ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 18 บทที่ 521 ยากที่จะรับมือ
เหตุการณ์เอะอะโวยวายในคราวนี้จึงจบลง
หนานรุ่ยส่งคนมาคอยจับตามองพวกเขาหลายคน
พวกลูกศิษย์แยกย้ายกันกลับไปแล้ว เหตุเพราะเฉียนอวี้หมิงไม่อยู่ ดังนั้นศพของตู้จ่งจึงถูกวางอยู่บนพื้น
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สลักสำคัญอีกต่อไปแล้ว
หลินเมิ้งหยาหันหลังกลับไปมองศพเขาอีกหนึ่งหน มิใช่เพราะความสงสาร แต่หากเขารู้ว่าตนเองกลายเป็นเครื่องมือของอาจารย์ เขาจะเสียใจหรือไม่?
แน่นอนว่าการถูกจับตามองย่อมส่งผลให้รู้สึกอึดอัดใจ แต่เพราะมีหลงเทียนอวี้อยู่ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงต้องปฏิบัติตนต่อพวกเขาด้วยความเกรงใจ
ตอนแรกคิดจะเข้าไปในเรือนด้วย แต่เมื่อเห็นสายตาของหลงเทียนอวี้ พวกเขาจึงหยุดอยู่ที่ประตูแต่เพียงเท่านั้น
อวี้อันคิดจะออกไปหาเรื่องพวกเขา แต่สุดท้ายกลับถูกหลินเมิ้งหยาห้ามไว้
“พวกเขาไม่มีค่าขนาดนั้น หากหลงเทียนอวี้ยังอยู่ พวกเขาย่อมไม่กล้าเข้ามา คิดเสียว่าพวกเขาเป็นสุนัขเฝ้าประตู เจ้าไม่จำเป็นต้องมีโทสะ”
หลินเมิ้งหยารู้ได้เลยว่าชื่อเสียงของหลงเทียนอวี้จะต้องถูกเล่าลือไปทั่วทั้งหอป๋ายเฉา
อวี้อันโทษตัวเองอยู่เสมอ เหตุเพราะเขาปล่อยให้ตู้จ่งมีโอกาสสร้างปัญหาเช่นนี้
ตอนนี้พวกหลินเมิ้งหยาถูกขังอยู่แต่ในเรือน ดังนั้นอวี้อันจึงคิดอยากทำอะไรเพื่อพวกเขาเป็นการชดเชย
มองเขาที่ก้มหน้าคอตก หลินเมิ้งหยายื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูอีกฝ่ายสองสามคำ
“พ่ะย่ะค่ะ หนู่ฉายจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
มองตามหลังอวี้อัน มุมปากหลินเมิ้งหยายกขึ้น
เวลาเพียงชั่วอึดใจต่อมา อวี้อันก็เริ่มส่งเสียงทะเลาะกับคนด้านนอก
“อวี้อันเป็นอะไรหรือไม่? เขาจะเสียเปรียบหรือเปล่า?”
จั่วชิวอวี้นั่งอยู่ในห้องรับแขก เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลินเมิ้งหยากลับส่ายหน้า อวี้อันเป็นคนฉลาดเฉลียว หากเรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ เช่นนั้นเขาคงไม่อาจอยู่รับใช้จั่วชิวเฉินมาได้นานถึงเพียงนี้
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแค่สั่งให้เขาไปหยิบของมาให้เท่านั้น จริงสิ ในกล่องใบนั้นยังมีของอย่างอื่นนอกจากกุญแจอีกใช่หรือไม่?”
แม้หลินเมิ้งหยาจะได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ของที่อยู่ภายใน นอกจากกุญแจดอกนั้นแล้ว ดูเหมือนจะยังมีกระดาษอีกหนึ่งแผ่นด้วย
จั่วชิวอวี้ได้ยินดังนั้นจึงตบศีรษะตัวเอง ก่อนจะหยิบกระดาษออกมาแล้วคลี่ออก
คิดไม่ถึงเลยว่ากระดาษที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเมื่อคลี่ออกแล้วจะใหญ่กว่ามือทั้งสองข้าง
แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงกระดาษแผ่นบางๆ จั่วชิวอวี้วางกระดาษลงบนโต๊ะ คนทั้งสามจึงระดมความคิดก้มอ่านเนื้อหาในกระดาษ
มีเพียงลายเส้นที่ไม่ใช่แผนที่หรือตัวอักษร
ทั้งสามจึงเกิดข้อสงสัยขึ้นมา
นี่มันคืออะไรกันแน่?
“นี่…แผนที่?”
จั่วชิวอวี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่มันเป็นเพียงลายเส้นสองสามเส้นเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใด
แม้แต่โครงร่างก็ไม่ใช่ เหมือนเป็นลายเส้นที่ถูกขีดเขียนขึ้นอย่างไม่ตั้งใจเท่านั้น
“หลงเทียนอวี้ พระองค์คิดว่าอย่างไรเพคะ?”
