คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 416 คุยโว
เผ่าพิภพวิ่งหนีไปแล้ว ส่วนจินเฟยเหยาและหวาหวั่นซีก็เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้านหลังม่านแสง ด้านในเป็นห้องกว้างสิบจั้ง บนพื้นเรียบลื่นเป็นประกายและเต็มไปด้วยลวดลายอันงดงาม ม ตรงกลางมีแท่นทรงกลมกว้างสามจั้ง บนแท่นทรงกลมก็มีลวดลายแบบเดียวกัน และยังมีจานกลมเล็กๆ สามใบจัดวางตรงตำแหน่งมุมสามมุม นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นๆ
ทว่าเพดานเหนือศีรษะเป็นภาพดวงดาราซึ่งใช้ศิลาวิญญาณฝังเป็นรูป ในห้องไม่มีสิ่งของจำพวกหินแสงราตรี อาศัยเพียงแสงสว่างจากพื้นก็สาดส่องทั่วห้องจนสว่างไสว
ใช้การรับรู้กวาดดูในห้องอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ไม่พบยาระดับสูง ไม่มีของวิเศษชั้นยอด ไม่มีวัตถุดิบชั้นเยี่ยม มีเพียงความว่างเปล่า เดินสองก้าวทั่วทั้งห้องก็มีเสียงฝีเท้าดังสะท้อ อน
“เข้าใจผิดไปหรือไม่ ไม่มีอะไรเลย แท่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกทิ้งสินะ” จินเฟยเหยาผิดหวังสุดขีด สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นะ ไม่มีแม้แต่กระดูกพันปีสักชิ้น ที่แบบนี้จะถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ ได้อย่างไร
หวาหวั่นซีเงยหน้าขึ้นเหลียวซ้ายแลขวา สายตาจับจ้องไปที่แท่นทรงกลมอันนั้น นางเดินเข้าไปใกล้ และมองพินิจแท่นทรงกลมอันนี้อย่างระแวดระวัง มองอยู่ครู่หนึ่ง นางพลันเอ่ยว่า “เฟย ยเหยา ลวดลายบนแท่นทรงกลมนี้เหมือนบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง เจ้ามาดูหน่อย”
“โอ๋? ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นกลไกเปิดคลังสมบัติใต้ดิน” พอจินเฟยเหยาได้ยินก็ตื่นเต้นรีบวิ่งมาทันที
“เจ้าคิดเสียเลิศหรู ข้ากลับรู้สึกว่าเหมือนวงเวทป้องกันบางอย่าง” หวาหวั่นซีเอ่ยพลางส่ายศีรษะ
“ข้าดูหน่อย” จินเฟยเหยาโผล่ศีรษะมาดู ลวดลายบนแท่นทรงกลมเหมือนวงเวทอยู่บ้างจริงๆ แต่ซับซ้อนเกินไป ขนาดวงเวทง่ายๆ นางยังดูไม่เข้าใจสักนิด ส่วนหวาหวั่นซีกลับชี้ในจานกลม มเล็กๆ ให้นางดูลวดลายในนั้นอย่างละเอียด
จินเฟยเหยาจ้องมองจานกลมเล็กๆ สามใบนี้ ใบหนึ่งในนั้นเป็นลวดลายหน่ออ่อนของต้นพืชเล็กๆ ส่วนอีกสองใบแบ่งเป็นภาพคลื่นสามระลอกและภาพเหมือนกองดินอันหนึ่ง
“เจ้าว่าสามภาพนี้เหมือนตัวแทนของน้ำ ดิน และพืชหรือไม่?” หวาหวั่นซีชี้รูปภาพพลางเอ่ยวาจา
