ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 167 สง่างามดั่งต้นหยก
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ฉินเหยาเข้าเมืองจินสือเพื่อไปติดตั้งกังหันน้ำให้เถ้าแก่อู่
ตอนนี้งานใหญ่สุดท้ายก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงงานเล็กๆ ประปราย โรงงานผลิตจึงเริ่มว่างลง พอดีกับช่วงปีใหม่ จึงตัดสินใจให้คนงานหยุดพักกลับบ้านไปฉลองปีใหม่กัน
อย่างไรก็ตาม หลังปีใหม่จะมีงานให้ทำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนคำสั่งซื้อของโรงงาน หากมีไม่มากก็จะเก็บไว้เพียงช่างฝีมือไม่กี่คน
คนงานทั้งหลายไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะฤดูไถหว่านสำคัญกว่า พวกเขาเพียงหวังว่าเมื่อโรงโม่น้ำต้องการแรงงาน จะไม่ลืมพวกเขาก็พอ
ปีนี้สามารถหาเงินได้เท่ากับค่าแรงห้าเดือนจากที่บ้าน ทุกคนก็รู้สึกมีความสุขกันมาก
ด้วยเหตุนี้ ฉินเหยากับช่างไม้หลิวจึงมีเวลาว่างเช่นกัน
เมื่อส่งมอบอุปกรณ์ทั้งหมดให้เถ้าแก่อู่เสร็จสิ้น คนงานก็พากันกลับบ้าน ฉินเหยาลงมือทำการติดตั้งขั้นสุดท้ายด้วยตนเอง
วันนี้ยังเหลืออีกสองชุด นางสามารถจัดการให้เสร็จได้ภายในครึ่งเช้า เวลาที่เหลือจึงใช้ไปกับการเฝ้าดูหลิวจี้
ตอนที่หลิวจี้เดินผ่านเมืองจินสือ ฉินเหยากำลังเข้าเมืองไปซื้อเนื้อพอดีจึงไม่ได้พบกัน
จากนั้นฉินเหยาก็ติดตามเขาอยู่ห่างๆ ตลอดทาง พลางคิดว่าจะฆ่าเขาอย่างไร ฆ่าที่ไหน และหลังจากฆ่าแล้วจะจัดการศพอย่างไร
เมื่อหลิวจี้ฟังคำบรรยายของฉินเหยา จู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกไปทั้งหลัง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตลอดทางกลับมา ถึงรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
เขายังคิดว่าตนเองคิดมาเกินไป ที่ไหนได้กลับมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมองอยู่จริงๆ คิดแล้วก็น่าขนลุก!
หลิวจี้สะบัดศีรษะ พยายามไม่คิดเรื่องนี้อีก จากนั้นจึงเดินเข้าเรือนเก่าพร้อมกับฉินเหยา
เขาคิดว่าตัวเองจากบ้านมานาน ไม่รู้ว่าคนที่บ้านยังคิดถึงเขาอยู่หรือไม่ ความรู้สึกตื่นเต้นพลันก่อตัวขึ้นเล็กน้อย
แต่เมื่อก้าวเข้าไปในลานบ้าน บรรยากาศกลับผิดแปลกไป
จากเรือนข้าง มีเสียงร้องไห้ของทารกดัง “แว้แว้” แว่วมา ขณะที่หลิวเหล่าฮั่นกำลังนั่งสนทนากับหลิวไป่ที่ห้องโถง พูดคุยกันถึงชื่อที่ควรตั้งให้เด็กน้อย
หลิวจ้งถือกะละมังใส่ผ้าอ้อมเปียกชุ่ม กลิ่นเหม็นโชยออกมา ขณะเดินออกจากเรือนข้าง
นางจางกำลังต้มน้ำร้อนอยู่ในครัว นางร้องเรียกให้หลิวจ้งเข้ามาตักน้ำร้อนเพิ่ม เพื่อจะได้ล้างผ้าอ้อมได้สะอาดขึ้น
เสียงบ่นอย่างหงุดหงิดของนางเหอดังลอดออกมา “โอ้ สวรรค์! มีเด็กบ้านไหนกันที่ร้องไห้เก่งเช่นเจ้า หากยังร้องต่อไปแบบนี้ ท่านแม่เจ้าคงพักฟื้นไม่เป็นสุขแน่!”
เสียงของจินเป่าและจินฮวาดังแว่วมาจากเรือนข้างเช่นกัน คนหนึ่งพูดว่า “ท่านแม่ ให้ข้าอุ้มหน่อยนะ แค่ครู่เดียว ข้าจะอุ้มเบาๆ”
อีกคนพูดว่า “น้องเล็ก เจ้าอย่าร้องเลย หากยังร้องอีก วันหน้าข้ากับพี่จะไม่พาเจ้าไปเล่นด้วยแล้ว!”
