ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 527: ถ้ำดอกบัวเขียว
บทที่ 527: ถ้ำดอกบัวเขียว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อาทิตย์ต่อมา หวังเฉิงห่าวยืนอยู่ด้านข้างของฉินเย่อยู่ภายในห้องทำงานของจ้าวนรก รอคอยอีกฝ่ายในขณะที่ฉินเย่กำลังพลิกดูเอกสารสีแดงที่มีความหนากว่าหนึ่งฟุต
“หยกนรกสีดำ 1,000,000 กิโลกรัม ไก่สวรรค์ 1,000 ตัว เลือดกิเลน 500 กิโลกรัม เขามังกรแท้ 1,000 กิโลกรัม…เทพเจ้าลัทธิเต๋าผู้สูงส่ง หรือที่รู้จักในนาม ไท่ซ่าง เหล่าจวิน*[1]”
ในที่สุดฉินเย่ก็เปิดมาถึงหน้าสุดท้าย เด็กหนุ่มยกมือขึ้นนวดคลึงขมับของตนเอง ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
นี่ไม่ใช่ข้อมูล แต่มันคือรายการของกำนัลที่เขาได้รับมา
นี่คือของกำนัลที่ถูกนำมาโดยเหล่าเจ้าผู้ปกครองดินแดนในนามของเหล่าเทพบนสวรรค์เพื่อแสดงความยินดีกับการขึ้นครองบัลลังก์ของฉินเย่ในฐานะของจ้าวนรกองค์ที่สาม
เขารีบทำหน้าที่ของตนทันทีที่ออกมาจากการเก็บตัวระยะสั้นของตัวเอง มันเป็นวินาทีนั้นเองที่เขาได้เข้าใจถึงความรับผิดชอบอันมหาศาลที่ตัวเองได้ละทิ้งไปในอดีตอย่างแท้จริง มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นตั้งแต่ที่เขาเริ่มงานมา แต่มันกลับมีคนเดินเข้ามาหาเขาแทบจะทุก ๆ สิบนาที ไม่ว่าจะมาเพื่อรายงานของหน่วยงานของตน หรือมาเพื่อบอกถึงความคิดเห็นของเหล่ารัฐมนตรีในประเด็นสำคัญต่าง ๆ
มันทำให้เขาได้มีมุมมองใหม่เกี่ยวกับห้องทำงานของจ้าวนรก ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาพบเขาเพราะว่าเขากลับมาที่นี่ในช่วงกลางดึก และเขาก็ไม่ได้รับรู้ถึงความคิดและความกังวลของเหล่ารัฐมนตรีที่อยู่ภายใต้การปกครองของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเหล่ารัฐมนตรีและผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยตัวเองทำให้เขารู้สึกเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมากยิ่งขึ้น
ในช่วงเวลาว่างอันน้อยนิดของตัวเอง เขาก็จะนั่งดูรายงานของเหล่าเจ้าผู้ปกครองเขต ก่อนจะต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเจ้าผู้ปกครองเขตเกือบทุกคนล้วนได้รับการสนับสนุนจากผู้เป็นอมตะและเทพผู้มีชื่อเสียงทั้งสิ้น
ผู้เป็นอมตะ…เขาลูบคอของตนเองขณะที่หันไปมองท้องฟ้าที่ดำมืดด้านนอก “เราไม่เคยรู้สึกใกล้เคียงกับคำว่าผู้เป็นอมตะมากเท่านี้มาก่อน...”
