ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 227 เข็นรถ
ฝนค่อยๆ ซาลง ฝนตกหนักมาเร็วไปเร็ว พริบตาเดียวท้องฟ้าก็สดใส
เพียงแต่มองถนนที่เฉอะแฉะนอกศาลา หลิวจี้ก็รู้สึกหนักใจ
ความทรงจำที่ตายไปในสมองเริ่มฟื้นคืนมา เขานึกถึงวันที่ตนเองขนส่งเสบียงไปยังชายแดนแล้วเจอฝนตกหนักถนนเฉอะแฉะอีกครั้ง
ความเจ็บปวดในนั้น เขาเพียงเสียใจที่ความรู้อันน้อยนิดไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
“ฉินเหนียงจื่อ พวกเราจะรออีกหน่อยดีหรือไม่” หลิวลี่ขมวดคิ้วถาม เขายืนอยู่บนขั้นบันไดหินของศาลา ยกขาขึ้นหลายครั้งแต่ก็ไม่กล้าก้าวออกไป
รองเท้าที่สวมอยู่เป็นรองเท้าใหม่ที่ภรรยาเพิ่งทำให้ก่อนออกจากบ้าน หากก้าวลงไปเพียงก้าวเดียว รับรองว่าคงสกปรกจนดูไม่ได้
ที่นี่ไม่มีรองเท้ากันฝน แม้ฉินเหยาจะไม่อยากให้รองเท้าสกปรกก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้
ทว่าทำให้รองเท้าสกปรกน้อยลงสักสองสามคู่ก็ยังดี
ฉินเหยามองดูท้องฟ้า บ่ายนี้คงไม่มีฝนแล้ว “ออกเดินทางต่อเถิด เดินทางอีกยี่สิบลี้ก็จะถึงเมืองถัดไป ไม่ไกลแล้ว”
กล่าวจบ เมื่อเห็นว่าหลิวลี่ไม่มีความเห็น ฉินเหยาจึงสั่งหลิวจี้ว่า “เจ้าไปเลื่อนรถม้ามาใกล้ๆ หน่อย ข้าจะอุ้มเด็กๆ ขึ้นรถไปก่อน”
หลิวจี้จะว่าอะไรได้ ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก้าวเท้าลงบนพื้นดินที่ถูกน้ำฝนชะล้าง เสียงพรืดดังขึ้น ความรู้สึกเหมือนเหยียบอึช่างยอดเยี่ยมเสียจริง
ต้าจ้วงส่งสัญญาณให้หลิวลี่รออยู่ในศาลาแล้วเดินตามหลิวจี้ไป เขาเหยียบย่ำผ่านโคลนเพื่อไปเลื่อนรถม้ามา หลิวลี่ยืนห่างออกไปกว่าครึ่งเมตร อาศัยต้าจ้วงช่วยพยุงตัวขึ้นรถม้า
เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วมองหลิวจี้ด้วยท่าทางภาคภูมิใจเล็กน้อย
“ชิ~” หลิวจี้เบ้ปาก เสแสร้ง! เขาไม่ริษยาหรอก!
ฉินเหยาหนีบพวกต้าหลางสี่พี่น้องไว้ใต้รักแร้แล้วส่งขึ้นรถม้าทีละคน กำชับให้พวกเขานั่งดีๆ ส่วนตนเองก็กระโดดขึ้นไปนั่งอีกฝั่งของรถม้ากับหลิวจี้ สองครอบครัวออกเดินทางต่อ
ทว่าถนนเฉอะแฉะ บรรทุกของมาก็มาก เหล่าหวงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนอีก
“เฮ้ เจ้าม้าดื้อนี่มัน ตอนเช้าข้าเพิ่งให้ถั่วดีๆ เจ้าไปกระบวยหนึ่ง เจ้ากลับหมดแรงเสียแล้วหรือ” หลิวจี้เร่งม้าหลายครั้งแต่มันก็ไม่ยอมขยับจึงอดไม่ได้ที่จะด่าทอ
หลิวลี่และบ่าวที่ตามหลังมาก็ถูกรถม้าข้างหน้าขวางทางไว้จึงไปต่อไม่ได้
ทว่ารถม้าของพวกเขามีคนนั่งเพียงสองคน สถานการณ์ก็หาได้ดีไปกว่าบ้านของฉินเหยาเท่าใดนัก
เหล่าหวงเป็นม้าพันธุ์สูงใหญ่ มีพละกำลังมหาศาล
