” ใหม่ข้อหนึ่ง ผู้ฝึก
ลมปราณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้า ผู้ที่สร ้างคุณความชอบ ให้แก่ปวงประชาจะได้ยกระดับภูมิธรรมสูงขึ้น
บุญกุศลของโลกมนุษย์แบ่งแยกหยินหยาง แล้วอะไรคือบุญลับ? ประหนึ่งเสียงที่ดังอยู่ในหู ตัวเองได้ยินเพียงผู้เดียว คนอื่นมิอาจรู ้เห็น มักมีคาตักเตือนอยู่เสมอว่า ความมั่งคั่งมีเกียรติยศและชื่อเสียง ยังสู้ การสั่งสมบุญลับมิได้ คาว่าปลูกคาเดียวก็แพร่งพรายความลับสวรรค์ แผ่นดินหัวใจก็คือนาบุญ ผืนนารกร ้างว่างเปล่า แหล่งน้าแห้งขอด จะ เอาผลเก็บเกี่ยวประจาปี มาจากไหน นี่ไม่ใช่คาพูดเลื่อนลอยที่ “หลอกคน” ให้ทาความดีอะไรทั้งนั้น พูดถึงแค่เส้นสายบางเส้นของ ลัทธิเต๋า การรับลูกศิษย์การถ่ายทอดความรู ้เข้มงวดอย่างมากท าไม ถึงต้องการให้ลูกศิษย์ในสานักมีครบถ้วนทั้งบุญกุศลสามพันประการ และการประพฤติดีแปดร ้อยประการ?
มนุษย์มีใจใฝ่ หามรรคา มีปณิธานแห่งการกลายเป็ นเซียน มี ปรารถนาที่พุ่งทะยานฟ้ าแต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทาได้ด้วยตัวเอง ต้อง อาศัยดวงด้วย
มนุษย์ธรรมดาที่อยู่ในตลาด พบเจอกับผู้สูงศักดิ์บนเส้นทางของ ชีวิตยังไม่ยอมให้คลาดผ่านกันไป ถ้าอย่างนั้นโชควาสนาที่มาอยู่ใน มือนี้ เป็ นทั้งกาลังคน เป็ นทั้งความมานะพยายามของตัวเอง แล้วก็มี บุพเพวาสนาซ่อนลึกอยู่ข้างในด้วย
เก็บเงินและทองจากในผืนนาของบ้านตัวเอง หากสามารถขยับ ขยายให้กว้างขึ้นเปลี่ยนผืนนาของตัวเองให้กลายไปเป็ นฟ้ าดินทั้ง แห่ง ก็คือการฝึกบ าเพ็ญตน
โจวมี่พลันเอ่ยว่า “บุญกุศลบนร่างของเฉินผิงอันมีน้อยเกินไป จริงๆ ต่ากว่าที่ประมาณการณ์ไว้มากนัก เรียกได้ว่าต่าจนไร ้เหตุผล คาดว่าเขาคงเจอเรื่องอะไรมาถึงได้เป็ นฝ่ ายสลาย…มรรคาไปก่อน แล้ว”
สีหน้าของหม่าขู่เสวียนไม่ยี่หระ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็ นไร บุญกุศล บนร่างของเขาจะมากหรือน้อย ถึงอย่างไรก็ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ ใหญ่ ข้าแค่ต้องการผลลัพธ ์ที่สะใจ วิธีการที่ลดทอนสามบุปผาตัดห้า ลมปราณนี้ มากไปไม่ถอย น้อยไปต้องเสริม กระแทกให้ชะตากรรม บนร่างของเขาเกิดรูโหว่ได้แล้วก็ลองดูสิว่าเขาจะเอาอะไรมาชดเชย ช่องโหว่นั้นได้อีก”
หม่าขู่เสวียนลุกขึ้นยืน “ใช ้ได้แล้ว”
บ่อสายฟ้ าที่ลอยสูงอยู่บนนภากาศประหนึ่งทะเลสาบใหญ่ยักษ์ “ผิวน้า” ได้ลดระดับลงไปจนเหลือแค่ชั้นบางๆ แล้ว อย่างมากสุดก็ น่าจะประคองวงจรของอสนีสวรรค์ห้าธาตุได้อีกไม่กี่รอบเท่านั้น
โจวมี่พยักหน้า “อัญเชิญโองการ”
หม่าขู่เสวียนไม่กล้าประมาท ใช ้เสียงในใจพูดคุยไปสองสาม ประโยค
มหาสมุทรความรู ้โจวมี่ผู้นี้ก็รับคาบัญชา ร่ายวิชาอภินิหารที่ “โจวมี่ร่างจริง” ไม่เคยมีโอกาสได้เอามาใช ้บนสนามรบของโลก มนุษย์ออกมา
ไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันได้พักหายใจหายคอก็มีวิชาอภินิหาร บทหนึ่งที่ไร ้ร่องรอยให้ตามหาแนบไปบนร่างของเขา พริบตานั้นเรือน กายของเฉินผิงอันก็หนักอึ้ง พื้นดินยุบลงไปเป็ นหลุมขนาดใหญ่ยักษ์ มีใยแมงมุมถักถี่หนา
ผู้ฝึ กยุทธเต็มตัว มีเพียงถึงขั้นเทพมาเยือนของขอบเขต ปลายทางเท่านั้นถึงจะไม่จาเป็ นต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ และนี่ก็คือ เหตุผลที่ว่าทาไมเป็ นขอบเขตปลายทางเหมือนกัน แต่ต่างกันเพียง หนึ่งขั้นก็ยังต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน
เดิมทีผลกรรมก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความดีและความเลวอยู่ แล้ว แต่เพียงแค่เพราะผลกรรมจะนาพาผลกระทบที่มีทั้งข้อดีและ ข้อเสียต่างกันไปมาให้ ถ้าอย่างนั้นคนผู้หนึ่งโชควาสนามากหรือ น้อย ชะตากรรมตื้นหรือลึก บุญกุศลสมบูรณ์หรือขาดตกบกพร่อง ความโชคดีเข้มข้นหรือเจือจาง ก็จะเกิดการ ‘สร ้างโครง” ขึ้นมา ถัก ทอกันเป็ นผืน แต่ละด้านมีเพิ่มมีลด คอยลดทอนกันและกัน สุดท้าย จะหยุดนิ่งอยู่บนเส้นมาตรฐานบางเส้น ราวกับว่าได้กลายมาเป็ น “โฉมหน้าในปัจจุบัน” ของคนคนหนึ่งที่หมอดูโหงวเฮ้งมองเห็น
เฉินผิงอันที่ออกหมัดอย่างผ่อนคลายก้าวเดินอย่างไม่สะทก สะท้านขมวดคิ้ว พริบตานั้นก็พลันสะบัดไหล่ คล้ายกับต้องการจะ สลัดสิ่งที่แนบอยู่บนร่างให้หลุดออกไป
เพียงแต่ว่าการกระทาเช่นนี้กลับก่อให้เกิดลมพายุพัดกระโชก ประหนึ่งสายฟ้ าที่กลิ้งตลบอยู่บนพื้นดิน ทาให้หลุมใหญ่ขยายขนาด ไปจากเดิมอีกหลายเท่า ในรัศมีหลายสิบลี้แทบจะกลายเป็ นพื้นที่ ราบเรียบทั้งหมด
ส่วนอสนีสวรรค์พวกนั้นกลับถูกเฉินผิงอันตบให้สลายไปได้ อย่างไม่เจ็บไม่คัน
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ เงยหน้ามองหม่าขู่เสวียนที่ขยับ
เท้ามาอยู่ ริมหน้าผา
ข้างหูมีเสียงหัวเราะของหม่าขู่เสวียนดังลอยมา “รับเอาไว้”
หม่าขู่เสวียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าชีวิตนี้เจ้าขุนเขาเฉิน ชอบเป็ นคนดีใช ้เหตุผลมากที่สุดไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็จะให้เจ้าได้ รู ้หลักการเหตุผลว่าอะไรที่เรียกว่าเป็ นคนดีก็มีราคาที่ต้องจ่ายอย่าง แท้จริง”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ประโยคนี้ข้าชอบฟัง ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ โม้ ไม่เสียแรงที่เป็ นคนร่วมเส้นทาง เป็ นคนรู ้ใจกัน”
หม่าขู่เสวียนชี้ไปที่ไหล่ของเฉินผิงอัน “คนเหนือคนทุกคนล้วน เป็ นคนที่แบกผี บนหลังล้วนแบกผีเอาไว้กันทั้งนั้น”
“ข้าก็แค่แสดงมันออกมาเท่านั้น ก่อนหน้านี้บุญกุศลของเจ้า สมบูรณ์พร ้อม แน่นอนว่าต้องสัมผัสไม่ได้ถึงความประหลาดส่วนนี้ หากเป็ นในตลาดของหมู่ชาวบ้านก็จะมีคากล่าวที่บอกว่า คนที่ขาด ปราณหยางไป ต้นคอจะเย็นวาบ รู ้สึกเสียวสันหลังเหมือนมีอะไรตาม อยู่ด้านหลัง ไม่รู ้ว่าเป็ นคนหรือเป็ นผี ใช่ไหม?”
