ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 431 ข้าไม่ยกนางให้แน่ หากเจ้ายังข่มเหงพี่เขยเช่นนี้
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 431 ข้าไม่ยกนางให้แน่ หากเจ้ายังข่มเหงพี่เขยเช่นนี้
หนานกงอู๋เชวียหรี่ตาลงพลางเพลิดเพลินกับกลิ่นหอม เขาเอียงคอ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
กลิ่นหอมลอยตามลมมาปะทะจมูก ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปนำพากลิ่นดังกล่าวให้ไปกระตุ้นตุ่มรับรสของเขา
หนานกงอู๋เชวียครางออกมาเบาๆ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขานึกไปว่ามีบางคนกำลังปรุงโอสถทิพย์ แต่ตอนนี้… เขาแน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่กลิ่นหอมของโอสถทิพย์ เพราะกลิ่นหอมของโอสถทิพย์นั้นไม่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ กลิ่นหอมที่บร ริสุทธิ์เช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกหลากหลายท่วมท้น
หนานกงหมิงยืนงุนงงเพราะไม่เข้าใจว่าหนานกงอู๋เชวียพูดถึงอะไร เขาเองก็ได้กลิ่นหอมในอากาศเช่นกัน แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกประหลาดแม้แต่น้อย
นี่คือย่านที่ขายโอสถอดอาหารหลากรส อย่างไรเสียการได้กลิ่นหอมของโอสถทิพย์ก็ถือเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
สภาพของคุณชายอู๋เชวียค่อนข้างแปลกประหลาด เหตุใดเขาจึงดูมึนเมากับกลิ่นหอมนี้ ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมามากมาย เขายังต้องสนใจกลิ่นหอมของโอสถอดอาหารหลากรสอีกหรือ
“กลิ่นหอมลอยมาจากทางนั้น ไปกันเถอะ“ หนานกงอู๋เชวียลืมตาแล้วมองไปยังทิศทางดังกล่าวก่อนจะเริ่มออกเดิน
หนานกงหมิงตกใจสุดขีด ร้านอาหารหมอกเมฆาเองก็ตั้งอยู่ทางนั้นเช่นกัน หรือว่ากลิ่นหอมนี่จะลอยมาจากร้านอาหารหมอกเมฆา เป็นไปไม่ได้ กลิ่นเดียวที่โชยออกมาจากร้านนั้นคือกลิ่นเหม็น สุดจะบรรยายต่างหาก
“เหตุใดจึงไม่เห็นเหมือนก่อนหน้านี้เลย”
จู่ๆ หัวใจของหนานกงหมิงก็กระตุก เขาเดินตามหนานกงอู๋เชวียไปแล้วแอบภาวนาอยู่ในใจ
ทว่ายิ่งเข้าใกล้ร้านเท่าไรเขาก็เริ่มสิ้นหวังเท่านั้น
คนมหาศาลออกันอยู่ตรงหน้าประตูร้านอาหารหมอกเมฆา จมูกของคนเหล่านี้กระตุกถี่ๆ ขณะสูดดมกลิ่นหอมในอากาศ สีหน้าของทุกคนออกอาการหลงใหลไร้สติ
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้
พวกเจ้าไม่ได้พะอืดพะอมกับกลิ่นเหม็นที่โชยออกมาจากร้านหรืออย่างไร
“นี่หรือร้านอาหารที่เจ้าบอกว่าเหม็นจนคลื่นเหียน” หนานกงอู๋เชวียมีสีหน้าประหลาดใจขณะหันมองหนานกงหมิงพลางเอ่ยถาม