ส่วนม้าของบ้านหลิวลี่เป็นม้าเตี้ยพันธุ์ทั่วไป รูปร่างเล็กกว่า แถมรถม้าของพวกเขาก็เป็นล้อไม้ล้วนๆ ที่ไม่ได้หุ้มโลหะ ม้าจึงลากอย่างยากลำบากมาก
ฟังเสียงตะโกนจากข้างหน้าและข้างหลัง ฉินเหยาก็แหงนหน้ามองขึ้นฟ้า ถอนหายใจหนักๆ แล้วผลักหลิวจี้ให้โดดลงจากรถม้าพลางเหยียบลงบนโคลนอย่างมั่นคงตามไป
เดิมทีหลิวจี้รู้สึกโกรธเล็กน้อยที่ถูกผลักลงจากรถอย่างกะทันหัน แต่ยังไม่ทันได้อาละวาด ก็เห็นฉินเหยากระโดดลงมาด้วย
ดีมาก คราวนี้ไม่มีใครรอดพ้นจากการกลิ้งเกลือกกับโคลนไปได้ ยุติธรรมดี
“ฉินเหนียงจื่อ?” ต้าจ้วงที่อยู่ข้างหลังถามด้วยความสงสัย “ท่านจะทำอะไรหรือ”
ฉินเหยาตอบว่า “ลดน้ำหนัก เข็นรถ”
นางตะโกนเรียกหลิวลี่ที่อยู่ในห้องโดยสารรถม้า “ลงมาเดินเถิด ข้างหน้าก็ถึงเมืองแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยหาที่ล้างตัวให้สะอาดก็พอ”
เทียบกับการติดอยู่บนถนนจนเสียเวลาเดินทางแล้ว ความสกปรกจะนับเป็นอะไรได้
เดิมทีก็เสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยามเพราะหลบฝน หากเสียเวลาไปมากกว่านี้ กว่าจะถึงเมืองถัดไปฟ้าก็มืดเสียแล้ว
ต้าจ้วงกระโดดลงมาก่อน ให้หลิวลี่นั่งรถต่อไป เขาจะเข็นรถเอง
หลิวลี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่บนรถม้าต่อไปตามคำแนะนำของต้าจ้วง ลองดูก่อนว่าแบบนี้จะไหวหรือไม่ หากไม่ไหวจริงๆ เขาค่อยลงจากรถ
เรื่องของสองนายบ่าว ฉินเหยาไม่สะดวกที่จะพูดอะไร ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง
นางกำชับต้าหลางและซื่อเหนียงที่เกาะหน้าต่างรถ “อยู่ในรถดีๆ อย่าเข้าใกล้หน้าต่างมากนัก ระวังเสื้อผ้าจะเปื้อนโคลน”
ต้าหลางส่ายหน้า “ให้ข้าลงไปด้วยเถิด”
หลิวจี้เกิดสำนึกอันดีขึ้นมาอย่างหาได้ยาก รีบเอ่ยห้ามว่า “เจ้าอย่าลงมาเลย ฟังคำแม่เจ้า อยู่เฉยๆ เถิด”
หลิวจี้จูงม้าอยู่ข้างหน้า ฉินเหยาเข็นรถอยู่ข้างๆ เหล่าหวงรู้สึกว่าแรงกดดันลดลงมาก จึงยอมขยับเท้า เดินไปข้างหน้าช้าๆ
ต้าจ้วงดึงม้า ม้าก็ยอมเดิน ทว่าความเร็วก็ยังสู้ทางฉินเหยาไม่ได้ ระยะห่างของทั้งสองฝั่งยิ่งเดินยิ่งห่างกันมากขึ้น เมื่อเห็นว่าฉินเหยาต้องหยุดรออีกครั้ง หลิวจี้ก็อดไม่ได้ตะโกนใส่รถม้าเสียงดังว่า
“เจ้าหลิวรอง เจ้าลงจากรถมาเดินไม่ได้หรือไง?! ชักช้าอยู่ได้ ยังต้องให้ข้ามารอเจ้าอีก หากรอต่อไปฟ้าคงจะมืดแล้ว!”
ฉินเหยามิได้ห้าม เพียงแต่หัวเราะขบขันกับสภาพที่เปรอะเปื้อนโคลนของหลิวจี้ ท่ากระโดดโลดเต้นของเขาเหมือนลิงคลุกโคลนไม่มีผิด
เมื่อหลิวจี้หันกลับมาก็สบเข้ากับรอยยิ้มหยอกเย้าของนาง เขาอับอายจนพาลโกรธ ชี้หน้านางแล้วพูดว่า “เจ้าหัวเราะอะไร พวกเราก็สภาพเดียวกันนั่นแหละ!”