“เหมือนอยู่บ้างจริงๆ แต่จะหมายถึงอะไร? หรือเจ้าคิดจะเปิดสิ่งที่เหมือนการป้องกันนี้?” จินเฟยเหยาลูบคางพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
หวาหวั่นซีเอียงศีรษะครุ่นคิด “บางทีเปิดสิ่งนี้แล้วอาจจะได้ประโยชน์ มิสู้พวกเราวางสิ่งเหล่านี้ลงในจานกลมตามบนภาพเป็นอย่างไร? ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหาย สิ่งของพวกนี้เจ้าก็มีหมด ดแล้วนี่นา”
จินเฟยเหยาคิดๆ ดูแล้วก็เห็นว่าจริง มีทั้งน้ำและพืชแล้ว ดินยิ่งมีมากมาย ดังนั้นนางจึงเดินออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาข้างนอกเตรียมขุดดินเล็กน้อยนำเข้าไป พอออกมากลับพบว่า เผ่าพิภพคนนั้นหายไปแล้ว
นางขุดดินสีแดงขนาดเท่ากำปั้น กลับไปก็บ่นกับหวาหวั่นซี “เผ่าพิภพพวกนี้ทนหิวไม่ได้เลยจริงๆ ข้าเพิ่งบอกว่าถ้าสามสิบวันไม่ออกมาให้แจ้งอี้ถู่ อย่าว่าแต่รอสามสิบวัน รอแค่ วันเดียวก็ยังดี พวกเราเพิ่งเดินเข้าไป นี่เพิ่งถึงเวลาอาหาร คิดไม่ถึงว่าเขาจะวิ่งกลับไปแล้ว”
“ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ได้กลับไปเนื่องจากถึงเวลาอาหารนะ เจ้าจะให้เขาเฝ้าสามสิบวันได้อย่างไร อาจจะกลับไปเรียกคน เจ้าอย่าเอาความคิดของเจ้าไปคำนวณความคิดของคนอื่น ไม่ใช่ทุกคนต้องคิ ดเหมือนเจ้า” หวาหวั่นซีกลอกตาใส่นาง ยายนี่ว่าคนอื่นมั่วซั่วอีกแล้ว
“ตัวกินจุเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก ช่างพวกเขา วางดินก้อนนี้ลงไปก่อน” จินเฟยเหยาตบดินในมือแล้วโยนลงบนจานกลมที่มีลวดลายกองดิน จากนั้นสะบัดมือเริ่มค้นหาน้ำและพืช
น้ำแค่เทออกมาจากในน้ำเต้าเก็บน้ำก็ใช้ได้ นางเทลงไปเต็มจาน ส่วนพืชจินเฟยเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เดิมทีคิดจะใช้เมล็ดพืชที่รับซื้อมา แต่นึกได้ว่าในภาพเป็นต้นอ่อน นาง เกรงว่าเมล็ดจะไม่ได้ผลจึงนำหญ้าวิญญาณต้นหนึ่งออกมา หญ้าวิญญาณนี้ไม่ใช่ชนิดที่มีค่าเป็นพิเศษ อายุเพียงยี่สิบสามสิบปี นางจำไม่ได้แล้วว่าได้มาตั้งแต่เมื่อใด
วางหญ้าวิญญาณที่ติดรากและดินในกล่องหยกลงในจานทรงกลม ก็ถือว่าจัดวางเต็มจานสามใบแล้ว จากนั้นจินเฟยเหยาและหวาหวั่นซีก็จ้องมองแท่นทรงกลม รอดูว่าแท่นทรงกลมจะมีปฏิกิริยา อะไร
แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหว จินเฟยเหยาจุปากเอ่ยว่า “ใช้ไม่ได้จริงๆ ด้วย ไม่มีปฏิกิริยาเลยสักนิด ทำให้ข้าต้องออกไปขุดดินมาเสียเที่ยว”
หวาหวั่นซีครุ่นคิด “ขาดอะไรไปหรือไม่ อย่างเช่นพลังวิญญาณ?”
