ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 446 มดที่อยู่บนหม้อร้อน
ชีวิตคนเรา เมื่อมาถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานถึงจะเข้าใจข้อดีของ ‘การมีคนคุ้มกะลาหัว’
เจ้าบอกว่าบ้านข้ามีพริก บ้านข้าเอานมเหลวๆ มาทำเป็นเสบียงเต้าหู้นมได้ บ้านข้าทำเนื้อตากแห้งสำหรับใช้เป็นเสบียงในค่ายทหารได้ ตราบใดที่พวกเขาต้องการ พวกเราก็ทำเป็นทุกอย่าง บอกมาเลยว่าต้องการอะไร
ไม่มีประโยชน์
ใครเขาจะฟัง
อย่าว่าแต่เสบียงสารพัดอย่างเลย ต่อให้ตอนนี้อยากตะโกนออกไปว่า บ้านข้ามีพื้นที่พิเศษ มีหนังสือแผนที่ มีโทรทัศน์กับคอมพิวเตอร์ที่ต่อให้พวกเจ้าทึ้งหัวให้ตายก็ไม่เข้าใจ ยังจะมีประโยชน์อะไร
คนระดับสูงที่ตัดสินชะตาของเจ้าได้ ไม่มีทางมาฟังเรื่องพวกนี้ เจ้าเข้าไม่ถึงตัวหรอก
ถ้าหลับหูลับตาไปลากเจ้าหน้าที่มาฟัง ดีไม่ดีเดี๋ยวได้ถูกแย่งของไปเสียง่ายๆ อีกทั้งคนก็ยังจะถูกจับไปด้วย
ดังนั้นในยามปกติ ถึงแม้ชาวบ้านจะคิดว่า เป็นคนรวยช่างดีเสียจริง ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย การได้เป็นเศรษฐีคือสิ่งที่ใฝ่ฝัน
แต่เมื่อถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ก็จะพบว่า ยังต้อง ‘มีคนคุ้มกะลาหัว’ ในครอบครัวต้องมีคนรับราชการ
หากในครอบครัวมีคนรับราชการ อย่างน้อยก็พอมีช่องทางใช้เส้นสายได้บ้าง
ช่องทางนี้ก็คือที่พึ่ง ช่วยผ่อนจากหนักเป็นเบาได้ ไม่ต้องไปเสี่ยงดวงเอาข้างหน้าแบบพวกชาวบ้าน
เริ่นกงซิ่นพาลูกชายสองคนของเขานั่งรถม้าเข้าเมืองไปแล้ว
แต่ที่หน้าบ้านของเขากลับวุ่นวายสุดๆ
ในสายตาของคนในหมู่บ้าน ตอนนี้บ้านเริ่นกงซิ่นก็คือช่องทางที่พึ่ง สามารถไปหาคนที่ตัดสินชะตาชีวิตพวกเขาเพื่อต่อรองได้
มีหญิงชราคนหนึ่งเกือบคุกเข่าลง “คนอย่างข้าขึ้นชื่อเรื่องเลอะเลือน อย่าถือสาข้าเลยนะ” กำลังขอร้องภรรยาของเริ่นกงซิ่น
อยากให้เริ่นจื่อเซิงช่วยออกหน้าไปพูดกับเจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหาร พวกเขาจะขอจ่ายเป็นเงินหรือเสบียงแทน
ในสายตาของพวกชาวบ้าน พวกขุนนางใหญ่ก็ต้องรู้จักกันอยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ใช่เหรอ วัดกันที่ว่าเขาจะยอมช่วยหรือไม่
แต่ก็จนปัญญาแล้ว ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร ต้องลองดูเป็นครั้งสุดท้าย ทำได้เพียงมาขอร้องบ้านเริ่นกงซิ่นที่มีขุนนางใหญ่
ภรรยาสาวท้องโตของเริ่นกงซิ่นกลับรู้สึกดี
นางไม่สนว่าเริ่นจื่อจิ่วกับเริ่นจื่อฮ่าวจะถูกเกณฑ์ไปหรือไม่ เพราะในท้องนางก็ยังมีอีกคนไม่ใช่เหรอ
“ไอ๊หยา อย่าคุกเข่าให้ข้าเลย ข้ารับไม่ไหว คราวก่อนที่ท่านพี่ของข้าลงจากตำแหน่ง พวกท่านสะใจกันมากไม่ใช่เหรอ แถมยังบอกว่าจะไม่ให้ไก่บ้านข้าแล้ว”
ยายคนนั้นพูดขึ้นทันที “เดี๋ยวข้าจะกลับไปจับไก่มาให้เดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้ายังไม่หายโกรธ จะเอาไก่ทั้งบ้านข้าไปเลยก็ได้ ขอแค่เริ่นจื่อเซิงยอมช่วยก็พอ”
