ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 198 แป้งทอด
เอ้อร์หลางมิได้เร่งร้อนหรือกระวนกระวายแต่อย่างใด เขารินน้ำใส่ชามใบใหญ่ให้ตนเอง ดื่มดับกระหายเสียก่อน จากนั้นจึงนำกระดาษปึกหนาที่แนบอยู่ในอ้อมอกออกมาวางบนโต๊ะ ท่ามกลางสายตาเร่งเร้าของต้าหลาง
จากนั้นเขาก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง หยิบเอาเงินเหรียญที่กระจัดกระจายออกมากองลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังกังวาน
ฉินเหยาตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ความคิดแรกที่แล่นเข้าสมองก็คือ พี่น้องไม่กี่คนนี้เหมือนจะร่วมกันรีดไถเงินคุ้มครองจากผู้อื่นเสียแล้ว
นางรีบหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาตรวจดู มีทั้งหมดสิบห้าแผ่น บนกระดาษเหล่านั้นเป็นลายมือของเอ้อร์หลางที่เรียบร้อยเป็นระเบียบ จดบันทึกไว้ว่ารับเงินมัดจำจากใครบ้าง แต่ละคนจ่ายมาเท่าไร อีกทั้งยังระบุวันส่งมอบสินค้าก่อนเดือนสาม และที่มุมกระดาษแต่ละใบยังมีรอยนิ้วมือที่จุ่มหมึกประทับเอาไว้
ที่แท้ ทั้งหมดนี้ก็คือใบสั่งซื้อที่เขียนด้วยลายมือ! และสินค้าที่ถูกสั่งซื้อนั้นก็คือหีบหนังสือพลังเซียน
ฉินเหยามองเงินเหรียญที่ถูกกองอยู่บนโต๊ะ แล้วหันไปมองเอ้อร์หลางที่ยืนยิ้มแฉ่งอย่างภาคภูมิใจ นางหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “ใช้ได้นี่ หลิวเอ้อร์หลาง! ส่วนแบ่งจากยอดขาย ข้าจะให้เจ้าไม่ขาดไปแม้แต่เหวินเดียว!”
เอ้อร์หลางก็รอคอยคำนี้อยู่นั่นแหละ เขาหัวเราะจนปากแทบฉีก เผยให้เห็นช่องฟันหน้าที่หายไปจนกลายเป็นโพรง แต่ซานหลางกับซื่อเหนียงกลับชี้ให้เขาดู เขาจึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก
กระนั้น ดวงตาที่เขามองไปยังพี่ใหญ่และเหล่าพี่น้องก็ยังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เห็นหรือไม่เล่า? เขากล่าวแล้วมิใช่หรือว่า ท่านแม่ไม่มีทางตำหนิที่เขานำหีบหนังสือไปขาย
ทว่าความคิดนั้นเพิ่งจะผุดขึ้นในใจ สายตาเย็นเยียบของฉินเหยาก็มองมา นางเอ่ยเตือนว่า “พรุ่งนี้ฝนจะตก”
ทันทีที่ได้ยิน เอ้อร์หลางก็หัวเราะไม่ออกทันที หมึกและกระดาษเป็นของล้ำค่า จะให้เปียกชื้นไม่ได้โดยเด็ดขาด
แต่น่าเสียดายที่เขาขายหีบหนังสือไปแล้ว จึงทำได้เพียงหันไปขอร้องต้าหลางให้ช่วยเก็บตำราให้ตนอีกสักหลายวัน
พี่น้องร่วมสายเลือดก็ยังต้องคิดบัญชีให้ชัดเจน ต้าหลางจึงคำนวณค่าเช่าอย่างจริงจัง ก่อนจะกล่าวว่า “ค่าเช่าวันละสองเหวิน”
เอ้อร์หลางจับจ้องเขาด้วยความคับแค้น ก่อนจะกัดฟันแน่นแล้วกล่าวว่า “ตกลง!”
