World of Warcraft ราชันต่างภพ - ตอนที่ 18
ฉึก! ฉึก! ฉึก! อ๊ากกกก!
ลูกธนูกว่า 200 ร้อยดอกแหวกฝ่าอากาศลงมาจากฟากฟ้า และตกสู่เบื้องล่างที่มีกองทัพของแคร์รี่อยู่
พลธนูเอลฟ์ที่อยู่ด้านหลังก้าวขึ้นหน้ามา พวกเขาสลับแถวอย่างรวดเร็วและเริ่มง้างธนูขึ้นยิงอีกครั้ง
อัตราเข้าเป้านั้นสูงถึง 70% ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ศัตรูเกือบ 200 คน ก็ถูกสังหาร
พลธนูยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ดังนั้นความแม่นยำของการโจมตีเข้าจุดตายจึงไม่สูงนัก ทว่าพวกเขาจะสามารถเรียนรู้ทักษะเพิ่มได้เมื่อมีระดับที่เพิ่มขึ้น
พลธนูเอลฟ์จะสามารถใช้ทักษะ 3 ทักษะโดยอัตโนมัติเมื่อระดับของพวกเขาเพิ่มขึ้น พวกเขาจะสามารถใช้ทักษะ ‘ยิงอย่างแม่นยำ’ ได้โดยอัตโนมัติเมื่อพวกเขาขึ้นไปถึงระดับที่ 3 อัตราการเข้าเป้าและความรุนแรงของลูกธนูแต่ละลูกจะก้าวกระโดดอย่างมากเมื่อไปถึงจุดนั้น พลธนูเอลฟ์จะสามารถใช้ทักษะ ‘ลูกศรกระจาย’ ได้ทันทีที่พวกเขาไปถึงระดับที่ 6 ด้วยทักษะนี้พวกเขาจะสามารถยิงได้ราว 3 – 7 ดอกในแต่การโจมตี และที่ระดับ 10 พลธนูเอลฟ์จะสามารถเรียนทักษะ ‘ผู้พิทักษ์แห่งจันทรา’ ได้ ทักษะนี้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและอัตราการยิงที่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การโจมตีจะไม่ถูกจำกัดเฉพาะทางกายภาพเท่านั้น แต่มันจะเป็นการโจมตีทางเวทย์มนต์อีกด้วย
หากว่าพลธนูเอลฟ์สามารถทะลุผ่านระดับที่ 10 มาระดับที่ 11 ได้ล่ะก็ เมื่อนั้นพวกเขาก็จะกลายมาเป็นฮีโร่ หลังจากนั้นพลธนูอาจเติบโตไปได้อีกและเรียนรู้ทักษะต่างๆเฉกเช่นทิรันด้า
นักรบออร์คก็มีความสามารถเช่นกัน พวกมันจะได้เรียนรู้ทักษะที่เรียกว่า ‘คลุ้มคลั่ง’ เมื่อถึงระดับที่ 3 ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังโจมตีของพวกมันขึ้นอีก 50% อย่างไรก็ตาม ออร์คบางตัวอาจจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปและรู้เพียงแค่การโจมตีเพียงอย่างเดียวจนกว่าผลของคลุ้มคลั่งจะหมดไป พวกมันจะได้เรียนรู้ทักษะที่เรียกว่า ‘ผ่าร่าง’ เมื่อถึงระดับ 6 ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มช่วงพลังโจมตีและความรุนแรงจากอาวุธของพวกมัน นี่เป็นทักษะที่เหมาะสมสำหรับการสู้รบระยะประชิดอย่างมาก และที่ระดับ 10 นักรบออร์คจะได้เรียนรู้ทักษะการโจมตีที่จะโจมตีอย่างรวดเร็วสองครั้งได้ และหากพวกมันสามารถไปถึงระดับที่ 11 พวกมันก็จะกลายเป็นฮีโร่เช่นเดียวกัน พวกมันอาจเลือกตามรอยเบรดมาสเตอร์ ทูเรนชีฟ หรือฮีโร่ตัวอื่นๆ
การตายของทหาร 200 คนไม่เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนกองทัพของแครี่ได้ พวกเขามีทหารมากถึง 5000 คน เพียง 200 คน นั้นเป็นแค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของกองทัพเท่านั้น
วินาทีถัดมาเสียงน้าวธนูก็ดังขึ้นอีกครั้ง และส่งทหารอีก 150 นายให้กลายเป็นศพ ที่ระลอกที่สองนี้ไม่สามารถสังหารได้เท่ากับระลอกแรกเป็นเพราะอีกฝ่ายมีการเตรียมพร้อมขึ้นแล้ว ทหารบางคนของฝ่ายศัตรูตั้งโล่ขึ้นบัง ในขณะที่บางส่วนรอดพ้นและบางส่วนตกตาย ทว่าอัตราความแม่นยำนี้ก็ยังสูงเป็นอย่างมากสำหรับมนุษย์ทั่วไป
ผู้บัญชาการกองทัพของแคร์รี่ตะโกนเร่งทหารให้วิ่งไปข้างหน้า
ตามความเข้าใจของพวกเขา ในเมืองไลอ้อนนั้นมีทหารเพียงหยิบมือเดียว แล้วพวกเขาไปหาพลธนูชั้นยอดเหล่านี้มาจากที่ใดกัน? เซียวอวี๋ว่าจ้างพวกทหารรับจ้างงั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นเมืองไลอ้อนเอาเงินมากขนาดนั้นมาจากที่ใด? ไม่ใช่ว่าพวกมันกำลังถังแตกอยู่หรอกรึ?
