คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 819 แตะต้องข้อห้าม สถานการณ์ปั่นป่วน
ตอนที่ 819 แตะต้องข้อห้าม สถานการณ์ปั่นป่วน
……….
ม้าเร็วหลายตัวมุ่งหน้ามาที่เมืองอู่ ผู้นำสวมชุดทะมัดทะแมง เสื้อคลุมสีดำปักลายนกอินทรีย์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความกระตือรือร้น
“ท่านแม่ทัพน้อย ข้างหน้าก็คือจุดพักม้าแล้ว พวกเราหยุดพักเอาแรงสักหน่อยหรือไม่ ในกระบอกไม่มีน้ำแล้วขอรับ” ม้าหนึ่งในนั้นไล่ตามมาทันผู้นำ มีคนตะโกนขึ้นมาหนึ่งประโยค
พวกเขาวิ่งมากันเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มีเวลาพักไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทุกคนล้วนเหนื่อยล้า แต่ไม่กล้าเอ่ยอะไร
เนื่องจากท่านแม่ทัพน้อยรีบไปพบผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต
เฉวียนจิ่งเอามือป้องหว่างคิ้วมองไปที่ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็กรอกน้ำ กินน้ำแกงแกะร้อนๆ เฉวียนอัน เจ้าวิ่งนำหน้าไปก่อนให้พวกเขาจัดเตรียมไว้”
เมื่อเฉวียนอันได้รับคำสั่งก็เฆี่ยนม้า พุ่งออกไปราวกับลูกธนูออกจากสาย
เมื่อนกกระเรียนกระดาษตกลงต่อหน้าของเจ้านายท่ามกลางอากาศ เขาก็รีบให้คนไปเตรียมม้ามุ่งหน้าไปที่เมืองอู่ในทันที ก็ไม่รู้ว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยผู้นั้นปรากฏตัวที่เมืองอู่ได้อย่างไร และช่างบังเอิญ นกกระเรียนตัวนั้นพึ่งจะมาถึงมือ ก็มีจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากทางด้านเมืองอู่บอกว่าคุณชายคนเล็กของบ้านหลังเล็กตระกูลฉินทำให้จอมอันธพาลน้อยตระกูลผู้ว่าการเนี่ยขุ่นเคือง จึงถูกม้าลากไปตามถนน ได้รับบาดเจ็บสาหัส
คุณชายคนเล็กของตระกูลฉินที่ถูกเนรเทศไปซีเป่ย ก็คือน้องชายของฉินหลิวซีไม่ใช่หรือ
เฉวียนจิ่งเข้าใจจุดประสงค์การมาของฉินหลิวซีในทันที ต้องมาเพื่อน้องชายผู้นั้นของนางอย่างแน่นอน
เขานั่งดื่มน้ำแกงเนื้อแกะร้อนๆ กัดแป้งย่างชิ้นโตอยู่ที่จุดพักม้า เฉวียนจิ่งเอานกกระเรียนกระดาษตัวนั้นออกมาดูข้อความที่ฉินหลิวซีเขียนอีกครั้ง ความจริงแล้วนางก็ไม่ได้บอกให้เขามา เพียงแค่แนะนำคนผู้หนึ่งแก่เขา อยู่ที่ค่ายใหญ่อะไร และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใคร อีกฝ่ายจะไปเป็นแขกในงานเลี้ยงของจวนชื่อสื่อ[1]
น้อยนักที่ฉินหลิวซีจะขอร้องเช่นนี้ ตรวจโรควินิจฉัยอาการล้วนจ่ายด้วยเงิน แม้แต่คนในครอบครัวที่ถูกเนรเทศอยู่ที่ซีเป่ย ก็ไม่ได้ใช้น้ำใจนี้ของนางมากนัก แต่ตอนนี้กลับแนะนำคนผู้หนึ่งให้แก่เขา ก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไรกันแน่ จึงได้ควรค่าที่นางปฏิบัติเช่นนี้
เฉวียนจิ่งกัดแป้งย่างไปคำโต จากนั้นก็กระดกน้ำแกงแกะลงไป เอ่ยว่า “ข้าจะไปก่อน พวกเจ้ากินเสร็จแล้วค่อยตามไป”
ทุกคน “…”
ใครจะไปกล้า
ไม่ว่าน้ำแกงแกะจะร้อนแค่ไหน ก็เทกรอกปากคาบแป้งย่างแล้วตามไป
…
ร้านขายยาไป่เฉ่า
ฉินหลิวซีกำลังปรุงวัตถุดิบยาที่เตรียมไว้เป็นผงทีละอย่าง ปั้นยาเป็นเม็ดขนาดเท่าถั่วเหลือง ใส่ไว้ในเตาอบแห้ง