ฉินเหยาโบกมือไล่พวกเขาให้ออกจากห้องโถงไปเตรียมอาหารเย็น ด้านในจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง นางรวบรวมเงินเหรียญบนโต๊ะมานับดู ได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบเหวิน
มีคำสั่งซื้อสิบห้ารายการ แต่ละรายการเก็บเงินมัดจำไว้สิบเหวิน
บนรายการสั่งซื้อยังไม่ได้ระบุราคาสุทธิของหีบหนังสือพลังเซียน แต่หีบหนังสือหีบแรกที่เอ้อร์หลางขายไปนั้นได้ราคาห้าเฉียน คิดว่าคงตั้งราคาขายไว้ที่ห้าเฉียน หรืออาจจะแพงกว่านั้นสักหน่อย บรรดาคุณชายผู้มั่งคั่งเหล่านี้ก็คงยอมจ่ายได้
ช่างไม้หลิวรู้เรื่องต้นทุนของไม้และเวลาในการทำงานดีกว่า ฉินเหยาจึงตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าหลังจากส่งเด็กๆ ไปสำนักศึกษาแล้ว นางจะไปพบเขาเพื่อกำหนดราคาขายให้แน่นอน
นอกจากนี้ หีบหนังสือพลังเซียนรอบนี้ บางทีพวกนางอาจลองเป็นฝ่ายเสนอขายเองดูบ้างก็ได้
สิ่งนี้ขายง่ายกว่ากังหันน้ำมาก เพียงแค่ส่งมอบก็จบ ไม่มีปัญหาต้องตามดูแลภายหลัง ไม่ต้องติดตั้ง แถมค่าใช้จ่ายในการขนส่งก็ต่ำมาก
แม้ว่าหีบหนังสือแต่ละใบจะทำกำไรได้เพียงสองถึงสามเฉียน แต่ตลาดกว้างกว่า อัตรากำไรก็สูงกว่า
เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าไป๋ซั่นที่เดินทางลงใต้กลับมาแล้วหรือยัง หากสามารถร่วมมือกันได้อีกครั้ง อุตสาหกรรมหลักของหมู่บ้านตระกูลหลิวก็คงจะมั่นคงขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การทำหีบหนังสือไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการขุดหิน การตัดไม้ปลอดภัยกว่าการขุดหินมาก อีกทั้งนางก็ไม่ต้องนำกลุ่มคนไปเปิดหน้าผาหินด้วยตนเองทุกครั้งอีกด้วย
เช่นนี้นางก็จะสามารถประหยัดเวลาไว้สำหรับทำงานในสวนผักและนาที่ยังค้างอยู่ได้
ตอนนี้เป็นเดือนสองแล้ว อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นทุกวัน ข้าวสาลีที่ปลูกในฤดูหนาวในนาเริ่มถึงเวลาที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ทุกครอบครัวในหมู่บ้านต่างก็ยุ่งอยู่ในทุ่งนา ในหมู่บ้านเต็มไปด้วยภาพของสตรีที่ขะมักเขม้นทอผ้า สำหรับชาวนาแล้ว เวลาที่จะได้พักตลอดทั้งปีนั้นช่างน้อยจริงๆ
หากโรงงานเล็กๆ ของนางและช่างไม้หลิวไม่สามารถรับคำสั่งซื้อได้อย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านก็จะไม่มาทำงานในโรงงานช่วงฤดูเพาะปลูกที่ยุ่งวุ่นวายเช่นนี้
แม้ว่าค่าจ้างจะสูงกว่าการเพาะปลูก แต่ธัญพืชยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เนื่องจากอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจเกษตรขนาดย่อม ผู้คนต่างเพาะปลูกธัญพืชเลี้ยงชีพกันเอง จึงไม่มีอาหารส่วนเกินออกมาจำหน่ายในตลาดมากพอที่จะเลี้ยงดูผู้คนจำนวนมากที่ไม่ทำการเพาะปลูก
เมื่อจำนวนผู้เพาะปลูกลดลง ราคาธัญพืชก็จะปรับตัวสูงขึ้น ถึงตอนนั้น เงินค่าจ้างที่มีอยู่ก็อาจไม่พอซื้ออาหารประทังความหิวได้
ผู้คนในหมู่บ้านล้วนคุ้นชินกับวิถีชีวิตเช่นนี้ แม้จะลำบาก แต่ก็มั่นคง
แต่คนที่ทุกข์ยากที่สุดก็คือฉินเหยา นางพยายามอย่างหนักที่จะปรับตัว แต่ก็ยังไม่อาจเข้ากับพวกเขาได้
ใครเล่าจะชอบทำนาจริงๆ?