ทุกคนในลานบ้านเห็นฉินเหยาเดินเข้ามาพร้อมกับหลิวจี้ แม้จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ต่างก็ยังคงยุ่งอยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่มีใครว่างมาสนใจเขามากนัก
อย่างไรเสีย พวกเขาก็รู้มาครึ่งเดือนแล้วว่าเขายังมีชีวิตอยู่
หลิวจี้รวบรวมความกล้าดึงแขนเสื้อของฉินเหยาเบาๆ “พี่สะใภ้รอง คลอดแล้วหรือ”
ฉินเหยามองเขาแวบหนึ่ง หลิวจี้รีบหดมือกลับทันที
“คลอดเมื่อวันที่แปดเดือนสิบสอง เป็นเด็กผู้ชาย” พูดจบ ฉินเหยาก็หิ้วเนื้อเดินเข้าครัวไป
นางจางมองอย่างประหลาดใจ “เมียเจ้าสาม เหตุใดเจ้าถึงซื้อเนื้อมาอีกเล่า บ้านเรายังมีเหลืออยู่เลย สองสามวันก่อนพวกเราพึ่งลงขันซื้อหมูตัวหนึ่งมาเชือด ตอนนี้ยังมีเหลืออยู่เลย”
ฉินเหยาวางเนื้อในมือลงทันทีแล้วกล่าวว่า “นั่นไม่เหมือนกัน เนื้อนี้สดใหม่ ไม่ว่าจะใช้ต้มข้าวต้มหรือต้มน้ำแกงก็ล้วนแต่หวานอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น พี่สะใภ้รองกินแล้วร่างกายจะดูดซึมได้ดียิ่งนัก”
แม้ว่าฉินเหยามักจะพูดคำแปลกๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกคนก็ยังพอเข้าใจความหมายที่นางต้องการสื่อ
หลิวจ้งที่กำลังซักผ้าอ้อมอุจจาระและปัสสาวะอยู่หันกลับมาเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง ขอบใจฉินเหยาที่ยังนึกถึงนางชิว
เสียงร้องไห้จากห้องข้างๆ ในที่สุดก็สงบลง นางเหออุ้มทารกมาคืนให้กับมารดาของเด็ก จากนั้นก็ลากจินเป่าที่ไม่ยอมออกจากห้องให้เดินตามออกมา
เมื่อแม่ลูกทั้งสองเห็นหลิวจี้ที่ยืนอยู่กลางลานบ้านก็ชะงักไปเล็กน้อย นึกในใจว่านี่เป็นบุรุษจากบ้านใดกัน ดูค่อนข้างแปลกหน้าอยู่ไม่น้อย
พอเพ่งมองให้ชัด จินเป่าก็ร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า “ท่านแม่! นั่น ท่านอาสาม ของข้ากลับมาแล้ว!”
นางมีลางสังหรณ์ว่าวันนี้คงต้องกินข้าวเย็นที่เรือนเก่าของตระกูล
เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลิวเหล่าฮั่นและนางจางต่างก็บอกให้ฉินเหยาอยู่กินข้าวด้วย อีกทั้งยังสั่งให้หลิวจี้ไปพาเด็กทั้งสี่คนที่บ้านมารวมกันเพื่อกินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาที่เรือนเก่า ถือเป็นมื้อรวมญาติ ส่วนวันปีใหม่ค่อยแยกย้ายกันจัดงานตามบ้านของตน
หลิวจี้เพิ่งรู้สึกว่าตนเองมีตัวตนอยู่บ้าง เขาถามฉินเหยาว่ามีของอะไรที่ต้องนำกลับบ้านหรือไม่ หากมีเขาจะถือกลับไปด้วยก่อน
ฉินเหยาชี้ไปที่ประตูด้านนอก พลางกล่าวว่า “เจ้าจูงเหล่าหวงออกไปเถอะ ข้าจะไปดูเจ้าตัวน้อย”
ทารกแรกเกิดนั้นน่ารักที่สุด ตัวนุ่มนิ่ม หอมกรุ่น ขนาดเล็กจิ๋ว น่ามองไม่รู้เบื่อ
แน่นอน เวลาร้องไห้ไม่รวมอยู่ในนั้น
แต่ถึงจะร้องไห้ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางต้องปลอบโยนแล้วนางจะกลัวอะไร
ฉินเหยาล้างมือจนสะอาดแล้วก้าวเข้าไปในเรือนของนางชิวด้วยความคาดหวัง
หลิวจี้ถือสัมภาระของตนเอง จูงเหล่าหวงแล้วเดินกลับบ้านเพียงลำพัง
ต้าหลางและพี่น้องทั้งสี่คนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมานานแล้ว พอหลิวจี้เดินไปถึงโรงโม่น้ำ พวกเขาก็ตื่นเต้นจนรีบวิ่งออกมาต้อนรับ
ต้าหลางเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ น้าเหยาให้ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เอ้อร์หลางถามว่า “แล้วเงินเหรียญของข้าเล่า?”