ไท่ซ่างเหล่าจวิน ไท่ยี่ เจิ้นเหริน และเอ้อหลางเซิน…*[2] ชื่อเหล่านี้ปรากฏอยู่ในเอกสารจำนวนมากถูกวางอยู่บนโต๊ะของเขา เขาไม่รู้เลยว่าของกำนัลเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง หากพูดกันตามตรง เขาไม่เคยได้ยินชื่อของพวกมันในตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้น เขาก็สามารถบอกได้ว่าพวกมันไม่ธรรมดา
หวังเฉิงห่าวเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน เขาเดินไปไหนมาไหนตลอดทั้งวัน ทำตัวเป็นแขนขาของฉินเย่ เขาเองก็รู้สึกดีมากที่ในที่สุดตนก็ได้มีช่วงเวลาให้พักหายใจ แต่อย่างไรก็ตาม เขายังคงมองไปที่เด็กหนุ่มอย่างอดไม่ได้ พร้อมกับวิเคราะห์ทุก ๆ การเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
บางสิ่งเกี่ยวกับฉินเย่นั้นแตกต่างไปจากเดิม
เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร ในบางส่วน มันเหมือนกับว่าฉินเย่ดูเย็นชามากกว่าเก่า แต่ขณะเดียวกันมันก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์อยู่โดยรอบ มันมากเสียจนเขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเหมาะสมหรือไม่ที่เขาจะพูดจาล้อเล่นกับฉินเย่อีก
หากพูดกันตามตรง หวังเฉิงห่าวไม่ใช่เพียงแค่คนเดียวที่สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่รัฐมนตรีทุกคนที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับฉินเย่ก็พบว่าเด็กหนุ่มนั้นมีความน่าเกรงขาม ระมัดระวังและเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาสามารถบอกได้จากการเห็นสิ่งที่ผู้ช่วยส่วนตัวของฉินเย่ได้ปฏิบัติต่อเขา ตอนนี้มีความเคารพและความเกรงขามมากขึ้นกว่าเดิม
ใช่ พวกเขาอาจจะปฏิบัติต่อฉินเย่ด้วยความเคารพเนื่องจากตำแหน่งของอีกฝ่ายในอดีต แต่ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นได้เปลี่ยนเป็นความเคารพและความเกรงขามที่มีต่อตัวบุคคลไปแล้ว
และทันใดนั้น จ้าวนรกองค์ที่สองก็เดินเข้ามาภายในห้องและเอ่ยกับฉินเย่โดยตรง “สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำก็คือทำความเข้าใจกับบันทึกนรก มันมีเนื้อหาเฉพาะเกี่ยวกับเงื่อนไขและวัสดุที่จำเป็นสำหรับการสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏ”
“ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสวรรค์และยมโลกแล้ว”
จ้าวนรกองค์ที่สองทรุดนั่งลงที่บนโซฟาภายในห้อง และหวังเฉิงห่าวก็รีบรินชาให้อีกฝ่ายทันที สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่านี่ไม่ใช่คนที่จะสามารถหาเรื่องได้
“เงื่อนไขและวัสดุที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏ?” ฉินเย่หันกลับไปมองด้วยความตกตะลึง “ไม่ใช่ว่ามันจะเร็วเกินไปหรอกหรือที่จะสร้างมันตอนนี้?”
“ไม่เลยสักนิด” จ้าวนรกองค์ที่สองจิบชาในถ้วยชาของตัวเองเล็กน้อย “อันดับแรก เจ้าจะต้องตัดสินใจหาตำแหน่งที่เหมาะสม มันมีสถานที่มากมายที่ซ่อนอยู่ภายในทั้งสามโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแดนมนุษย์ หรือที่รู้จักในฐานะของรากฐานของโลกทั้งสาม ที่พวกเรายังไม่สามารถพบสถานที่เหล่านี้ได้เป็นเพราะว่ายมโลกยังไม่ได้ค้นหาดินแดนเหล่านี้อย่างละเอียดมาก่อน”
“ยกตัวอย่างเช่น กงล้อแห่งสังสารวัฏนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือมันเคยตั้งอยู่ในมิติพิเศษที่ดำรงอยู่ระหว่างโลก รอยแยกมิติที่ว่านี้สามารถมีขนาดเล็กเท่าหยดน้ำ หรืออยู่ในลักษณ์ของหุบเขา หรือถ้ำที่อยู่ติดกับมหาสมุทรก็ได้ ลองคิดดู กงล้อแห่งสังสารวัฏต้องรองรับวิญญาณบาปกว่าร้อยล้านตน เจ้าคิดว่ามันต้องใช้พื้นที่มากเพียงใดในการรองรับวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้น? นั่นมันใหญ่กว่ามณฑลของจีนทั้งมณฑลเสียอีก! ยมโลกไม่มีพื้นที่มากพอในการที่จะรองรับมัน ดังนั้นทางที่ดีที่สุดของเราก็คือการติดตั้งมันอยู่ในรอยแยกมิติ หรือที่พวกเราเรียกมันว่า สุเมรุจักรวาล*[3]”
ฉินเย่จิบชาในถ้วยและถอนหายใจออกมาเบา ๆ “น่าเสียดาย ยมโลกนั้นยังอยู่ห่างจากจุดที่มันเคยอยู่เป็นอย่างมาก พวกเราไม่ได้มีทหารวิญญาณจำนวนมาก หลังจากการต่อสู้ที่นครชวีฟู่ ข้าคิดว่าจะรออีกสักหนึ่งปีก่อนจะเริ่มการเกณฑ์ทหาร นั่นน่าจะทำให้ประชาชนมีเวลาเพียงพอในการทำความคุ้นชินกับระบอบการปกครองใหม่และได้รับความไว้วางใจจากพวกเขา นั่นจึงทำให้จำนวนทหารที่เรามีเหลือเพียง 10,000 กว่านายเท่านั้น และที่ทำให้เรื่องแย่กว่าเดิมก็คือนี่เป็นจำนวนก่อนที่บุตรแห่งซูซะจะสังหารพวกเขาไปอีกหลายพัน แล้วแบบนี้พวกเราจะเอากำลังพลจากที่ใดมาสำรวจดินแดนใหม่กัน?”