สิ่งที่นางชอบก็คือชีวิตชนบทแบบบ้านพักตากอากาศที่มีอินเทอร์เน็ต มีไฟฟ้า มีห้องน้ำ ฝักบัว ชักโครก และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะพร้อมกับสภาพแวดล้อมที่สะอาดและสะดวกสบาย
ส่วนเงื่อนไขข้อแรกๆ นั้นทั้งชีวิตนี้อาจไม่มีวันเป็นจริงได้ อย่างน้อยก็ขอให้ได้แค่ข้อสุดท้ายก็ยังดี
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดทุกคนล้วนอยากเรียนหนังสือและเข้าสอบเคอจวี่
แรงงานเกณฑ์และภาษีของแคว้นเซิ่ง แม้จะดีกว่ายุคราชวงศ์ก่อนมาก แต่สำหรับราษฎรธรรมดาแล้ว แรงกดดันก็ยังหนักหนาอยู่ดี
โดยเฉพาะเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับชาวนาในยุคปัจจุบันซึ่งแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
อย่างน้อยในยุคปัจจุบัน หากไม่สามารถจ่ายภาษีข้าวได้ก็ไม่ถึงกับต้องถูกประหารล้างชั่วโคตร
จริงสิ ยุคปัจจุบันน่ะ ไม่ต้องส่งภาษีข้าวกันแล้วด้วยซ้ำ
“ท่านแม่! ได้เวลากินข้าวแล้ว!”
คู่แฝดวิ่งเข้ามาในบ้านพร้อมชามและตะเกียบ บรรยากาศสดใสร่าเริงของเด็กๆ ดึงฉินเหยาออกจากความหม่นหมองในใจ
นางรวบรวมเงินเหรียญทั้งหมดเข้าด้วยกัน จัดเก็บให้เรียบร้อยแล้วเก็บกวาดโต๊ะให้ว่าง จุดตะเกียงน้ำมัน เตรียมตัวกินข้าว
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางต้มโจ๊กหนึ่งหม้อแล้วผัดผักเขียวอีกหนึ่งจาน กับหมูเค็มหั่นบางอีกหนึ่งจานเป็นกับข้าว ความเค็มหอมของหมูและความสดชื่นของผักเขียว เมื่อนำมาผสมกับโจ๊กขาวร้อนๆ ยิ่งช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ทว่ายังพักไม่ได้ ต้องเตรียมอาหารสำหรับมื้อเช้าและมื้อกลางวันของวันพรุ่งนี้ เพื่อสะดวกในการนำไปสำนักศึกษา
ต้าหลางคิดจะทำแป้งทอด เขาเลยหมักแป้งไว้ตั้งแต่ตอนทำข้าวเย็น พอกินข้าวเสร็จแล้วพักสักหน่อย เวลาก็พอดี แป้งที่หมักไว้ก็นุ่มฟูสวยงาม
เอ้อร์หลางหั่นหมูเค็มออกมาชิ้นหนึ่ง ล้างให้สะอาดแล้วซอยเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นหยิบหน่อไม้ที่ต้มแล้วตากแห้งไว้ใต้ชายคาซึ่งเก็บมาจากภูเขาเมื่อสองวันก่อน เอามาแช่น้ำสักพัก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมเข้ากับหมูเค็ม