ซานหลางและซื่อเหนียงต่างจับแขนของท่านพ่อด้วยความคาดหวัง “ท่านพ่อ ท่านได้เอาถังหูลู่มาฝากพวกเราหรือไม่”
หลิวจี้รู้สึกหนาวเยือกในใจ ลูกๆ ไม่มีสักคนที่สนใจว่าเขาลำบากหรือไม่ หรือว่าเขาป่วยไข้หรือเปล่า
เขาสะบัดมือออกจากฝาแฝดแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยังจะคิดกินถังหูลู่กันอีกหรือ พ่อพวกเจ้าคราวนี้เกือบกลับมาไม่ได้แล้วนะ!”
แต่พอเห็นใบหน้าเอ้อร์หลางที่ราวกับเจ้าหนี้ เขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ก่อนจะแบมือทั้งสองออกมา “ไม่เหลือแม้แต่เหรียญเดียว”
แต่ก็กลัวว่าเอ้อร์หลางจะโกรธเขาเลยรีบปลอบว่า “พ่อเป็นคนรักษาคำพูด บอกว่าจะคืนให้เจ้าก็ต้องคืนแน่ รอวันหน้าพ่อร่ำรวยขึ้นแล้วจะคืนให้ทั้งหมดเลย ชายชาตรีต้องใจกว้าง อย่าเอาแต่จ้องเงินทองเล็กน้อยพวกนี้สิ”
คำพูดไม่ว่าดีหรือร้าย เขาล้วนพูดออกมาจนหมดสิ้น เอ้อร์หลางได้แต่ถลึงตาจ้องมองเขาด้วยความขุ่นเคือง
สุดท้ายสายตาก็ไปตกที่ต้าหลางซึ่งแฝงแววกังวล เขายิ้มเศร้า “สุดท้ายแม่เลี้ยงของเจ้าก็ยังปล่อยวางบุรุษรูปงามเช่นข้าไม่ได้ วางใจเถอะ”
เขาเจ้าหลิวสามไม่ตายง่ายๆ หรอก!
ต้าหลางและพวกพี่น้องพากันมองสำรวจหลิวจี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หนวดเครารุงรัง เสื้อผ้าขาดวิ่น รองเท้าเผยให้เห็นนิ้วเท้า เหลือเพียงใบหน้าที่ยังพอดูสะอาดอยู่บ้าง
เช่นนี้ ท่านพ่อยังกล้ากล่าวว่าตนเองรูปงามสง่าอีกหรือ
แต่ไม่ว่าอย่างไร หลิวจี้สามารถกลับบ้านได้ พี่น้องทั้งสี่ก็ยังคงยินดีอยู่ดี
พอรู้ว่าตอนเย็นจะไปกินข้าวที่เรือนเก่าก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่!
แม้ว่ากับข้าวที่ฉินเหยาทำจะกินได้ แต่ก็ไม่ได้อร่อย ยังสู้ฝีมือของต้าหลางและเอ้อร์หลางไม่ได้
แต่สองพี่น้องอายุยังน้อย ทักษะการใช้กระทะกับตะหลิวล้วนเทียบกับมือเก่าที่ใช้กระบวยใหญ่เช่นนางเหอไม่ได้
ดังนั้น ทุกครั้งที่ได้ไปกินข้าวที่เรือนเก่า สำหรับพวกเขาทั้งสี่ก็เหมือนได้ไปร่วมงานเลี้ยง
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ฉินเหยาเองก็เฝ้ารอให้คนเรือนเก่าชวนไปกินข้าว เพื่อจะได้ปรับปรุงคุณภาพอาหารเสียบ้าง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเหยาก็รู้สึกว่าหลิวจี้กลับมาก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปอาศัยเรือนเก่ากินข้าวอีก
หลังจากจัดแจงตัวเองเรียบร้อย ป้อนหญ้าให้ม้าที่เกือบจะเหยียบเขาตาย หลิวจี้ก็เดินนำลูกๆ ทั้งสี่ไปยังเรือนเก่าด้วยจิตใจฮึกเหิม
คนทั้งบ้านนั่งล้อมวงอยู่ในห้องโถงของเรือนเก่า ทั้งคนแก่คนหนุ่ม เหมือนกับช่วงเทศกาลปีใหม่ คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
หลิวจี้พูดน้อยลงไปมาก แต่พอเอ่ยปากก็ยังคงปากเสียเหมือนเดิม ไม่แทงใจดำคนอื่นก็ยุแยงความสัมพันธ์สามีภรรยา
พอรู้ว่าหลิวเฝยเริ่มมองหาสตรีแล้ว เขาก็พุ่งเป้าไปที่หลิวเฝยทันที จนอีกฝ่ายอับอายถึงขั้นพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะสู้กับเขาสักยก