ว่าไปแล้วก็จริง สิ่งของแปลกประหลาดพวกนี้จะขาดตัวเหนี่ยวนำนี้ไปได้อย่างไร เมื่อครู่ลืมไปเลย จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ เดินไปถ่ายเทพลังวิญญาณเล็กน้อยลงบนแท่นทรงกลม หลังพลังวิญญา าณเข้าไปในแท่นทรงกลมนางก็ถอยมาอยู่ด้านข้าง ป้องกันความเคลื่อนไหวประหลาดส่งผลกระทบมาถึงตนเองโดยไม่ทันระวัง
รอเป็นเวลาครึ่งเค่อ ขณะที่คนทั้งสองนึกว่าวิธีการผิดพลาด แท่นทรงกลมพลันส่งเสียงดังวิ้งๆ และสว่างขึ้น เปล่งแสงเสียดแทงนัยน์ตาทันที ลวดลายกลางแท่นทรงกลมมีแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นม มา จานทรงกลมเล็กๆ รอบด้านจำนวนสามใบก็เปล่งแสงเจิดจ้า
ดินสีแดงก้อนนั้นหลอมเป็นก้อนสีน้ำตาลไหม้ ส่วนหญ้าวิญญาณหลอมเป็นสีเขียว น้ำกลายเป็นก้อนสีขาวร้อยเรียงกันลอยขึ้นมาและหมุนวนเข้าในแสงกลางแท่นทรงกลม จากนั้นก็เห็นพวกมันร ร่ายรำไม่หยุด แล้วทั้งสามสีก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน ทั้งสามสิ่งหลอมรวมเข้าด้วยกันเปลี่ยนเป็นสีเขียวบริสุทธิ์ร่วงลงบนแท่นทรงกลมอย่างช้าๆ และเริ่มซึมผ่านลวดลายบนนั้น
ลวดลายเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเขียว แสงกลางแท่นทรงกลมโปร่งใสอย่างเห็นได้ชัดและเขียวขจีสุดเปรียบปาน หลังจากที่ลวดลายบนแท่นทรงกลมเปลี่ยนเป็นสีเขียว แสงกลางแท่นวงกลมสายนั้นก็ค่อย ยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว แสงสายนี้พุ่งขึ้นเพดานห้อง ฟ้าพร่าวดาวซึ่งสร้างขึ้นจากการฝังศิลาวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นกระพริบแสงสีเขียว ต่อมาแม้แต่พื้นก็ยังมีลวดลายสีเขียวเพิ่มขึ้นมาอย่า างงุนงง
จินเฟยเหยาและหวาหวั่นซีเห็นภาพนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ อีกทั้งไม่เข้าใจประโยชน์ใช้สอยของสิ่งนี้ สีเขียวเต็มห้องหมายความว่าอย่างไร?
ในเวลานี้ กระจกสภาพโลกวิญญาณก็ลอยขึ้นกลางอากาศเอง เริ่มส่งเสียงดังวิ้งๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ในกระจกพลันมีเสียงบุรุษดังมา “เปิดวงเวทสะกดวิญญาณเก้าชั้น ข้าจะรับปากเจ้าเรื่องหนึ่ ง”
“เอ๋? เจ้าเป็นตัวอะไร จึงพูดออกมาอย่างอธิบายไม่ได้แบบนี้” จินเฟยเหยามองกระจกสภาพโลกวิญญาณอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะพูดได้!