หนานกงหมิงแทบจะร้องไห้ออกมา ก่อนหน้านี้มันไม่ใช่แบบนี้ เถ้าแก่ของร้านทำอาหารจากของเสียจริงๆ
“คุณชาย ข้า… ก่อนหน้านี้มัน…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าจงหุบปากนับแต่นี้” หนานกงอู๋เชวียตบไหล่หนานกงหมิงเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินเข้าร้านไป
พลังปราณของหนานกงอู๋เชวียมีอานุภาพยิ่ง เขาทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้หนึ่งชิ้นแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสอดแทรกฝูงชนเข้าไปในร้าน
ทันใดที่เข้าไป เขาก็เห็นหนานกงหวั่นกำลังนั่งกินอาหารอยู่ น้ำซุปหยดติ๋งลงมาจากปากของนาง
คิ้วของหนานกงอู๋เชวียกระตุกทันที เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ยายเด็กนี่ไม่ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองบ้างหรือไร
…
น้ำซุปในปากเข้มข้นกลมกล่อม
ดวงตาของหนานกงหวั่นเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ น้ำซุปนี่เปี่ยมด้วยพลังปราณเข้มข้นที่ทำให้นางตัวเบาและรู้สึกผ่อนคลาย นางรู้สึกราวกับร่างกายถูกชำระล้าง พอน้ำซุปค่อยๆ ไห หลลงกระเพาะ ภายในกายก็เหมือนมีเปลวไฟลุกโชนจนทำให้พลังปราณเที่ยงแท้ของนางเริ่มเดือดปุดอย่างควบคุมไม่อยู่
“ความรู้สึกนี้…”
หนานกงหวั่นตะลึงงัน รู้สึกว่าพลังปราณเที่ยงแท้ของตัวเองพัฒนาขึ้นเล็กน้อย และคอขวดที่ทำให้นางค้างเติ่งอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นเซียนเทพก็คลายตัวออกนิดๆ
น้ำซุปนี่ช่างอัศจรรย์จริงๆ
ประสาทรับรสของหนานกงหวั่นค่อนข้างเฉียบคม นางค้นพบว่ารสชาติของน้ำซุปประกอบไปด้วยวัตถุดิบมากมาย ซึ่งทำให้รู้สึกตกใจยิ่งขึ้นไปอีก
“สมุนไพรหมอกเมฆ ใบวิญญาณขี้เหล็กทั้งแปด…”
ทั้งหมดคือวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงโอสถทิพย์ระดับเก้า แต่เถ้าแก่ปู้กลับใช้พวกมันทำอาหารเสียได้ ช่างเสียของจริงๆ ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนการใช้ของพวกนี้ทำอาหารก็ไม่ได้เสียเปล่ าเสียทีเดียว
หนานกงหวั่นตกใจเมื่อคิดได้ว่าพระกระโดดกำแพงของปู้ฟาง เหมือนจะสำแดงสรรพคุณของวัตถุดิบทั้งหลายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำซุปนี่ยังมีกลิ่นหอมเตะจมูก ทั้งยังเข้มข้นน่าห หลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
สรรพคุณของมันเหมือนจะเหนือกว่าโอสถทิพย์เสียด้วยซ้ำ
“นี่คือขาหมูป่าเพลิงระเบิดระดับแปดใช่หรือไม่” หลังจากซดน้ำซุป หนานกงหวั่นก็เปิดปากแล้วพรูลมหายใจออกมา นางใช้ตะเกียบคีบขาหมูป่า พลางกะพริบตาคู่งามแล้วเอ่ยถาม
