คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 826 กลับคำตัดสินตระกูลฉิน
ตอนที่ 826 กลับคำตัดสินตระกูลฉิน
……….
เดิมทีฉินหลิวซีต้องการจัดการเรื่องทุกอย่างที่บ้านให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปหาอวี้ฉังคงที่จวนตระกูลอวี้ แต่เมื่อเข้าเดือนสิบเอ็ด มีหิมะตกหนักหลายครั้งในเมืองหลี ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าฉินที่หมดสติมาหลายวันก็ฟื้นขึ้นมา แต่ก็พูดไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการเคลื่อนไหวเลย หลังจากฟื้นขึ้นมาได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็หลับลึกไปอีก
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนในตระกูลฉินรู้สึกหนักใจ ไม่มีความยินดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟื้นขึ้นมาเลย มีแต่ความรู้สึกหนักใจแทน
การฟื้นขึ้นมาของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเพียงสัญญาณจริงๆ วันต่อๆ มานางก็เลอะเลือนไม่ได้สติ ซูบผอมลงทุกวัน พอฟื้นขึ้นมาก็พึมพำไม่หยุด ราวกับเรียกชื่อใครสักคน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเดา แต่ทุกคนก็รู้ว่า นางกำลังคิดถึงเหล่าบุรุษในครอบครัวที่อยู่ทางซีเป่ย
สะใภ้หวังเตรียมข้าวของที่จำเป็นไว้พร้อมแล้ว และรอคอยข่าวดีจากเมืองหลวงอยู่ทุกวัน จนกระทั่งกลางเดือนสิบเอ็ดในที่สุดก็มีจดหมายมาจากเมืองหลวง เป็นบิดาของเถิงเจาที่ให้คนมาส่ง
ตระกูลฉินได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา ทรัพย์สินของพวกเขาถูกส่งคืน แต่ฉินหยวนซานยังต้องรับโทษ ฐานละทิ้งหน้าที่และถูกลดตำแหน่งไปเป็นขุนนางขั้นสี่ และกลายเป็นขุนนางเส่าชิงแห่งศาลไท่ฉาง[1] ส่วนฉินปั๋วหงก็ถูกปลดออกจำตำแหน่งขุนนางขั้นห้า ถูกส่งไปนอกมณฑลกว่างหนิงกลายเป็นขุนนางขั้นห้าชั้นโท ผู้ส่งสารถ่ายทอดราชโองการอยู่ในระหว่างเดินทางมายังเมืองหลีและซีเป่ยแล้ว
ส่วนเหตุผลที่ฝ่าบาททรงพระทัยดีเช่นนี้ก็เป็นเพราะปีนี้นางในผู้หนึ่งที่เพิ่งรับเข้าวังมาในปีนี้ที่มีนามว่าเหมยเจียวกำลังตั้งครรภ์ ทั้งยังเป็นครรภ์แฝดด้วย และวันที่ได้รับการวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์นั้น ก็มีผู้รายงานข่าวดีว่าพบเหมืองเหล็กและเหมืองเงินที่ไหนสักแห่ง เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาทมีความสุขมาก และคิดว่าครรภ์แฝดของเหมยเจียวผู้นี้เป็นมงคล จึงแต่งตั้งนางเป็นพระสนมเหมย และรอแต่งตั้งบรรดาศักดิ์หลังคลอดอีกครั้ง
เพื่อแสดงความเมตตาของฝ่าบาท จึงทรงจัดการสะสางคดีต่างๆ ที่รอรื้อฟื้นมาตลอด หนึ่งในนั้นก็เป็นคดีของฉินหยวนซานด้วย แต่ฝ่าบาทก็คิดว่า แม้ว่าฉินหยวนซานจะถูกใส่ความ แต่ความเลินเล่อในระหว่างที่เขาปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นสาเหตุให้เกิดความผิดพลาดใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นจริง จึงไม่สามารถให้เขากลับมารับตำแหน่งเดิมได้ และยังต้องลดขั้นด้วย