เด็กหนุ่มวางถ้วยชาของตัวเองลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา “นอกจากนี้ ข้ายังไม่รู้ด้วยว่าสุเมรุจักรวาลที่ว่านี้อยู่ที่ใด มันจำเป็นจะต้องใช้กำลังคนจำนวนมากจากกองกำลังรักษาความปลอดภัยของยมโลกเพื่อระบุตำแหน่งนั้น จากความคาดคะเนของข้า ข้าไม่คิดว่ามันจะมีความเป็นไปได้เลยที่จะสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏขึ้นจนกว่าจำนวนประชากรของยมโลกจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยล้าน และมีทหารวิญญาณอีกอย่างน้อยสิบล้านนาย…”
แต่แล้วเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อพบว่าจ้าวนรกองค์ที่สองกำลังถือถ้วยชาและจ้องมองมาที่ตนพร้อมกับแย้มยิ้ม
สีหน้าของอีกฝ่ายบอกฉินเย่ว่ามันมีอะไรบางอย่างมากกว่าที่เห็น ทันใดนั้น ฉินเย่ก็กระแอมออกมา “ขอให้ข้าได้คิดเรื่องนี้อีกสักนิด…”
จ้าวนรกองค์ที่สองรอคอยอย่างใจเย็นขณะที่ฉินเย่พยายามคิดอย่างหนักเพื่อหาคำตอบ จากนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้น “กฎการทำงานร่วมกันของหยินและหยางของชุยเจวี๋ย?”
จ้าวนรกองค์ที่สองพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เก่งมาก อย่างน้อยเจ้าก็ยังสามารถเรียนรู้ได้”
ให้ตายเถอะ…ฉินเย่พยายามข่มความปรารถนาที่จะตบหน้าอีกฝ่ายแรง ๆ สักครั้ง
เขาไม่ชอบผู้ชายทุกคนที่มีใบหน้าหล่อเหลาและมีเสน่ห์มากกว่าตัวเอง
ช่างเถิด…ในเมื่อเขาไม่สามารถเอาชนะคนตรงหน้าได้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอดทนกับความเจ็บปวดนี้แทน ฉินเย่กระแอมออกมา ขณะที่เคาะโต๊ะเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ท่านพูดว่ามีสถานที่หลายแห่งในแดนมนุษย์ที่มีความลับมากมายซ่อนอยู่ แต่มันยังไม่ถูกค้นพบเพราะว่ายมโลกไม่สามารถสำรวจมันอย่างละเอียดได้ แต่ตามกฎการทำงานร่วมกันของหยินและหยาง สิ่งใดที่มีอยู่ในแดนมนุษย์ก็จะมีอยู่ในโลกใต้พิภพเช่นกัน อีกนัยนึงก็คือ ตราบใดที่ข้าสามารถระบุตำแหน่งสุเมรุจักรวาลที่อยู่ในแดนมนุษย์ได้ เช่นนั้นในโลกใต้พิภพเองก็จะมีมันอยู่เช่นกัน”
“แต่มันติดปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือข้าจะค้นหาสถานที่เหล่านั้นได้อย่างไร?” เขาไม่ได้เอ่ยต่อ หากมันมีสิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากการปกครองนครเผิงชิว มันก็คือสิ่งที่ว่าความหวังนั้นมีความสำคัญยิ่ง
และความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาจะมอบให้กับเหล่าประชากรของยมโลกได้ก็คือความหวังในการกลับไปยังแดนมนุษย์!