“ถูกแล้ว… มันคือขาหมูป่าเพลิงระเบิดระดับแปด” ปู้ฟางตอบ ค่อนข้างประหลาดใจที่นางเดาวัตถุดิบได้จากการชิม
เป็นที่รู้กันว่าวัตถุดิบบางอย่างจะเจือจางระหว่างขั้นตอนการปรุง และไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ สมุนไพรพลังปราณคือหนึ่งในนั้น มันจะเหลือรสชาติจางๆ ในน้ำซุปเท่านั้น
กระนั้นหญิงสาวผู้นี้กลับสามารถแยกแยะวัตถุดิบได้หลายอย่าง ดูเหมือนนางจะมีแววเป็นสุดยอดนักชิม
หลังหายจากอาการตกใจ หนานกงหวั่นก็คว้าขาหมูขึ้นมาฉีกกินอย่างมีความสุข
ภาพของหญิงงามกำลังถือขาหมูแล้วใช้ฟังฉีกกินเรียกได้ว่าค่อนข้างน่ากลัวไม่น้อย
กลุ่มคนที่อยู่หน้าประตูร้านต่างตกตะลึงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว และหนานกงอู๋เชวียก็ได้เห็นภาพนี้ขณะเดินเข้ามาในร้านเช่นกัน
ชายหนุ่มรู้ดีว่าน้องสาวของตนหยิ่งทะนงและจองหองเพียงใด และยังรู้อีกด้วยว่านางห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองขนาดไหน แต่ตอนนี้นางกลับถือขาหมูแล้วใช้ปากฉีกกินเสียอย่างนั้น
ภาพลักษณ์ของนางต้องถูกทำลายย่อยยับแน่
หนานกงอู๋เชวียรู้สึกอยากหัวเราะเยาะยายเด็กนี่ขึ้นมาทันที เขายกยิ้มมุมปากแล้วเดินไปหานางเงียบๆ
ปู้ฟางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองชายหนุ่มหน้าตาดีที่กำลังเดินตรงมาด้วยความสับสน
คนผู้นี้เดินมาลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงตรงข้ามหนานกงหวั่น พลางยกยิ้มมุมปากก่อนจ้องมองนาง
หนานกงหวั่นที่กำลังกินขาหมูอย่างจริงจังรู้สึกทันทีว่ามีสายตาขี้เล่นจ้องมองมา จึงใช้หางตามองคนผู้นั้น
“แค็ก… แค็ก…”
ก่อนปรายตามองอีกฝ่ายหนานกงหวั่นยังปกติดี แต่หลังจากมองแล้ว หญิงสาวก็แทบสำลักเนื้อหมูป่าออกมา
“หนานกงอู๋เชวีย เหตุใดเจ้าจึงออกจากการเก็บตัวฝึกตนแล้ว”
หนานกงหวั่นโยนขาหมูซึ่งเหลือแต่กระดูกลงบนโต๊ะเสียงดังตุ้บ แก้มของนางพองออกขณะจ้องหนานกงอู๋เชวียตาเขม็ง
“เจ้ายังไม่ขึ้นเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุทวิเมฆาเสียหน่อย”
หนานกงหวั่นโบกมือที่มันเยิ้มไปมา นางยืนขึ้นแล้วหยิบปีกสองชิ้นออกมาจากโถตั้งใจจะยัดเข้าปาก
พระกระโดดกำแพงอร่อยหรือไม่น่ะหรือ
มันอร่อยจนหยุดไม่อยู่จริงๆ
อร่อยชนิดที่เรียกได้ว่าทำให้คนกินน้ำตาไหลได้ และตอนนี้หนานกงหวั่นก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา พระกระโดดกำแพงนั้นอร่อยกว่าข้าวผัดไข่ลิบลับ
เนื้อติดมันตรงขาหมูไม่ได้มันเยิ้ม ทั้งยังนุ่มราวสำลี แม้ว่านางจะไม่ชอบเนื้อติดมันนักแต่ก็ยังเพลิดเพลินกับขาหมูติดมันอยู่ดี