สุดท้ายก็นำไส้ที่หอมฉุยนี้ไปห่อในแป้งที่ต้าหลางนวดเสร็จเรียบร้อย แล้วนำลงทอดในกระทะเหล็ก
หากนางเหอมาเห็นวิธีทำเช่นนี้ เกรงว่าคงร้องโวยวายว่าเป็นการสิ้นเปลืองแน่
แต่ฉินเหยาไม่เคยประหยัดเรื่องอาหารการกิน ต้าหลางและสี่พี่น้องจึงค่อยๆ คุ้นชินกับรสชาติน้ำมันและเกลือเข้มข้น พวกเขาสนใจเพียงว่าทำอย่างไรให้อาหารอร่อย เรื่องเปลืองน้ำมันอะไรพวกนี้ ตอนนี้แทบไม่ได้ใส่ใจแล้ว
ยามค่ำคืน กลิ่นหอมลอยออกมาจากห้องครัวเป็นระลอก ฉินเหยานอนอยู่บนเตียง ครุ่นคิดเรื่องไร่ข้าวสาลีสิบหมู่ของตนว่าจะเก็บเกี่ยวเมื่อไหร่ดี คิดไปคิดมา กำลังจะผล็อยหลับ ทว่ากลิ่นหอมเย้ายวนก็ทำให้นางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
นางลุกขึ้นเดินมายังหน้าห้องครัว เห็นคนเป็นพี่ทั้งสองคนกำลังลงมือทำอาหาร ส่วนคนน้องสองคนนั้นก็ยืนแนบชิดอยู่ด้านหลัง ชะเง้อคอมองด้วยความสนใจ
ซานหลางน้ำลายแทบจะไหลออกจากปาก เขาสูดซี๊ดกลับเข้าไปแล้วกลืนน้ำลายลงคอ “พี่ใหญ่ พี่รอง หอมมากเลย~”
เอ้อร์หลางคีบแป้งทอดชุดแรกที่ทอดเสร็จแล้วใส่จาน ซานหลางก็ยื่นมือออกไปหมายจะหยิบ แต่กลับถูกพี่ชายตบออกอย่างไร้ปรานี
“เจ้าโง่ เดี๋ยวก็ลวกปากหรอก!” เอ้อร์หลางเอ็ดเสียงเข้ม
ซานหลางทำหน้าเศร้าอย่างน่าสงสาร
สุดท้ายเอ้อร์หลางก็ใจอ่อน ตักแป้งทอดร้อน ๆ ใส่ชามใบเล็กแยกออกมา วางไว้บนเขียง แล้วส่งตะเกียบให้คู่แฝดคนละคู่ พลางกำชับว่า “เป่าให้เย็นก่อนแล้วค่อยกิน เข้าใจหรือไม่”
“อื้มๆ!” เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าหนักแน่นแล้วก็พากันเป่าลมใส่ชาม “ฟู่วๆ~”
พอเป่าให้เย็นลงหน่อยแล้ว ซื่อเหนียงก็แบ่งแป้งทอดออกเป็นชิ้นเล็กๆ ลองชิมกับพี่เล็กก่อน จากนั้นจึงคีบขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วยื่นให้พี่ใหญ่ชิมบ้าง
ต้าหลางกำลังยุ่งอยู่กับงานในมือ พอเห็นก็อ้าปากงับแป้งทอดไส้แน่นเข้าปากทันที แป้งด้านนอกกรอบ ไส้ด้านในเค็มหอม หน่อไม้ซอยสุกกำลังดี กรอบๆ กรุบๆ แถมยังมีรสหวานติดปลายลิ้นนิด ๆ อร่อยมาก
ทว่าน้ำมันดูจะเยอะไปสักหน่อย ชุดถัดไปคงต้องให้เอ้อร์หลางช่วยสะเด็ดน้ำมันให้ดี ไม่เช่นนั้นพอถึงพรุ่งนี้เมื่อน้ำมันเย็นลง แป้งทอดจะเลี่ยนเกินไปกินไม่อร่อย