แม้จะเป็นเช่นนั้น เมื่อข่าวเดินทางมาถึง ก็ยังทำให้พวกสะใภ้หวังดีใจจนแทบบ้าอยู่ดี นางรีบนั่งลงพูดต่อหน้าเตียงของฮูหยินผู้เฒ่า บางอาจเป็นเพราะมีข่าวดีมาเยือนถึงที่ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตื่นได้เป็นเวลานาน แต่กระนั้นพลังของนางก็ยังไม่เต็มร้อยอยู่ดี และทันทีที่ตื่นขึ้นมา นางก็จะมองไปที่ประตูห้องอยู่ตลอดเวลา
สะใภ้เซี่ยเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมา และเอ่ยขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หากฮูหยินชราจากไป นอกจากนายท่านผู้เฒ่าแล้ว คนอื่นที่เหลือก็ต้องไว้ทุกข์ให้นาง คำพูดนั้นทิ่มแทงฮูหยินผู้เฒ่าจนนางส่งเสียงอึกอักในลำคอ หายใจไม่ออกไปชั่วขณะ และหมดสติไปอีกครั้ง ทำเอาสะใภ้หวังโกรธจนแทบบ้า
โชคดีที่คำพูดเหล่านั้นได้ผลอยู่บ้าง ช่วงเวลาที่ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นนานขึ้นเรื่อยๆ นางกินโจ๊กได้มากขึ้นบ้าง และจ้องมองไปที่ประตูตาไม่กะพริบ จนเหนื่อยสุดๆ จึงได้หลับไป
ฉินหลิวซีปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าทรมานไปตามใจ ปรับใบสั่งยาและฝังเข็มให้เมื่อจำเป็น แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะตื่นขึ้นมา แต่ก็รู้ดีว่านางแค่อาศัยความยึดติดเท่านั้นถึงสามารถประคองร่างกายที่แก่ชรานี้เอาไว้ได้
อากาศเริ่มเย็นลงทุกที หิมะก็ตกหนัก ชาวบ้านยากจนจำนวนมากบ้านเรือนพังทลายลงและไร้ที่อยู่ เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็น ฉินหลิวซีจึงยิ่งไม่มีเวลาว่าง งานกุศลของอารามชิงผิงที่ดำเนินการในช่วงหน้าหนาวของทุกปีจึงต้องเริ่มก่อนเวลา มีการแจกจ่ายยาต้มไล่ความหนาวและหมั่นโถวซาลาเปา นอกจากนี้ยังมีการตั้งน้ำขิงร้อนๆ สองหม้อไว้ที่ลานหน้าอารามสำหรับคนที่ต้องการมาตักไปได้
นอกจากน้ำแกงและยาแล้ว เสื้อผ้าเก่าๆ ที่กันหนาวได้ก็จะถูกแจกจ่ายออกไปเช่นกัน ไม่ใช่ว่าอารามชิงผิงไม่เต็มใจที่จะบริจาคเสื้อผ้าใหม่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเสื้อผ้ากันหนาวพวกนี้จะถูกส่งมอบให้กับเด็กคนแก่หรือคนที่อ่อนแอ หากให้ของใหม่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะถูกแย่งไป
ในช่วงปลายฤดูหนาว เงินทำบุญที่อารามชิงผิงเก็บออมเอาไว้ก็ระเหยไปเหมือนน้ำไหล ทำให้ชิงหย่วนต้องขมวดคิ้วอย่างแรง แม้แต่ทองคำที่ฉินหลิวซีเพิ่งนำกลับมาจากทางซีเป่ยเพื่อหล่อรูปปั้นทองคำสององค์ก็ยังต้องเอามาใช้ก่อนก้อนหนึ่งเพื่อทำการกุศลจนหมดแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่นักพรตเฒ่าและซานหยวนมีส่วนร่วมในการทำกุศล พอพวกเขาเห็นถังน้ำขิงที่ต้มพร้อมสมุนไพรขับไล่ความหนาวขนาดใหญ่และโจ๊กข้นๆ ที่ถูกหามออกไปแล้ว พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมฉินหลิวซีถึงต้องรับเงินทำบุญโหดขนาดนั้น มีอารามที่ใช้เงินมากขนาดนี้ เงินทำบุญมากมายเท่านั้นก็ยังไม่พอ หากไม่เอามาจากคนรวยให้มากหน่อย ก็จะไม่สามารถช่วยเหลือคนจนได้เลย
แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงบุญที่ได้รับจากการทำกุศลจริงๆ คนนอกไม่รู้ แต่คนที่บำเพ็ญอย่างพวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณของอารามชิงผิงเข้มข้นขึ้น และทำสมาธิได้ง่ายขึ้น
หนึ่งดื่มหนึ่งจิก[2] นี่คือเป็นผลจากบุญกุศลและศรัทธา!