ไม่ว่าจะเป็นความหวังในการเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์ ความหวังในการไปเข้าฝันบุคคลอันเป็นที่รัก หรือความหวังในการกลับไปเกิดและอาศัยในแดนมนุษย์อีกครั้ง!
การสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับการพัฒนาของยมโลก! เมื่อมันถูกสร้างขึ้นมา ยมโลกก็จะสามารถกลับมาทำหน้าที่ที่แท้จริงของมันได้อีกครั้ง นี่จะเป็นทางที่ดีที่สุดในการทำให้ประชากรนรกอยู่ภายใต้การควบคุม!
“ไม่ต้องรีบ” แต่ทันใดนั้นจ้าวนรกองค์ที่สองกลับเอ่ยแทรกขึ้น “กงล้อแห่งสังสารวัฏและขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ล้วนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่หลักของยมโลกทั้งสิ้น พวกมันไม่เพียงต้องการวัสดุที่เฉพาะสำหรับการก่อสร้างเท่านั้น แต่มันยังจำเป็นที่จะต้องได้รับการศึกษาเชิงลึกจากศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ศาสตร์แห่งยันต์ ชีววิทยาจิตวิญญาณหยิน และอื่น ๆ มันยังเร็วเกินไปที่ยมโลกจะเริ่มดำดิ่งลงไปในสิ่งเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่ายมโลกจะไม่สามารถเริ่มวางรากฐานสำหรับงานในอนาคตได้”
เขาลุกขึ้นยืน “อย่างไรก็ตาม มันไม่เป็นไรหากเจ้าจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพยายามจะสื่อ แต่ตอนนี้ เจ้าควรเริ่มตรวจดูมรดกของยมโลกก่อนหรือไม่?”
ฉินเย่หุบยิ้มและพยักหน้า “นั่นสิ ท่านเหลือเวลาอีกไม่มากใช่หรือไม่?”
“สองเดือน” จ้าวนรกองค์ที่สองตอบกลับ
มันจะยังเหลืออีกสองเดือนได้อย่างไรกัน?!
ไม่ใช่ว่าคุณจะต้องไปเร็วกว่านั้นหรอกหรือ? นี่การไหลของเวลาในที่ที่ท่านจากมันแตกต่างไปจากที่นี่หรืออย่างไร?! หรือว่ามีใครบางคนตอกตะปูยึดร่างท่านไว้ที่นี่?
ท่านรู้หรือไม่ว่าการดำรงอยู่ของท่านมีค่าใช้จ่ายมากเพียงใด?
ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านสร้างความกดดันให้ข้ามากเพียงใด? แล้วท่านรู้บ้างหรือไม่ว่าการที่ต้องแสร้งทำเป็นขยันต่อหน้าท่านทุกวันนั้นมันยากเพียงใด?
นอกจากนี้ ท่านไม่เคยได้ยินช่องทางการสื่อสารที่เรียกว่า QQ บ้างเลยหรือ? ท่านช่วยส่งคำสั่งของตัวเองผ่านมาทางข้อความไม่ได้หรืออย่างไร? มันคงไม่ใช่เพราะว่าเลือดเนื้อของข้าหรอกใช่หรือไม่ที่ทำให้ท่านยังคงอยู่ที่นี่?!
ความหวาดกลัวกระตุ้นความกล้า ในขณะที่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ ทว่าเขาก็พยายามระงับความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง
“ถ้าเช่นนั้น…เรามาเริ่มกันเลยดีหรือไม่?” ฉินเย่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับมรดกของยมโลกผ่านแอป QQ แทนที่จะต้องตกอยู่ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของอีกฝ่าย!