เผชิญหน้ากับคำถามของนาง กระจกสภาพโลกวิญญาณยังเอ่ยประโยคนี้ “ขอเพียงเจ้าสามารถทำลายวงเวทสะกดวิญญาณเก้าชั้น ข้าจะรับปากเจ้าเรื่องหนึ่ง เรื่องอะไรก็ได้”
“หลอกกันน้อยๆ หน่อย ถ้าข้าทำให้คนที่ตายไปนับพันปีอย่างเจ้าฟื้นคืนชีพได้ เจ้าจะทำตามที่พูดไว้หรือ?” จินเฟยเหยาไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ นี่ใครกัน ผีมาหลอกใช้คนทำงานอีกแล้วหรือ อ
กระจกสภาพโลกวิญญาณกระพริบและเอ่ยตอบว่า “ขอเพียงรักษากระดูก หรือขนหนัง วิญญาณไว้ ก็สามารถใช้ศาสตร์ลับคืนชีพได้ ถ้าเก็บรักษาซากศพไว้อย่างดีก็สามารถกลายเป็นศพมนุษย์ได้”
“ไม่ถูกสิ ที่เจ้าพูดมาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่คืนชีพคนเดิมโดยตรง” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“จุกจิกจู้จี้ มีให้คืนชีพก็ดีแล้ว ว่ามาเจ้าคิดจะคืนชีพใคร ขอเพียงทำลายวงเวทสะกดวิญญาณเก้าชั้น ข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา มอบวิธีคืนชีพคนให้แก่เจ้า” กระจกสภาพโลกวิญญาณเอ่ย อีกครั้ง
พอได้ยินคำพูดนี้ จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างไม่พอใจโดยไม่สนว่าเขาเป็นใคร “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงวิธี สุดท้ายก็ยังต้องไปทำเอง เจ้าจะหลอกใช้คนทำงานแบบนี้ไม่ได้ ต้องบอกสิ่งที่ เป็นแก่นสารหน่อย อย่างข้าจะให้ศิลาวิญญาณแก่เจ้าเท่าใด ให้ของวิเศษชั้นยอดอะไรจึงสามารถดึงดูดใจคนได้ วิญญาณหรือวัตถุที่มีสติปัญญาอย่างเจ้าไม่รู้จักวิธีการเลยสักนิด”
คิดไม่ถึงว่าจะถูกนางสั่งสอน กระจกสภาพโลกวิญญาณเอ่ยแบบไม่รีบไม่ร้อน “ผู้อื่นร่ำไห้อาละวาดจะขอให้ข้ารับปากเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ส่งมาให้ถึงเบื้องหน้าเจ้าฟรีๆ เจ้าถึงกับไม่ต้องการ นี เป็นผลบุญที่เจ้าสั่งสมมาในชาติก่อน รีบคิดความปรารถนาเรื่องหนึ่งออกมา จากนั้นรับเรื่องเปิดวงเวทด้วยความยินดีเสียเถอะ”
“เจ้าบ้าหรือเปล่า ข้าไม่มีความปรารถนา ถ้าข้าบอกว่าอยากเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิต เจ้าคงจะบอกวิธีไม่ถูกต้องหลายอย่างให้ข้าเสียแปดส่วน ฟังจากที่เจ้าพูดเมื่อครู่ก็รู้แล้วว่าไม่มี สิ่งของสำเร็จรูปเลย” จินเฟยเหยาไม่หลงกลหรอก นางมองมันอย่างดูแคลน คิดจะหลอกลวง เจ้ายังห่างชั้นอีกไกล
“ขอเพียงบรรลุเป้าหมาย วิธีไม่ถูกต้องแล้วอย่างไร” กระจกสภาพโลกวิญญาณสงบนิ่งอย่างยิ่ง ใช้น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยวาจา “สิ่งที่บางคนอยากได้มา ไม่มีแม้แต่วิธีแก้ไข ข้าไม่ให้สิ่งของที่ เป็นรูปธรรมแก่เจ้าทว่าให้วิธีการ สามารถทำให้เรื่องที่เจ้ารู้สึกว่าไม่มีวันเป็นจริงเป็นจริงได้ ดีกว่าสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากนัก”