หลังจากที่ตระกูลฉินได้รับจดหมายจากเมืองหลวงแล้ว ตระกูลฉินก็เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ได้ยินข่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วยก็มีเทียบมาขอเยี่ยมนางมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทักทาย แต่เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นลงทุกที ช่วงเวลาที่นางฉินผู้เฒ่านอนหลับก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม นางตื่นน้อยลงและนอนนานขึ้น หากหน้าอกของนางไม่ได้กระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย ทุกคนก็คงคิดว่านางตายไปแล้ว
สะใภ้หวังเลือกเทียบขอเยี่ยมพบมาจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็เลื่อนออกไปโดยอ้างเหตุผลที่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าป่วยหนัก
ในช่วงปลายเดือนสิบเอ็ด ตระกูลฉินต้อนรับทูตสวรรค์จากในวังและรับราชโองการคืนทรัพย์สินของครอบครัวและบ้านในเมืองหลวง ตระกูลฉินรู้สึกว่าเรื่องร้ายสิ้นสุดเสียที พากันร้องไห้ดีใจ เพียงแต่หลังจากที่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว ความสุขนั้นก็หายไปครึ่งหนึ่ง
“พี่สะใภ้ใหญ่ ให้ซีเอ๋อร์ลองหาวิธีดูสักหน่อยหรือไม่ หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ไหวแล้วจริงๆ พี่ใหญ่เองก็ต้องไว้ทุกข์ด้วยมิใช่หรือ” สะใภ้เซี่ยเอ่ยอย่างระมัดระวัง
สะใภ้หวังมองด้วยสายตาขุ่นเคือง “เจ้ากำลังหมายความว่าซีเอ๋อร์เห็นคนจะตายแล้วไม่ยอมช่วยหรือ หากนางมีวิธี จะยื้อชีวิตฮูหยินผู้เฒ่ามาจนถึงตอนนี้หรือ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถ้าพูดไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด!”
คนโง่ผู้นี้จะใส่ร้ายว่าซีเอ๋อร์เป็นหลานอกตัญญูหรือ
สะใภ้เซี่ยถูกดุจนหน้าซีดไป “ข้าก็แค่พูดเพื่อพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่…”
“ข้าขอบใจเจ้ามาก แต่ขอร้องเถิด ไม่ต้องทำเพื่อพวกเราหรอก คิดเพื่อตัวเองให้มากๆ ดีกว่า ท่านแม่กลายเป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะเจ้าดูแลไม่ดี” สะใภ้หวังทิ่มแทง
สะใภ้เซี่ยตกใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านพูดเช่นนี้คิดจะบีบข้าให้ตายหรือ”
“ข้ากำลังบอกเจ้าว่าอย่ารนหาที่ตายดีกว่า” สะใภ้หวังทิ้งประโยคเย็นชานั้นไว้ก่อนจะจากไป
สีหน้าสะใภ้เซี่ยโกรธเกรี้ยว วิเศษนักหรือ แต่นางก็ไม่กล้าตามไป
ฉินหลิวซีนำฉีหวงเดินไปอีกด้านหนึ่ง ฉีหวงเอ่ย “ฮูหยินรองผู้นี้ยากเยียวยาจริงๆ”
“วางใจเถิด วันดีๆ ของนางสิ้นสุดลงแล้ว ท่านอารองของข้าจะกลับมาพร้อมกับข่าวที่ทำให้นางประหลาดใจเร็วๆ นี้” ฉินหลิวซีไม่แยแสสนใจ
ฉีหวงประหลาดใจ “ประหลาดใจหรือ”
“เขาไม่ยอมเหงา จึงได้หาอาสะใภ้เพิ่ม แถมยังเป็นหม้ายด้วย และดูเป็นคนฉลาด ไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งๆ เงียบๆ แบบอนุพานแน่นอน ต่อไปบ้านของพวกเขาจะต้องวุ่นวายแน่”
ฉีหวงเอ่ยอย่างรังเกียจ “ในจวนจะไม่เละเทะไปด้วยหรือเจ้าคะ”
ฉินหลิวซียิ้มหยันอย่างเย็นชา “ถ้าอย่างนั้น ก็ให้พวกเขาทั้งหมดออกไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”
นางรับพวกเขาไว้มานานแล้ว ความเมตตาของนางสิ้นสุดลงแล้ว
ทางซีเป่ย ฉินหยวนซานคุกเข่าลงหลังจากเห็นตัวแทนผู้ส่งสาร และระงับความตื่นเต้นของตนเอง เขากำลังจะเอ่ยขอบพระทัยเสียงดังลั่นสามครั้ง ผู้นำสารก็ถามขึ้นว่า “ใต้เท้าฉิน ฝ่าบาททรงถามท่านว่า ท่านสำนึกถึงความผิดแล้วหรือไม่ ทบทวนตัวเองหรือไม่”
ฉินหยวนซาน “?”
จนกระทั่งราชโองการมาอยู่ในมือแล้ว เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า หากเขาสำนึกผิดและทบทวนตัวเอง แล้วจะคืนตำแหน่งขุนนางขั้นสามให้เขาแทนขั้นสี่หรือ
[1]ศาลไท่ฉาง หน่วยงานที่ดูแลเรื่องพิธีกรรมและการบางสรวงต่างๆ
[2]หนึ่งดื่มหนึ่งจิก โชคชะตาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
……….