ยิ่งน้ำซุปยิ่งอร่อย มันทำให้นางอิ่มเอิบใจจนเผลอครางออกมา
“น้องหญิง เจ้าเป็นหมู… หรืออย่างไรกัน”
ตอนที่หนานกงหวั่นกำลังจะแทะปีก นางก็พบว่ามันหายไปจากมือแล้ว
เสียงขี้เล่นดังขึ้นเมื่อหนานกงอู๋เชวียคว้าปีกไปดมแล้วเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมของมัน
“มันมีกลิ่นของดอกห้าผลจริงๆ ไม่ผิดแน่ เขาปรุงวัตถุดิบด้วยวิชาเล่นแร่แปรธาตุสินะ น่าสนใจจริงๆ น้องหญิง ข้าว่าเจ้าต้องลดน้ำหนักแล้ว พี่ใหญ่จะช่วยเจ้าชิมเอง”
หนานกงหวั่นโกรธสุดขีด นี่คือพระกระโดดกำแพงที่นางยอมจ่ายไปถึงหนึ่งหมื่นผลึก เหตุใดคนผู้นี้จึงหน้าด้านถึงเพียงนี้
นี่ไม่ใช่ปีกของไก่ธรรมดาทั่วไป แต่มาจากวัตถุดิบที่หนานกงอู๋เชวียคิดไว้อยู่แล้ว มันคือปีกของเหยี่ยวปราณวายุอสนีซึ่งเคี่ยวกำลังพอดี เนื้อของมันนุ่มละมุน มีความมันวาวสีส้ม มอมเหลืองที่ทำให้ทุกคนน้ำลายสอ
หนานกงอู๋เชวียยัดมันเข้าปากทันทีโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
ทว่าขณะปีกกำลังจะเข้าไปในปากกลับมีฝ่ามือเรียวขาวมาปิดปากเขาไว้
หนานกงอู๋เชวียสะดุ้งโหยง หนานกงหวั่นเองก็เช่นกัน นางหันมองปู้ฟางที่เพิ่งยกมือปิดปากหนานกงอู๋เชวีย
“โทษที ร้านข้ามีกฎว่าอาหารบางจานห้ามแบ่งปันกับคนอื่น หากเจ้าอยากกินต้องสั่งเอง” ปู้ฟางมองหนานกงอู๋เชวียก่อนจะพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หนานกงอู๋เชวียมองปู้ฟางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
เจ้านี่กล้าปิดปากเขาได้อย่างไร ไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร
“นางคือ… น้องสาวของข้า แล้วเหตุใดข้าจะกินของนางไม่ได้” หนานกงอู๋เชวียยกปีกชี้ไปทางหนานกงหวั่นพลางเอ่ยถาม
หนานกงหวั่นตาเบิกกว้างรีบคว้าปีกกลับมาอย่างรวดเร็ว
“หนานกงอู๋เชวีย หน้าด้านให้น้อยๆ หน่อยได้ไหม” หนานกงหวั่นเอ่ย
“ไม่เห็นต้องถาม พระกระโดดกำแพงนั้นจะแบ่งปันกันไม่ได้” ปู้ฟางชักมือกลับอย่างขยะแขยงพลางสะบัดมือไปมา เพราะเขาเพิ่งเอามือปิดปากชายผู้นี้ไป
หนานกงอู๋เชวียเหมือนจะรู้ตัวเช่นกัน ใบหน้าเริ่มมืดครึ้ม เขารีบเช็ดปากแล้วถุยน้ำลายก่อนลุกขึ้นยืน
“ข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าเป็นพี่ชายของนาง เมื่อรู้อย่างนี้เจ้ายังอยากได้นางอีกไหม ไม่รู้หรือว่าต้องเอาใจพี่เขยน่ะ” หนานกงอู๋เชวียมองปู้ฟางพลางกล่าวอย่างจริงจัง
ปู้ฟางอึ้งไป หมอนี่พูดบ้าอะไร
ปู้ฟางขยับมุมปาก พลางมองชายผมสีแดงเหมือนมองตัวตลก
หนานกงหวั่นโกรธจัด เหตุใดนางจึงมีพี่ชายที่พิลึกพิลั่นปานนี้
“หนานกงอู๋เชวีย หยุดพูดจาเหลวไหลเดี๋ยวนี้”