ฉินเหยาขมวดคิ้ว “เจ้าหาเรื่องตายหรือ”
นางกลับไม่รู้ว่าบนใบหน้าของตนก็มีโคลนติดอยู่หยดหนึ่งซึ่งตรงกับคางพอดี เหมือนแม่สื่อในงิ้วไม่มีผิด ปกติหลิวจี้จะไม่กล้าหัวเราะเยาะนาง เว้นเสียแต่จะตลกจริงๆ
“พรืด~” เขากลั้นไม่ไหว ปล่อยลมออกมาทางปาก
ต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียงที่เกาะประตูรถอยู่ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย “ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ท่านแม่ ท่านเหมือนแม่สื่อเลย!” เอ้อร์หลางหัวเราะพลางชี้ไปที่คางของฉินเหยากล่าว
ฉินเหยาชะงัก ยกมือลูบคาง สีหน้าเย็นชาของนางก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่อีก หัวเราะออกมาเสียงดังเช่นกัน
เสียงหัวเราะของคนทั้งหกคนดังสนั่นก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า แผ่กระจายไปไกลแสนไกล
หลังจากหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน ทั้งครอบครัวจึงหยุดลง ต่างคนต่างน้ำตาคลอเบ้า
ทว่าเมื่อหัวเราะเช่นนี้แล้ว ก็ไม่รู้สึกว่าถนนที่เฉอะแฉะนั้นแย่อีกต่อไป
ซื่อเหนียงนั้นสมกับเป็นเสื้อนวมตัวน้อยของท่านแม่ นางหาผ้าเช็ดหน้าออกมา พยายามยื่นมือเล็กๆ ส่งให้ฉินเหยา “ท่านแม่ เช็ดหน้าเถิด”
ฉินเหยาแตะจมูกเล็กๆ ของนาง เด็กหญิงตัวน้อยกลัวจั๊กจี้จึงหดคอแล้วส่งยิ้มให้
ฉินเหยาเช็ดหน้าให้สะอาด เก็บผ้าเช็ดหน้าที่สกปรกไว้บนที่นั่งคนขับก่อน แล้วอดไม่ได้ที่จะเอามือประคองใบหน้าเล็กๆ ที่น่ารักของซื่อเหนียงแล้วหอมแก้มเสียงดังฟอดใหญ่ “น่ารักจริงๆ!”
ซื่อเหนียงถูกหอมจนเขินอาย เบิกตากลมโตใสซื่อมองนางอย่างรักใคร่ เกาะอยู่ข้างประตูรถ รู้สึกว่าในเวลานี้ ตนเองเป็นเด็กหญิงที่มีความสุขที่สุดในแคว้นเซิ่ง!
ต้าจ้วงจูงรถม้าตามมาทันในที่สุด
ถนนข้างหน้าเริ่มแห้งแล้ว สองครอบครัวจึงเร่งความเร็วขึ้น
ก่อนฟ้ามืดก็เดินทางถึงเมืองเล็กๆ ที่ตั้งใจจะแวะพักได้อย่างราบรื่น
เมืองนี้มีเพียงโรงเตี๊ยมเล็กๆ โทรมๆ แห่งเดียว ผู้เข้าสอบที่เดินทางไปยังเมืองหลวงของมณฑลล้วนต้องผ่านที่นี่ โรงเตี๊ยมมีคนมาพักก่อนแล้วสามกลุ่ม เหลือเพียงสองห้องจึงพักกันห้องละครอบครัว
ห้องพักเล็กมาก หลิวจี้จึงหลอกล่อต้าหลาง เอ้อร์หลาง และซานหลาง ทั้งสี่พ่อลูกวิ่งมาแจ้งฉินเหยาว่าพวกผู้ชายจะปูเสื่อนอนด้วยกันในตอนกลางคืน
หลิวจี้กลัวฉินเหยาจะไล่เขาไปนอนในรถม้า วันนี้อากาศไม่หนาวแล้ว แต่กลางคืนยุงเยอะ นอนข้างนอกจึงแทบจะไม่ต่างจากการโดนทรมานเลย
โชคดีที่ห้องพักแม้จะเล็กแต่ก็มีสิ่งที่จำเป็นครบถ้วน เสี่ยวเอ้อร์ได้รมควันห้องด้วยหญ้าอ้ายล่วงหน้าแล้ว พื้นก็ปูด้วยไม้กระดาน สามารถตอบสนองความต้องการในการปูเสื่อนอนได้
………………..