พลธนูพวกนั้นแม่นยำเป็นอย่างมาก แต่ผู้บัญชาการกองทัพของแคร์รี่ก็ไม่สามารถออกคำสั่งถอยทัพได้ หากสภาวะบุกถูกลดทอนลง พวกเขาจะเกิดการสูญเสียมากยิ่งกว่านี้ พวกเขาทำได้เพียงบุกโจมตีไปข้างหน้าและเข้าประชิดกำแพงเมืองให้ได้เท่านั้น หากพวกเขาเริ่มพาดบันไดเมฆและส่งคนปืนขึ้นไปได้ล่ะก็ บทบาทของพลธนูจะถูกลดลงทันทีเมื่อต้องต่อสู้ในระยะประชิด
หัวหน้าทหารฮุ่ยกลายเป็นประหลาดใจ เมื่อเขามองดูเหล่าพลธนูทั้ง 200 นาย
ฝ่ายศัตรูบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากจากการยิงของพวกเขา นั่นทำให้เขาเริ่มกลับมามีความมั่นใจขึ้นเล็กน้อย
“ต้านทานพวกมันเอาไว้! อย่าให้พวกมันขึ้นมาได้!” หัวหน้าทหารฮุ่ยสั่งการทหารทั้ง 400 นาย และให้พวกเขาโจมตีศัตรูที่ปืนกำแพงขึ้นมา
เสียงน้าวคันธนูยังดังขึ้นเป็นระยะราวกับว่ามันเป็นทำนองของสงครามในครั้งนี้ พวกทหารฝ่ายแคร์รี่ยังคงร่วงหล่นไปอย่างต่อเนื่อง มีซากศพกระจัดกระจายกลาดเกลื่อน
แต่มีบางคนที่สามารถปีนขึ้นมาได้สำเร็จ เหล่าทหารยังคงผลักดันบันไดออกไปไม่หยุด ในตอนนี้กองทัพของแครี่ได้สูญเสียทหารไปมากกว่า 800 คนเข้าไปแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างมากเนื่องจากสงครามพึ่งผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
พลธนูยังคงยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเมื่อศัตรูเข้ามาในระยะใกล้ นั่นเป็นผลให้กองทัพฝั่งศัตรูเริ่มปืนขึ้นกำแพงมาได้มากขึ้น
เมื่อทหารของข้าศึกมาถึงกำแพง บทบาทของพลธนูก็ถูกลดลงไปอย่างมาก
บทบาทที่สำคัญที่สุดของพลธนูคือ ช่วงเริ่มสงคราม ทว่านั่นกลับเป็นเพียงระยะเวลาช่วงสั้นๆเท่านั้น
“พวกมันไปหาพลธนูเหล่านี้มาจากที่ไหน?” แคร์รี่มองเห็นการแสดงออกที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียกำลังพลไปเกือบ 20% ก็ตาม เขายังคงสั่งกองทัพบุกไปข้างหน้า แต่พลธนูที่กระจัดกระจายอยู่บนกำแพงนั้นเป็นขวากหนามชิ้นใหญ่ที่ขวางทางของเขาเอาไว้
เขาคิดว่าเซียวอวี๋จะไม่สามารถรวบรวมกองทัพมาได้และจะยอมคุกเข่าให้เขาแต่โดยดี
แคร์รี่ได้นำผู้ใช้มนตราและเครื่องยิงหินมาด้วย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้มีแผนการที่จะใช้มันในศึกครั้งนี้ ที่เขานำมาก็เพียงเพื่อประกาศศักดา
ทว่าช่วงเริ่มต้นของสงครามมันได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง
ถึงกระนั้น แครี่ก็ไม่ได้เป็นกังวลใดๆ เขาทราบว่าเซียวอวี๋มีกำลังพลอยู่ไม่ถึง 1000 คนเสียด้วยซ้ำ มันจะไม่มีปัญหาใดๆในเมื่อฝั่งของเขามีทหารถึง 5000 คน ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงผู้ใช้มนตราและเครื่องยิงหิน
มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของแคร์รี่ขณะที่มองดูทหารของเขาปืนขึ้นไปบนกำแพงได้สำเร็จ ตราบเท่าที่เขาสามารถช่วงชิงกำแพงเมืองมาได้ เมืองไลอ้อนก็จะตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างแน่นอน
ย๊ากกกกก!