ท่านหมอซุนคอยช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ยานำมาทำเช่นนี้นับว่าสะดวก เพียงแต่ยุ่งยากมาก”
ต้องทำให้เป็นผง หรือไม่ก็ต้องต้มเป็นน้ำสมุนไพรมาผสมกัน แล้วปฏิบัติตามทีละขั้นตอน ยุ่งยากไม่น้อยเลย
“ปรุงยาก็เป็นเช่นนี้ หากต้องการให้ยามีประสิทธิผลเร็ว ขั้นตอนและความร้อนเป็นกุญแจสำคัญ ไม่ทำสลับขั้นตอนก็พอ” ฉินหลิวซีถอนหายใจพลางเอ่ย “ดังนั้นการทำยาลูกกลอนนั้นไม่ง่าย วัตถุดิบยาชั้นสูงยิ่งยากในการปรุง วัตถุดิบยาจำนวนหนึ่งใช่ว่าจะสามารถปรุงออกมาได้ แม้ว่าจะปรุงออกมาได้ก็ได้ไม่กี่เม็ด ดังนั้นจึงได้มีมูลค่า”
“เหมือนกับที่ท่านให้คุณชายรองกินใช่หรือไม่” ท่านหมอซุนถามหยั่งเชิงขึ้นมาว่า “ข้าได้กลิ่นของยานั่น เหมือนกับท่านให้คุณชายน้อยฉินกินเล็กน้อย”
ฉินหลิวซีมองเขาพลางยิ้มใบหน้านิ่ง เอ่ยว่า “ไม่ใช่เหมือน แต่เป็นวัตถุดิบยาเดียวกัน เพียงแต่ยาเม็ดนั้นทำมาจากเศษยาที่ขูดมาจากเตาปรุงยา ไม่ได้ดีเลิศเท่ายาของน้องชายผู้โชคร้ายของข้า แต่ก็เป็นเศษยาจากวัตถุดิบยาชุดเดียวกัน”
ท่านหมอซุนถอนหายใจไม่หยุด เศษยาก็ยังดีเลิศขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของเม็ดยาที่แท้จริง ก็ไม่แปลกที่ฉินหมิงเยี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นยังสามารถฟื้นจากความตายได้
“แล้ววัตถุดิบยาจำนวนนั้นสามารถทำได้กี่เม็ด”
ฉินหลิวซีเปรียบเทียบกับนิ้ว จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องถามแล้ว สามเม็ดนั้นไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว เป็นยาที่ข้าปรุงให้อาจารย์ของข้า”
ไม่ต้องพูดถึงมันอีก พูดแล้วก็ปวดใจ
ท่านหมอซุน ‘เจ้าว่าเจ้าขาดแคลนอาจารย์หรือไม่’
แต่ว่าเขาไม่คู่ควร!
คนชราและเด็กน้อยไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เพียงแต่ปั้นเม็ดยาพลางพูดเกี่ยวกับโรคประหลาดซับซ้อนที่เจอในการทำการรักษาในวันทั่วไป
ยิ่งแลกเปลี่ยนกันมากเท่าไหร่ ท่านหมอซุนก็ยิ่งรู้สึกว่าความจริงแล้วตัวเองก็ยังขาดอาจารย์สักท่าน อย่างเช่นเด็กน้อยที่สามารถเป็นหลานสาวเขาได้ผู้นี้
ดั่งคำเอ่ยที่ว่าผู้บรรลุย่อมมาก่อน เขาไม่กลัวที่จะรับเด็กน้อยเป็นอาจารย์แม้แต่นิด!
ฉินหลิวซีรวบรวมยาในเตาอบทีละเม็ดแล้วใส่ลงในขวดเครื่องเคลือบ จากนั้นก็ใส่ในลงในกระเป๋าพกติดตัว
กับๆๆ
พื้นดินสั่นสะเทือน เสียงกีบม้าดังมาจากระยะไกลอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ ฉินหลิวซีก็ใจเต้น เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดินออกมาจากร้านขายยาไป่เฉ่า มือทั้งสองข้างกอดอก มองดูม้าหลายตัวที่กำลังมุ่งหน้ามาจากไกลๆ อย่างรวดเร็ว
มาด้วยตัวเองจนได้
เฉวียนจิ่งควบม้าไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็ออกแรงดึงเชือกม้าแน่น คนลอยขึ้นจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ปลายเท้าเตะอาวุธลับที่พุ่งมาตรงหน้าจนกระเด็นออกไป
องครักษ์ติดตามหลายคนสีหน้าตกใจ ล้อมวงเข้ามา
เฉวียนจิ่งอยู่บนพื้น มองไปยังอาวุธลับที่ตัวเองเตะออกไป ถั่วหนึ่งเม็ด?