“เคยท่องยุทธภพ มือเปื้อนเลือดคนนับไม่ถ้วน ตอนนี้กระดูกยัง แข็งแรง กลิ่นอายดุร ้ายเข้มข้น ก็ยังไม่เท่าไร รอวันใดแก่ชราเรี่ยวแรง ถดถอยแล้วคอยดูเถิดว่าจะเป็ นสภาพการณ์แบบใด เหอะ ท่องอยู่ใน ยุทธภพ ไฉนปากถึงเอาแต่พร่าพูดว่าภัยไม่ลามไปถึงครอบครัว แต่ ดันล้างมือในอ่างทองคาเพื่อออกจากวงการ คนที่เป็ นขุนนาง ทาไม ถึงได้กลัวจะเดือดร ้อนให้คนในครอบครัวโดนยึดทรัพย์ตรวจค้นบ้าน นี่ก็เพราะกลัวผลไม่รู ้กรรม”
“คนที่ตายด้วยน้ามือเจ้าโดยตรง คนที่ตายด้วยน้ามือเจ้า ทางอ้อม ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวไปหยุดเท้าอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน มาพักประจาอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ไม่ว่าพวกเขาจะ สมควรตาย ตายเพราะถูกใส่ร ้าย ผีและภูต เผ่าปีศาจและองค์เทพ เอา เป็ นว่าตอนนี้ล้วนขี่อยู่บนหลังของเจ้าทั้งหมดแล้ว”
เข่าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันงอลงเล็กน้อยจริงๆ เรือนกายโค้ง โก่ง เผยให้เห็นท่วงท่าของคนที่แบกรับภาระหนักจนเกือบมิอาจ ต้านทาน ท่าทางเช่นนี้ต้องไม่ใช่การเสแสร ้งแกล้งท าแน่นอน
หม่าขู่เสวียนยิ้มถาม “เจ้าเคยเห็นความยากลาบากของอาชีพ ลูกหาบยามที่ต้องปืนขึ้นเขาไหม? ก็คืออาชีพงานหนักที่ต้องคอย แบกข้าวของเดินไปบนเส้นทางภูเขาที่เหมือนเส้นทางงูเลื้อย ข้ารู ้สึก ว่าตอนนี้เจ้าไม่ต่างจากพวกเขาสักเท่าไร”
เฉินผิงอันย้อนถามด้วยน้าเสียงเรียบเฉยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคย
| เห็นสตรีที่เป็ นลูกหาบหรือไม่?” หม่าขู่เสวียนอึ้งตะลึง |
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าเคยเห็น รู ้ว่าพวกนางใช ้เปลือกหน่อไม้ อย่างไรไหม?”
หม่าขู่เสวียนอึ้งงันไร ้คาพูด ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด “ให้ ข้าได้ฝืนใจเอ่ยประโยคภาษาคนอย่างที่หาได้ยากสักคา เฉินผิงอัน เจ้าไม่ควรมองความยากลาบากของคนอื่นที่อยู่บนโลกใบนี้สาคัญ ขนาดนี้”
โจวมี่เอ่ยเตือน “ไม่ต้องมัวถ่วงเวลาแล้ว”
หม่าขู่เสวียนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ต่อได้เลย รวบรวมให้ครบ สามกระบวนท่า”
เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดยื่นฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมา เห็นได้ชัดว่าต้องการบอกเป็ นนัยแก่หม่าขู่เสวียนว่าไม่ต้องเกรงใจ เชิญแสดงฝีมือมาได้เลย
โจวมี่พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หม่าขู่เสวียนถามอย่างสงสัย “สร ้างไม่ออกหรือ? มีการท านาย ได้ล่วงหน้าของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ถึงได้ช่วยสร ้างยันต์คุ้มกันกาย บางประเภทให้กับเฉินผิงอันไว้นานแล้ว?”
โจวมี่ส่ายหน้า “ประหลาดกว่านั้นเสียอีก”
“อันดับแรกคือใช้ก าลังคนสร้างทัณฑ์สวรรค์ แล้วค่อยใช้เวทลับ ส าแดงผลกรรม ท าไมต่อจากนี้ก็จะสร ้างจิตมารจาลองของผู้ฝึกตน ขึ้นมาด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันหัวเราะหยัน “หากเป็ นเช่นนี้จริงก็เป็ นอย่างที่ข้า คาดการณ์ไว้ ถ้าอย่างนั้นสามกระบวนท่านี้ของเจ้าก็ธรรมดามาก จริงๆ เซียนเหรินทั่วไป ไม่แน่เสมอไปว่าจะรับได้ไหว”
เท่ากับว่าหม่าขู่เสวียนยังไม่ทันได้ลงมือ เซียนเหรินที่เป็ นศัตรูกับ เขาก็น่าจะไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บแล้ว
ม่านฟ้ าที่เดิมทีเป็ นสีดามืดสนิทถูกเส้นเส้นหนึ่งแหวกผ่า เกิด เป็ นรูโหว่รูหนึ่ง แสงสีทองเปล่งวาบก็มีแสงกระบี่พร่างพราวเส้นหนึ่ง พุ่งตรงลงมา
จุดที่ปลายกระบี่ชี้ไป ไม่ใช่ที่อื่นใด แต่เป็ นที่ตัวของเฉินผิงอัน ไม่ฟันวัตถุอย่างอื่น เพียงฟันตัวเอง
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดหลุดจากร่างไปด้วยตัวเอง แล้วพุ่งน าไป ยังที่แห่งอื่นก่อน
คนชุดเขียวผู้หนึ่งสะพายกระบี่เดินออกไปจากศาลบรรพชนสกุล หม่า มายังฟ้ าดินแห่งนี้ “ในที่สุดก็ได้พบกันแล้ว”
ยืนอยู่ที่เดิม กางสองมือออก ชุดคลุมอาคมสีแดงสดตัวนั้นก็สวม
ไปบนร่างของเขาด้วยตัวเองอีกครั้ง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ธรรมดาเลย ถึงกับสามารถบีบให้ ร่างจริงของข้ามาพบหน้าที่นี่ได้”