“ลูกชายคนโตของข้างานยุ่งมาก” อันที่จริงตอนนี้ภรรยาสาวท้องโตคนนี้ตอนนี้ยุ่งยิ่งกว่าเริ่นจื่อเซิง เพราะนางถูกหญิงสูงวัยคนอื่นลากไปเอาเงินยัดใส่มือ เมื่อให้เสร็จ หญิงสูงวัยคนนั้นก็ประสานมือทำท่าขอร้อง ความหมายในแววตาชัดเจนมาก ก็คือขอให้ช่วย
แม้แต่สะใภ้เก้าบ้านเศรษฐีที่ดินก็มา
บ้านของนางแยกกันไปจัดการสองทาง ผู้เฒ่ากำลังนั่งรถม้าไปเมืองเฟิ่งเทียน เพื่อไปหาหลานสาวคนโต หลานเขยคนโตรับราชการเป็นพ่อครัวอยู่ในค่ายทหาร ลองดูว่าจะช่วยไปคุยกับใครได้หรือไม่ น่าจะเป็นหน่วยงานเดียวกับที่เกณฑ์ทหาร
แต่สะใภ้เก้าคิดในใจ นางไม่คิดว่าทางหลานสาวคนโตจะช่วยอะไรได้ เกรงว่าทำสงครามครั้งนี้ หลานเขยคนโตก็คงกลุ้มเหมือนกัน ตำแหน่งไม่ได้ใหญ่โต
แต่เริ่นจื่อเซิงต่างกัน ถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องขุนนางน้อยใหญ่ แต่หลานเขยจวนโหว ต่อให้พวกเขาจะโง่กว่านี้ก็ย่อมรู้ว่าจวนโหวใหญ่ขนาดไหน
สะใภ้เก้าคิดว่า ห้ามปล่อยแม้แต่โอกาสเพียงน้อยนิด เพื่อลูกชายกับหลานชาย อย่างไรก็ต้องไปขอร้องดู
“ไอ๊หยา อย่าพูดเลย วันนั้นที่พวกยายๆ ฝั่งนู้นมายืนด่าข้าอย่างสาดเสียเทเสีย ตอนนั้นทำไมพวกท่านไม่พูดล่ะว่าพวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน พวกเขาเป็นคนนอก เข้าข้างข้าบ้าง ตอนนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยข้า แต่พวกท่านยังยืนหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ พวกท่านนี่ก็ตลกดีนะ”
เล่นเอาสะใภ้เก้าโมโห ยังไม่ทันจะอ้าปากก็ถูกภรรยาของเริ่นกงซิ่นย้อนเข้าให้
พวกป้าอ้วนที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง นั่นก็ถูกแม่สามีหยิกแขนอย่างแรง
แม่สามีของพวกนางรู้สึกว่า แย่แล้ว ไม่สำเร็จ ตบต้นขาแล้วพูดว่า “ดูซิ ยังจะขอร้องอย่างไรได้อีก วันนั้นเจ้าก็หัวเราะเยาะเขาไม่เบา”
พวกป้าอ้วนร้องไห้คร่ำครวญ “ท่านแม่ ต่อไปข้าจะไม่หัวเราะเยาะอีกแล้ว”
ไม่แปลกที่คนในหมู่บ้านจะมาขอร้องบ้านเริ่นกงซิ่น
ไม่แปลกที่ภรรยาสาวท้องโตของเริ่นกงซิ่นจะทำตัวอวดดีได้ขนาดนี้
เพราะเริ่นจื่อเซิงมีความสามารถแบบนั้นจริงๆ สามารถใช้เส้นสายเรื่องเกณฑ์ทหารได้
เริ่นจื่อเซิงรู้ข่าวล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อคืน
เขาไปที่จวนโหวทันที
เวลาแบบนี้เริ่นจื่อเซิงไม่สนอะไรทั้งนั้น ต่อให้จวนโหวไม่ต้อนรับก็ต้องไป เพื่อน้องชายสองคน
ตอนขึ้นปีใหม่เขาเพิ่งจุดธูปสาบานต่อหน้าป้ายวิญญาณของมารดา วันหน้าจะตั้งใจดูแลสั่งสอนน้องชายให้ดี ดูแลครอบครัวเริ่นให้ดี แล้วจะทนดูน้องชายถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารได้อย่างไร
แต่เมื่อไปถึงจวนโหว เริ่นจื่อเซิงก็พบว่า จวนโหวกำลังเล่นละครฉากใหญ่อยู่
ฮูหยินของบ้านกำลังทะเลาะกับพ่อตาเขาอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย น้ำเสียงต่อว่าต่อขาน ‘ท่านจะเป็นขุนนางที่ภักดีก็ได้ ให้ลูกชายไปแสดงความจงรักภักดีก็ได้ แต่ทำไมถึงไม่ให้ลูกอนุไป กลับให้ลูกชายสายตรงเอาชีวิตไปทิ้ง’