แปะๆๆ
ฉินหลิวซีปรบมือพลางก้าวไปข้างหน้า เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวได้ไม่เลวเลย การตื่นตัวดีมาก”
เมื่อเฉวียนจิ่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน ก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น “ท่านยังอยู่จริงๆ ด้วย” เมื่อนึกถึงสถานการณ์น้องชายของนางก็เก็บสีหน้าพลางถามว่า “น้องชายของท่านผู้นั้น?”
“ไม่ตายหรอก”
“ขอโทษด้วย เป็นข้าที่ละเลย ไม่สามารถให้คนไปขวางได้…”
“ไม่เป็นไร เป็นโชคดีไม่ใช่โชคร้าย เป็นโชคร้ายก็หลบไม่พ้น ด้วยสถานะของพวกเขา ก็ไม่มีทางที่จะมีคนคอยปกป้องอยู่ข้างกายได้ตลอดเวลา นี่เป็นเคราะห์กรรมของเขา ผ่านไปได้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เมื่อเฉวียนจิ่งเห็นว่านางไม่ได้ใส่ใจ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอ่ยว่า “ไปดูที่บ้านดีหรือไม่ มิเช่นนั้นข้าไม่สบายใจ”
“ไม่ต้อง สถานะของเจ้าค่อนข้างเป็นที่รู้จัก ข้าเห็นว่าสองวันมานี้มีคนในกองทัพเดินไปมาอยู่ในเมือง อย่าสร้างปัญหาให้เจ้าจะดีกว่า อีกอย่างอันธพาลน้อยที่ทำร้ายเด็กคนนั้นตอนนี้ก็กึ่งเป็นกึ่งตาย เจ้าไปก็มีแต่จะเป็นที่สะดุดตา ทำให้จวนผู้ว่าการสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อการพักฟื้นของเขา ข้าใช้เงินจำนวนมากเพื่อช่วยชีวิตเขากลับมา ดังนั้นเจ้าอย่าหาเรื่องให้ข้า”
เฉวียนจิ่งได้ฟังดังนั้นจึงชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนที่ฉินหลิวซีจะปฏิเสธว่า “เช่นนั้นข้าจะให้คนแอบจับตาดู เพื่อไม่ให้มีคนไม่ดูตาม้าตาเรือมาสร้างปัญหาอีก ท่านวางใจได้ จะไม่จับตาดูเป็นเวลานาน ข้าเองก็ได้รับข่าว เรื่องของตระกูลฉินมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง พวกเขาคงจะมีโอกาสกลับเมืองหลวงแล้ว”
“อืม”
ไม่สามารถไปที่บ้านหลังเล็กของตระกูลฉินได้ เฉวียนจิ่งจึงหาสถานที่ที่จะนั่งฉลองรำลึกความหลังกัน ฉินหลิวซีตอบรับอย่างยินดี พึ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นฉินปั๋วชิงยืนมองพวกเขาอยู่หน้าประตูร้านด้วยความประหลาดใจ
“ซีเอ๋อร์” เขามองไปยังเฉวียนจิ่ง หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ชายผู้นี้เต็มไปด้วยความสูงส่ง แต่ก็มีไอสังหารเล็กน้อย เป็นคนในกองทัพ? เหตุใดจึงได้ยืนอยู่กับหลานสาว
หรือว่ากระหล่ำปลีถูกหมูกินเสียแล้ว
ฉินปั๋วชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาที่มองไปยังเฉวียนจิ่งแฝงไว้ด้วยความพิเคราะห์พิจารณามากขึ้น ซ้ำยังมีความรังเกียจ ไม่เหมาะสมกัน!
เฉวียนจิ่ง “?”
สายตารังเกียจเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า แนะนำกับฉินปั๋วชิงว่า “ท่านอาสาม ผู้นี้คือแม่ทัพน้อยเฉวียน…”
นางพึ่งจะเอ่ยก็หยุดไปกะทันหัน สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ขมวดคิ้ว นับข้อนิ้วทำนาย
คนในเสวียนเหมินไม่ทำนายดวงชะตาตัวเอง ญาติทางสายเลือดก็ไม่ควรทำนายมาก แต่ครั้งนี้นางแตะต้องข้อห้ามเสียแล้ว
สถานการณ์ปั่นป่วนจริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่าแย่แล้ว!
[1] ชื่อสื่อ ผู้ตรวจการมณฑล