ท่ามกลางพวกเขาทั้งสาม หลงเทียนอวี้ย่อมมีความสามารถในการอ่านแผนที่มากที่สุด
หลงเทียนอวี้เพ่งสมาธิ แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า หากเขาบอกว่าไม่ใช่ เช่นนั้นก็คงไม่ใช่แผนที่
แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน หลินเมิ้งหยาจึงแสกนด้วยระบบเซินหนง
ถึงอย่างไรก็สามารถกักเก็บได้ในหน่วยความจำไม่จำกัด เช่นนั้นก็ควรป้องกันไว้มิใช่หรือ?
ทั้งสามก้มลงเพ่งพินิจอีกหลายจนกระดาษเกือบจะมีรูพรุน
แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็มิได้รับคำตอบอันใด
หลินเมิ้งหยาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลิกกระดาษกลับด้าน
แต่เมื่อกระดาษถูกแสงแดดส่องผ่าน ดวงตาของนางพลันเปล่งประกาย
นำกระดาษแผ่นนั้นยื่นเข้าหาแสงแดด คิดไม่ถึงเลยว่ากระดาษที่มีเพียงลายเส้นจะปรากฏตัวอักษรออกมา
“ได้รับกล่องปริศนา นำพาสู่หอป๋ายเฉา เหล่าคนรุ่นหลังจงจำ อย่าขัดคำสั่งสอน! หรงหวา”
หรงหวา? หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเคาะศีรษะตัวเอง
หรงหวาคือชื่อที่ถูกเขียนบนหน้าแรกของตำราชิงเจิงผู่มิใช่หรือ?
นางเอี้ยวหน้า ขณะที่กำลังจะถามว่าหรงหวาคือใคร จั่วชิวอวี้กลับมีท่าทางตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตา
“นี่…นี่คือผู้อาวุโสสูงสุดคนแรกของหอป๋ายเฉา! ที่แท้…ที่แท้ก็มีอยู่จริงๆ”
ผู้อาวุโสคนแรก? หลินเมิ้งหยาไตร่ตรองดูอีกครั้ง นี่เท่ากับว่าตำราชิงเจิงผู่ถูกเขียนขึ้นโดนผู้อาวุโสคนแรกของหอป๋ายเฉา?
แต่หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้
นอกจากหรงหวาแล้ว ในตำรายังมีชื่อของคนอีกมากมาย บางทีผู้อาวุโสหรงหวาอาจเป็นผู้ริเริ่ม จากนั้นคนรุ่นหลังจึงเขียนสืบต่อกันมา สุดท้ายตำราเล่มนี้จึงกลายเป็นตำราพิศวง
แต่หากเจอกล่องปริศนาก็จะสามารถขึ้นรับตำแหน่งในหอป๋ายเฉาได้ เช่นนั้นทำไมไม่พูดถึงตำรางชิงเจิงผู่เลยเล่า?
“ดียิ่งนัก หากมีของสิ่งนี้ ข้าก็ไม่กลัวกลอุบายของพวกเขาแล้ว”
จั่วชิวอวี้ดีใจกระโดดโลดเต้น เขามองกระดาษในมืออย่างหวงแหน ราวกับมันคือสาส์นจากสวรรค์
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา”
เมื่อเทียบกับจั่วชิวอวี้แล้ว หลินเมิ้งหยากลับคิดว่าต่อให้นี่เป็นของที่ผู้อาวุโสสูงสุดคนแรกทิ้งเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นไม่มีทางให้คุณค่า
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แม้หอป๋ายเฉาจะถูกสร้างโดยหรงหวา แต่เรื่องนี้ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว
ตอนนี้แม้แต่คนที่เขาเลือกก็ไม่เคารพเขาอีกต่อไป เช่นนั้นกระดาษแผ่นเดียวจะทำให้คนเหล่านั้นยอมรับในตัวจั่วชิวอวี้ได้อย่างไร
มิสู้เก็บเอาไว้ก่อนเพื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต
หลังจากตื่นเต้นดีใจจนพอประมาณแล้ว จั่วชิวอวี้หยักยิ้มขมขื่น ก่อนจะเก็บกระดาษกลับไป
เขาไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นย่อมรู้ดีว่าตอนนี้ของสิ่งนี้เป็นเพียงกระดาษเปล่าเท่านั้น
“ข้าคิดว่าซ่อนมันเอาไว้ก่อนเถิด จะได้ไม่มีใครบังเอิญพบมัน”
หลินเมิ้งหยาดึงหลงเทียนอวี้กลับไปยังห้องของตนเอง
หากมีเพียงจั่วชิวอวี้คนเดียวเท่านั้นที่รู้ที่ซ่อน เช่นนั้นก็จะยิ่งปลอดภัย
ทันทีที่กลับมาถึงห้อง หลินเมิ้งหยากดตัวหลงเทียนอวี้ให้นั่งลงบนเก้าอี้ มือซ้ายเอื้อมไปจับชีพจรของเขา
หลังจากนั่งเงียบเพื่อฟังชีพจร สุดท้ายนางจึงถอนหายใจ
“ทำไมพระองค์โง่เขลาเช่นนี้ หากเมื่อครู่ออกแรงมากไป พิษในร่างก็อาจจะกำเริบอีกก็ได้”
จ้องหน้าอีกฝ่ายพร้อมทั้งเอ่ยตำหนิ หลินเมิ้งหยาย่อมรู้ดีว่าเขาไม่อยากให้นางรู้สึกหมองใจ