จ้าวนรกองค์ที่สองไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเลิกคิ้วขึ้นกับคำตอบของฉินเย่ และทันใดนั้น รอบตัวของเด็กหนุ่มก็เริ่มพร่าเลือนและจางหายไป
ไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกอย่างก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง และเด็กหนุ่มก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ท่ามกลางทะเลดอกบัวที่ไร้ขอบเขต
ทั้งเขาและจ้าวนรกองค์ที่สองกำลังนั่งอยู่บนเรือที่มีขนาดประมาณสิบเมตร ลวดลายที่ถูกสลักอยู่บนตัวเรือนั้นงดงามเป็นอย่างมาก และมันก็ดูเหมือนกับเรือที่หลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ
“ตัวดอกสีแดง ใบบัวสีเขียว และรากดอกบัวสีขาว*[4] ทั้งสามความเชื่อล้วนมีรากเหง้าเดียวกัน” พวกเขากำลังนั่งอยู่ที่หัวเรือ จ้าวนรกองค์ที่สองรินชาใส่ถ้วยและส่งให้กับฉินเย่ “ร่างของข้าได้ประกอบไปด้วยความเชื่อทั้งสาม ดังนั้นข้าจึงคิดที่จะสร้างถ้ำดอกบัวเขียวแห่งนี้ขึ้น หวังว่ามันคงจะไม่รบกวนสายตาของเจ้าจนเกินไป”
เขากำลังต้องการคำชมในความพยายามของตัวเอง…
ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ ขณะที่ยกถ้วยชาของตนเองขึ้น “ก็สวยดี”
จ้าวนรกองค์ที่สองหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่ลูบลำเรืออย่างแผ่วเบา ทันใดนั้น ตัวเรือก็เริ่มเคลื่อนตัวไปตามทะเลดอกบัวนี้ ขณะที่ดอกบัวปรากฏไปทั่ว มันก็เผยให้เห็นปลาคาร์ฟจำนวนมากที่มารวมตัวกันที่เรือของพวกเขา แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันกำลังแบกรับน้ำหนักของเรือและพาพวกเขาแล่นผ่านผืนน้ำ กลีบดอกบัวดังกล่าวมีขนาดใหญ่มาก ในขณะที่ก้านของมันดูเหมือนกับลำต้นของต้นไม้สูงที่พุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า แสงดวงอาทิตย์ฉายลงมาผ่านช่องว่างระหว่างดอกไม้เหล่านั้น สร้างประกายระยิบระยับขึ้นบนผิวน้ำด้านล่าง
มันเป็นภาพที่ทำให้ฉินเย่รู้สึกผ่อนคลายจากวิถีชีวิตอันวุ่นวายของจ้าวนรกแห่งยมโลก
“ดูเหมือนว่าท่านจะรู้จักวิธีสร้างความเพลิดเพลินให้กับชีวิตเป็นอย่างดี” ชายหนุ่มละทิ้งการเสแสร้งทั้งหมด ยกขาขึ้นไขว่ห้างและล้มตัวลงนอนบนพื้นหลังของเรือขณะที่มองไปยังดอกบัวที่อยู่เหนือศีรษะ “บอกมา มันผ่านมานานเพียงใดแล้วนับแต่งตั้งที่ท่านเริ่มมีความคิดที่จะส่งต่อหน้าที่และความรับผิดชอบ แล้วจึงเกษียณมาอยู่ที่นี่?”
ตุ้บ…
จ้าวนรกองค์ที่สองเองก็ทำแบบเดียวกันก่อนจะส่ายหน้าไปมา “อีกคนหนึ่งที่เคยมาที่นี่ หากไม่นับเจ้าก็คือปั๋ว อี้เข่า แต่เขาเป็นคนโง่ อย่าทำเหมือนเขาเด็ดขาด”
“ฮ่า ๆๆๆ…ไม่ใช่ว่าท่านเองก็เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? ไม่ใช่ท่านเองก็หลอกข้าเช่นกันหรืออย่างไร? จะว่าไป นี่เป็นหนึ่งในขนบธรรมเนียมสำหรับการส่งต่อหน้าที่ของตัวเองให้กับผู้สืบทอดหรืออย่างไร? แต่ข้าก็ไม่มีปัญหาที่จะทำมันเช่นกันหรอกนะ…”
จ้าวนรกองค์ที่สองเอามือเท้าศีรษะของตนและพึมพำออกมาอย่างเกียจคร้าน “…ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ นอกจากนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันน่าเบื่อเพียงใดที่จะต้องอยู่ในสถานที่เดิม ๆ เป็นเวลานานกว่าร้อยปี? ทันทีที่รัฐบาลเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทุกอย่างจะเป็นไปราวกับเครื่องจักร ตราบใดที่ไม่มีเหตุฉุกเฉินใด ๆ เกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าก็ยังอยากจะแข่งขันกันเพื่อให้ได้เป็นที่หนึ่ง รายงานเจ้าถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเขาได้ทำ แล้วเจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะพยักหน้าไปราวกับตุ๊กตาผงกหัว และเพราะว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล เจ้าจึงไม่สามารถกำจัดพวกเขาเหมือนที่เจ้าตบยุงได้!”