พ่อตาของเขาถูกด่าก็โมโหฉุนเฉียว ปาโถกระเบื้องสำหรับล้างพู่กันแตก ด่าว่าไม่จงรักภักดี
เริ่นจื่อเซิงฟังแล้วก็คิดว่า สาเหตุที่พ่อตาเลือกลูกชายสายตรง เป็นเพราะลูกชายของอนุเรียนหนังสือเก่งกว่า ส่วนลูกชายสายตรงสู้พี่ชายไม่ได้ อีกทั้งเขาก็พอจะเข้าใจเรื่องทางการทหาร
ฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ในช่วงใช้คนไปช่วยขนอาวุธ ก็ยังดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ เวลาแบบนี้การได้ช่วยฮ่องเต้องค์ใหม่แบ่งเบาภาระ นับเป็นหน้าที่ของราษฎร
ฮูหยินของบ้านกลับฟังไม่เข้าหู “อาวุธถูกขนไปแนวหน้ามิใช่รึ ไม่อันตรายรึ ต่อให้ท่านพูดจนปากฉีกมันก็คือการเอาชีวิตไปทิ้ง”
ท่านโหวโมโหขึ้นมาทันที “ต่อให้ตายก็ถือเป็นเกียรติ หากข้าสูญเสียลูกชายไปหนึ่งคนแล้วแลกมาซึ่งความสงบของบ้านเมือง ข้าก็ยอม”
เริ่นจื่อเซิงฟังถึงตรงนี้ก็สะดุ้งเฮือก
ทันใดนั้น เขาก็ตระหนักได้ว่า แย่แล้ว ที่อยากให้น้องชายสองคนไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารน่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
นั่นสินะ อดีตอ๋องเยี่ยน ตอนนั้นคิดเพียงว่าอยากให้ราษฎรมั่งมี ยิ่งราษฎรมีชีวิตที่ดี คลังหลวงก็ยิ่งเพิ่มพูน อุดมสมบูรณ์
แต่ฮ่องเต้องค์ใหม่ในตอนนี้ สถานะเปลี่ยนไป มนุษย์น่ะ ใช้ก้นตัดสินสมอง สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่ว่าราษฎรจะเป็นอยู่อย่างไรอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องการรวมเป็นหนึ่งโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น
เริ่นจื่อเซิงถึงขั้นคิดว่า ต่อให้สิ้นทายาทแล้วอย่างไร ขอเพียงแต่รวมเป็นหนึ่งได้ ขอเพียงแต่จัดการเก็บอ๋องพวกนั้นได้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังจะขาดแคลนราษฎรได้อีกเหรอ หากกำลังพลทางเหนือหมด เขาก็ยังมีทางใต้
ตอนนั้น ในขณะที่เริ่นจื่อเซิงกำลังรู้สึกสิ้นหวัง หนีไม่พ้นแล้ว เขากลับฉุกคิดขึ้นมาได้จากคำด่าของฮูหยินจวนโหว
“ทำไมตระกูลลู่ถึงไม่ให้ลู่พั่นไป นั่นก็เพราะมีลูกชายสายตรงอยู่คนเดียว ขนาดคนของตระกูลลู่ยังแค่ให้ลู่พั่นไปฝึกทหาร”
ฝึกทหารเหรอ
เริ่นจื่อเซิงฉุกคิดขึ้นมาได้
นั่นสิ ได้ยินว่า ยังจะมีการรับสมัครคนไปฝึกทหารชุดใหม่ เงื่อนไขคือขอคนที่มีร่างกายดี น้องชายสองคนของเขาคงรับไหว
ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องไปแนวหน้าหรือไม่
แต่ขอแค่ใช้เส้นสายหน่อย ส่งน้องชายสองคนไปอยู่ในกลุ่มฝึกทหาร อย่างน้อยที่สุดก็จะไม่ถูกส่งไปทันที ได้เรียนการป้องกันตัวด้วย ได้ยินว่าหลังจากฝึกเสร็จ ทหารกลุ่มนั้นจะไม่ใช่ทหารรับเคราะห์ทั่วไป พวกเขาจะไม่มีทางถูกส่งไปตายอย่างไร้ค่า
ที่กล่าวมานี้
เมื่อเริ่นกงซิ่น เริ่นจื่อจิ่ว เริ่นจื่อฮ่าว ไปถึงบ้านของเริ่นจื่อเซิง พอได้ยินว่าเริ่นจื่อเซิงไปจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ดีกว่าการรับเกณฑ์ทหารทั่วไป
เริ่นจื่อฮ่าวก็น้ำหูน้ำตาไหล “พี่ใหญ่ ตอนพี่ตีข้า ข้ายังแอบด่าพี่ ข้าผิดไปแล้ว”