แต่ที่นี่คือเมืองหลินเทียน หากพวกเขาคิดจะลงมือกับนาง เช่นนั้นพวกเขาควรดูกำลังของตนเองก่อน
เมื่อไหร่ที่จั่วชิวเฉินได้ครอบครองอำนาจของเมืองหลินเทียนอย่างแท้จริง วันนั้นนางคงมิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอีกต่อไป
แต่เขากลับบุ่มบ่ามเสียได้
“ข้าไม่เป็นไร เจ้ามิต้องกังวล”
ใบหน้าเย็นชาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
หลงเทียนอวี้ไม่พูดเปล่า เขาดึงร่างนางเข้าหาอ้อมกอด ทว่าริมฝีปากกลับเม้มแน่นเพราะไม่อยากเผยอาการไม่สู้ดีของเขาให้นางเห็น
ยาเซินเซียนซ่านกำเริบอีกครั้งแล้ว ตอนนี้เขากินยาที่หลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้ปรุงให้ แม้จะสามารถควบคุมอาการเอาไว้ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงเขาออกแรง ร่างกายจะเกิดความปรารถนาต่อยาเซินเซียนซ่านอีกครั้ง
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ ก่อนจะรีบหายาให้เขากิน
หลงเทียนอวี้พยายามควบคุมความต้องการในร่างกายตนเอง ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมได้
กว่าอาการของเขาจะสงบลง ใบหน้าก็มีเหงื่อผุดพราย
หลินเมิ้งหยารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อให้เขา
มองสีหน้าเป็นกังวลของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้ยิ้มน้อยๆ
เขาทำให้นางต้องเป็นห่วงอีกแล้ว
“ของสิ่งนี้รับมือยากกว่าที่ข้าคิด”
ตั้งแต่เกิดจนโต หลงเทียนอวี้ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดมาก่อน แต่ยาเซินเซียนซ่านเกือบทำให้การควบคุมตัวเองของเขาทั้งหมดพังทลายลง
ของที่น่ากลัวเช่นนี้มิควรนำมาใช่กับใครทั้งสิ้น
บางครั้งหลงเทียนอวี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจต้องถูกของสิ่งนี้ควบคุมไปตลอดชีวิต
“แต่พระองค์ทำได้ดีกว่าที่หม่อมฉันคิดเอาไว้มาก แม้ของสิ่งนี้จะน่ากลัว แต่พระองค์เก่งกว่ามาก ยอดเยี่ยมที่สุด สมแล้วที่เป็นฟู่จวินของหม่อมฉัน”
หลินเมิ้งหยาส่งยิ้มหวาน ดวงตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
ราวกับเด็กได้รับรางวัล หลงเทียนอวี้ที่เคยคิดว่าอาจไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
มุมปากที่กำลังเม้มแน่นเพราะความทรมานพลันยกขึ้นเพราะด้วยความปีติ
คำพูดของนางเพียงประโยคเดียวได้ผลดีกว่ายาครอบจักรวาลเสียอีก
“จริงสิ พระองค์ออกไปหาจั่วชิวอวี้เพื่อให้เขาช่วยตรวจอาการพระองค์ก่อนเถิด อีกเดี๋ยวหม่อมฉันจะตามออกไป”
เอ่ยปลอบเสียงเบา หลงเทียนอวี้เชื่อฟังนางเป็นอย่างดี
มองตามเขาที่เดินออกไปที่ห้องรับแขก รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเลือนหายไป
เดินกลับเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะหยิบยาขวดหนึ่งขึ้นมา
มองขวดยาชิงอวี้ หลินเมิ้งหยาจับมันกรอกปาก
นางรู้ดีว่าหลงเทียนอวี้ไม่อยากให้นางได้รับความเจ็บปวดอีก ดังนั้นเขาจึงคิดจะแอบทำลายยานี้
แต่หลินเมิ้งหยาซ่อนมันเอาไว้ก่อนแล้ว
เพียงหลงเทียนอวี้ออกแรงเล็กน้อย เขาก็แทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ แม้อาการของเขาเหมือนจะดีขึ้น แต่อันที่จริงเขามิต่างอันใดจากโคมไฟกระดาษ
นางไม่ลังเลเลยที่จะกินมันเข้าไป ก่อนจะซ่อนยาขวดนี้ไว้ใต้หมอน
ครู่ต่อมา ความเจ็บปวดที่แขนขวาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
พรวด
หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดปากจึงพ่นเลือดสีแดงสดออกมา
จากนั้นร่างบางจึงล้มลงพื้น ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท สติดับวูบ