จินเฟยเหยายักไหล่เอ่ยยิ้มๆ “ต่อให้เจ้าพูดสวยหรูแค่ไหน ข้าก็ไม่หลงกลเจ้าหรอก ขนาดเจ้าเป็นใครข้ายังไม่รู้ ทำไมต้องเชื่อคำพูดของเจ้าด้วย แม้แต่ตอนนี้มีสภาพการณ์เช่นไร ข้ายัง งไม่รู้กระจ่าง ใครจะเชื่อเจ้า อีกทั้งเจ้าซ่อนอยู่ในกระจกสภาพโลกวิญญาณ ผู้ใดจะรู้ว่ามีแผนการอะไร คิดๆ ดูก็รู้สึกน่าสงสัย”
กระจกสภาพโลกวิญญาณครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “เจ้าขี้ขลาดจริงๆ บำเพ็ญเซียนแบบนี้ใช้ไม่ได้ มีความกล้าหน่อย ต้องย่างเท้าจึงก้าวไกล อีกทั้งสภาพการณ์ของที่นี่ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร แค ค่พวกเจ้าเปิดวงเวทดินชุ่มชื้นเท่านั้น”
“วงเวทดินชุ่มชื้น?” จินเฟยเหยามองวงเวทที่มีแสงสีเขียวอย่างสงสัย ดูไม่ออกว่าวงเวทนี้มีประโยชน์อะไร
ส่วนกระจกสภาพโลกวิญญาณกลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “วงเวทนี้สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของดินในโลกวิญญาณจ้งถู่ทั้งหมดให้ดีขึ้น ทำให้ดินไม่ได้รับผลกระทบจากแร่ สามารถปลูกพืชได้ เรื่อง นี้สำหรับข้าแล้วไม่นับเป็นอย่างไร ตอนนี้รู้ความสามารถของข้าแล้วสินะ แทบจะไม่มีเรื่องที่ข้าทำไม่ได้เลย”
“เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของดิน” จินเฟยเหยารู้ดี ที่นี่พืชพรรณอื่นๆ ไม่เจริญเติบโต เนื่องจากพิษนานาชนิดที่เกิดขึ้นจากแร่ ทำให้โลกวิญญาณจ้งถู่มีแต่วัชพืชเติบโตได้ ตอนนี้ถึงกับบอ กว่าเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของดินได้ ต่อไปก็ปลูกพืชได้แล้วสิ คิดๆ ดูแล้วก็น่าขำ เรื่องแบบนี้จะทำได้อย่างไร
“เจ้าบอกกล่าวเรื่องราวไม่กระจ่าง ข้าไม่เชื่อถือเลยสักนิด ถึงอย่างไรข้าก็วาดแผนที่ไว้อีกม้วน อย่างมากก็ไม่ต้องการเจ้าแล้ว ข้าใช้กระดาษหนังสัตว์ดูแผนที่ก็พอ” จินเฟยเหยากอดอก กเต็มไปด้วยสีหน้าดูแคลน
เห็นนางไม่รับฟังและไม่เชื่อถือเลยสักนิด กระจกสภาพโลกวิญญาณก็ไม่อธิบายมากความ ทว่าบอกไปตรงๆ “พวกเจ้าสามารถออกไปดูก่อนได้ เมื่อเชื่อถือและตัดสินใจอยากจะแลกเปลี่ยนกับข้าค่อยม มาหาข้าใหม่ ข้าจะรอเจ้ากลับมา”
“ภายนอกจะมีเรื่องใดสามารถพิสูจน์ว่าเจ้าร้ายกาจได้ หรือภายนอกจะเปลี่ยนเป็นมีพืชพรรณเต็มพื้นดิน รอบด้านมีดอกไม้ป่าเบ่งบาน” จินเฟยเหยาใช้มือฉุดดึงหวาหวั่นซี ไม่ยุ่งกับกระจกสภาพ โลกวิญญาณอันแปลกประหลาดอีก สาวเท้ายาวๆ เดินออกไปข้างนอก
นางอยากจะดูสิว่า วงเวทนี้ทำเรื่องใดจึงคุยโวขนาดนี้