เสียงคำรามที่รุนแรงดังสะท้อนขึ้นจากด้านบนของกำแพง
นักรบที่สวมผ้าคลุมสีดำ 200 นายวิ่งขึ้นมาบนกำแพง พวกเขาลงมือโจมตีพวกทหารที่ปืนขึ้นมาทันที การโจมตีจากนักรบใต้ผ้าคลุมสีดำส่งพวกทหารลอยกระเด็นไปในอากาศ
พวกทหารที่ปืนกำแพงขึ้นมาต่างต้องเผชิญกับนักรบที่ป่าเถื่อนเหล่านี้ พวกเขาต่างทราบว่ามันไม่มีทางถอยใดๆอีกเนื่องจากด้านล่างของพวกเขายังคงมีทหารฝ่ายเดียวกันปืนหนุนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากชะงักเล็กน้อยพวกเขาก็กัดฟันปืนบันไดต่อไป
แต่สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ก็คือ คมขวานขนาดยักษ์ ทันทีที่พวกเขาเหยียบลงบนกำแพง ขวานก็จะถูกเหวี่ยงเข้าหาพวกเขาทันที มีบางคนถูกผ่าทั้งโล่และร่างกายไปพร้อมๆกัน
กำแพงของเมืองไลอ้อนทอดยาวไปตลอดแนว มันมีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ดังนั้นพวกนักรบออร์คจึงกระจายกำลังเฝ้ากำแพงเป็นระยะ เหล่านักรบออร์คยังคงสับร่างของศัตรูที่ปืนบันไดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจัดการพวกทหารที่ปืนขึ้นมาทีละคน ซึ่งนั่นทำให้กองทัพฝ่ายเมืองไลอ้อนยังคงได้เปรียบอยู่ กองทัพของแคร์รี่ยังคงปืนขึ้นไปไม่หยุดหย่อน แต่มันก็ยังไม่อาจเปลี่ยนกระแสของสงครามได้
เพียงแค่การปรากฏตัวของพลธนูก็ทำให้แคร์รี่ประหลาดใจมากอยู่แล้ว แต่การปรากฏตัวของนักรบในผ้าคลุมดำเหล่านั้นกลับทำให้เขาอ้าปากค้าง
เขาไม่อาจทราบได้ว่านักรบภายใต้ผ้าคลุมเหล่านั้นล้วนเป็นออร์ค เขาคิดเพียงว่า เหล่านักรบพวกนั้นเพียงแค่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป
ผู้บัญชาการกองทัพของแคร์รี่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้าย ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างหน้าเกลียดขณะมองดูศพของทหารฝ่ายเขาร่วงลงมาจากกำแพงแทบจะทุกชั่วลมหายใจ
แม้ว่าจะมีบันไดมากมายกระจายพาดอยู่ตามแนวกำแพง แต่ในตอนนี้ยังไม่มีทหารแม้สักคนเดียวที่สามารถยืดหยัดอยู่บนนั้นได้
พลธนูก็ยังคงน้าวคันศรอย่างไม่หยุดยั้ง ลูกธนูถูกยิงออกมาตลอดเวลา แม้ว่าพวกทหารจะยกโล่ขึ้นป้องกันแต่เมื่อเวลาผ่านไปศพก็กองสุมทับกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นเวลาเพียงแค่ 10 นาทีนับตั้งแต่สงครามเปิดฉากขึ้นและเขาก็สูญเสียคนไปแล้วกว่า 1000 นาย ในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่มีทหารล้มลงแม้แต่คนเดียว
“เป็นกองทหารและพลธนูที่ยอดเยี่ยม มันป็นการยากที่จะปีนกำแพงขึ้นไปได้ ฉะนั้นเราจึงต้องมุ่งเน้นไปที่ประตูเมือง ฝ่ายเราจะสามารถพึ่งพาด้านจำนวนคนที่เหนือกว่าเข้าจัดการพวกมันได้หากว่าจัดการประตูเมืองนั่นลง” ผู้บัญชาการพึมพำอย่างครุ่นคิด
ในตอนแรกเขาเคยคิดว่าการใช้กองทัพถึง 5000 นายเข้าโจมตีนั้นก็เหมือนกับผู้ใหญ่รังแกเด็ก เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าผลลัพธ์จะออกมารูปแบบนี้
นอกจากนี้เขายังแน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเมื่อกลับไปเขาจะต้องได้รับโทษอย่างแน่นอน แม้ว่าในนามแล้วแคร์รี่จะเป็นผู้นำทัพ หากแต่ผู้บัญชาการก็เชื่อว่าแคร์รี่จะสามารถหาหนทางที่จะผลักดันความผิดทั้งหมดมาให้เขาได้
เขาหวังว่าเขาจะสามารถใช้รถตีเมืองทลายประตูเมืองลงและชนะสงครามในครั้งนี้ ด้วยวิธีนี้เขาอาจจะสามารถลดหย่อนโทษที่จะได้รับลงได้
ตูมม!
รถตีเมืองเคลื่อนตัวไปถึงประตูของเมืองไลอ้อนแล้ว ท่อนไม้ขนาดใหญ่กระทุ้งเข้ากับประตูในขณะที่ทหารโดยรอบรั้งไม้กลับและกระแทกซ้ำไปอีกครั้ง