เงียบ…
มันเป็นภาพที่เงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสองต่างเพลิดเพลินไปกับวินาทีแห่งการพักผ่อนและจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่ผ่านไปเป็นเวลากว่าห้านาที ก่อนฉินเย่จะเอ่ยทำลายความเงียบในที่สุด “จะว่าไป ข้ายังไม่รู้ชื่อของท่านเลย ตำแหน่งของท่านในเวลานี้ยาวเกินไป มันค่อนข้างยากที่จะเรียกท่านต่อไปแบบนั้น”
เงียบ…
“ไม่เอาน่า…สักนิดนึงก็ไม่ได้หรือ? ท่านกำลังจะจากไปแล้วนี่? และข้าก็ต้องจุดธูปถึงท่านในเทศกาลเช็งเม้งที่จะมาถึง แต่มันคงจะยุ่งยากเกินไปหากจะต้องเขียนว่า ‘จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลก’ ในทุกครั้งที่ต้องการจะเอ่ยถึงท่าน…”
เด็กหนุ่มหลับตาลง “และหากท่านคิดที่จะพูดแค่ ‘นิดนึง’ ล่ะก็ โปรดรู้ด้วยว่าความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ท่านไม่รู้หรือว่าข้าอยากจะส่งท่านไปยังโลกหลังความตายมากเพียงใด? แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถสู้ท่านได้”
ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ
หากพูดกันตามความจริง ฉินเย่ไม่คาดหวังว่าจะได้คำตอบจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้เขาก็ได้ลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือลงไปในน้ำและเริ่มเพลิดเพลินไปกับการปล่อยให้ปลาคาร์ฟมาตอดที่นิ้วของตัวเองเบา ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าหลังจากผ่านไปประมาณ 30 นาที จ้าวนรกองค์ที่สองก็เอ่ยขึ้น “สวีหยางอี้*[5]”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน มันไม่ใช่ชื่อที่แย่นะ แต่เหตุใดมันจึงฟังดูเหมือน ‘มันฝรั่ง’ เลย?” *[6]
“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ดีใจ เพราะมันคงจะน่าสงสัยมากหากเจ้าจะเคยได้ยินชื่อนี้” สวีหยางอี้ตอบกลับเสียงเรียบ “จะว่าไป เจ้าช่วยขยับไปหน่อยได้หรือไม่? เจ้าก็ไม่ได้ตัวสูง แต่เหตุใดจึงใช้พื้นที่เยอะนัก?”
…ได้ พวกคลั่งความสูง เลิกทำตัวเป็นพวกอันธพาลได้แล้ว!
[1] 1 ใน 3 เทพเจ้าสูงสุดตามความเชื่อของลัทธิเต๋า
[2] เทพผู้มีชื่อเสียงในตำนานจีน
[3] 须弥芥子 (xū mí jiè zǐ) สำนวนจีนที่อธิบายพุทธศาสนาที่ไร้ขอบเขตและพลังวิเศษมากมาย โดยนำชื่อมาจากวิมาลาคีรติพระสูตร พระสูตรยอดนิยมในพุทธศาสนานิกายมหายานที่ระบุไว้ว่าเขาพระสุเมรุสามารถถูกใส่เข้าไปในเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้ และในทางกลับกัน เขาพระสุเมรุจึงเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งหมด
[4] ทั้งสามความเชื่อนี้แสดงถึงสามความเชื่อหลักภายในจีน ขงจื๊อ เต๋า และพุทธศาสนา
[5] ตัวละครสวีหยางอี้ไม่ได้มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ แต่เป็นชื่อที่มาจากตัวละครหลักในนิยายเรื่องก่อนของผู้เขียน
[6] 阳逸 (หยางอี้) ฟังคล้ายกับ 洋芋 (หยางอวี้) ที่แปลว่ามันฝรั่ง