หนานกงอู๋เชวียลูบศีรษะหนานกงหวั่นเบาๆ หญิงสาวหยุดแทะปีกทันที หน้าตาขุ่นเคืองขั้นสุด “ข้าเข้าใจๆ… เพื่อผู้ชายคนนี้ เจ้ายอมทิ้งภาพลักษณ์ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก ข้าเข้าใจหมดทุกอย่าง”
เข้าใจบ้าเข้าใจบออะไร
หนานกงหวั่นอยากเอาปีกในมือตบอีกฝ่ายให้ตายคาที่เสียเดี๋ยวนี้
“พระกระโดดกำแพงโถละหนึ่งหมื่นผลึก หากเจ้าอยากกินก็สั่ง ไม่อย่างนั้นก็ไปให้พ้น”
ปู้ฟางอึ้งกับคำพูดของชายผู้นี้ไม่น้อย เมื่อได้สติเขาก็พูดด้วยสีหน้าตายด้าน
“หนึ่งหมื่นผลึกเชียวรึ แพงเกินไปไหม ข้าไม่ยกนางให้เจ้าแน่ถ้าคิดขูดรีดกันเช่นนี้…” หนานกงอู๋เชวียแยกเขี้ยวยิงฟัน ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะมองปู้ฟาง
พี่ชายของนางเหมือนตัวตลกไม่มีผิด ทั้งที่มีพรสวรรค์หาตัวจับยากเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ แต่กลับชอบทำตัวเป็นจำอวดสันหลังยาว
หากบิดาของนางไม่บังคับให้หมอนี่เข้าหอโอสถก่อนเดินทางไปทำธุระ เขาคงไม่ยอมเก็บตัวฝึกตนแน่
ก่อนไป บิดาของนางสั่งห้ามหนานกงอู๋เชวียออกจากหอโอสถจนกว่าจะได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุทวิเมฆา แล้วก็เป็นไปตามคาด เจ้าหมอนี่ออกจากหอโอสถทั้งที่ยังไม่ได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุทว วิเมฆา
หนานกงอู๋เชวียพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าหากบีบบังคับตัวเองเกินไป มันจะเป็นผลเสียต่อร่างกายได้
เมื่อคนภายนอกเห็นหนานกงอู๋เชวีย พวกเขาจึงส่งเสียงอื้ออึงออกมา เพราะคนผู้นี้ถือเป็นคนดังของเมืองหมอกนภาในตอนนี้
ทายาทตระกูลหนานกงเดินเข้าร้านอาหารเช่นนี้ แปลว่าตระกูลหนานกงสนับสนุนร้านนี้ใช่หรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจที่ไม่มีใครคิดจัดการเจ้าของร้าน ทั้งที่ปรุงของเสียในย่านของตระกูลหนานกง
“ข้ากินจานของน้องสาวไม่ได้จริงรึ เจ้าต้องรู้ไว้ด้วยนะ… ว่าทำเช่นนี้เอาชนะใจข้าไม่ได้แน่” หนานกงอู๋เชวียยังไม่ยอมแพ้ เขานั่งลงพลางพูดต่อ
ปู้ฟางยกมุมปากขึ้นพลางถอนหายใจออกมา
“เจ้าขาว มีตัวปัญหาแน่ะ”
หึ่ง…
แสงสีม่วงส่องประกายวูบวาบเมื่อเจ้าขาวออกจากครัวมา
หนานกงอู๋เชวียเลิกคิ้ว ดวงตาเหลือบมองปู้ฟางกับเจ้าขาวก่อนหันมองหนานกงหวั่นที่มีท่าทางดีอกดีใจ
เขายิ้มยิงฟันก่อนพูดอย่างขึงขัง “อย่ามีเรื่องกันดีกว่า ขอพระกระโดดกำแพงหนึ่งโถ ข้าพูดจริง”
หลังพูดจบ หนานกงอู๋เชวียก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ เขาชี้หนานกงหวั่นแล้วเอ่ยต่อ “ให้นางจ่าย นางรวยจะแย่”