ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 63 อิ่มแปดส่วน
แต่เพราะนกมีเยอะ กว่าจะจัดการเสร็จก็ทำเอาแม่ลูกห้าคนเหนื่อยไปพักใหญ่
ฉินเหยาต้มน้ำร้อนหม้อใหญ่ เทลงในอ่างไม้ให้เย็นลงเล็กน้อย จากนั้นก็โยนนกทั้งหมดลงไปลวกสองรอบ
ต้าหลางกับพวกพี่น้องช่วยกันถอนขน ส่วนฉินเหยาหยิบกรรไกรมาเปิดท้องและควักไส้ ยุ่งอยู่ครึ่งวันก็ได้เนื้อนกมาเต็มอ่างใหญ่
ครั้งก่อนที่บ้านทำเนื้อนกกระจอกผัดเผ็ด พี่น้องทั้งสี่คนดันทำผิดจึงโดนลงโทษไม่ให้กินเนื้อ จึงยังไม่เคยกินเนื้อนกมาก่อน
พอเห็นเนื้อนกเต็มอ่าง พวกเขาก็ตื่นเต้นจนแทบควบคุมตนเองไม่ได้ ยังไม่ทันค่ำก็รอไม่ไหวอยากให้ฉินเหยารีบตั้งกระทะใส่น้ำมัน
ฉินเหยาคิดว่าอีกเดี๋ยวจะมีคนมากินข้าวด้วยเยอะเลยตัดสินใจทอดเนื้อนกในอ่างนี้ให้เสร็จก่อน
เนื้อที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ ทั้งกรอบทั้งนุ่ม จิ้มเกลือเล็กน้อยก็อร่อยแล้ว
ฉินเหยาตักใส่ถ้วยเล็กหนึ่งใบ ยื่นให้เด็กสี่คนที่มองตาแป๋วอยู่นอกครัว จากนั้นทอดเนื้อนกทั้งหมดจนเต็มอ่างใหญ่
กลิ่นหอมโชยไปถึงหลิวเหล่าฮั่นและลูกชายทั้งห้าคนที่กำลังสร้างโรงเรือนอยู่ริมแม่น้ำ ทำเอาพวกเขากลืนน้ำลายกันเสียงดัง ลอบเร่งมือทำงานเพื่อที่จะได้กินมื้อเย็นหอมกรุ่นนี้เร็วขึ้นอีกหน่อย
เนื้อนกมีเยอะเช่นนี้ ฉินเหยาแบ่งออกมาครึ่งอ่าง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งอ่างทอดแล้วเก็บไว้ได้อีกสองสามวัน เอาไว้ให้ที่บ้านค่อยๆ กิน
รอจนฉินเหยาจัดการกับปลาจนเสร็จ สะใภ้ใหญ่นางเหอกับสะใภ้รองนางชิวก็พาเด็กๆ มาถึงก่อน
ส่วนนางจางยังคงอยู่ริมแม่น้ำ คอยดูแลเครื่องโม่โม่ข้าวสาลี
ทันทีที่ทั้งสองมาถึง ไม่ต้องให้ฉินเหยาสั่งอะไรเลย เพราะพวกนางล้วนคุ้นเคยกับครัวของฉินเหยาดีเหมือนบ้านตนเอง พวกนางรู้หน้าที่และหางานที่ต้องทำได้ในทันที
นางชิวเก็บผักจากสวนที่บ้านมา มีทั้งถั่ว ผักกาดและบวบ นำไปล้างที่อ่างน้ำให้สะอาด พอล้างเสร็จก็ช่วยจัดการกับผักกูดน้ำที่ฉินเหยาเก็บมาเมื่อตอนเช้า โดยเลือกเฉพาะส่วนที่อ่อนที่สุดไว้
จากนั้นก็เข้าไปในครัว หยิบเขียงมาหั่นผักจนเรียบร้อย
นางเหอหยิบถ้วยตวงข้าวใบใหญ่พลางถามนางชิวว่าคืนนี้มีคนกินข้าวกี่คนจะได้กะปริมาณข้าวไว้ทำโจ๊กให้พอดี
ฉินเหยารีบเตือนว่า “พี่สะใภ้รอง ข้าคนเดียวนับเป็นห้าคนนะเจ้าคะ”
ใครจะคิดว่า พอพูดจบ สะใภ้ทั้งสองก็หลุดหัวเราะออกมา
นางเหอปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความขบขันแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าไม่ต้องพูดข้าก็นับเจ้าเป็นคนห้าคนในใจตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องห่วง รับรองว่าเจ้ากินอิ่มแน่ๆ”
ฉินเหยาห่อไหล่ด้วยความกระดาก เอ่ยในใจว่า ข้าก็กลัวว่าท่านจะเข้าใจไปเองแล้วให้ข้ากินอิ่มแค่เจ็ดส่วนน่ะสิ
นางชิวนับจำนวนคนเสร็จแล้วบอกพี่สะใภ้ใหญ่ นางเหอจึงคิดในใจว่า วันนี้พวกบุรุษทำงานหนัก ใช้แรงเยอะ น้องสะใภ้สามเองก็กินจุ แถมน้องสะใภ้รองกำลังตั้งครรภ์จะให้น้อยไปก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าให้กินอิ่มสักแปดส่วนแล้วกัน
นางหยิบถ้วยตวงข้าวขึ้นมา ใช้ความแม่นยำยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ ไม่เกินมาแม้แต่เม็ดเดียว
เมื่อจัดการวัตถุดิบเสร็จเรียบร้อย นางเหอก็รับหน้าที่คุมกระทะ
พอเห็นเนื้อนกทอดครึ่งอ่างใหญ่ นางเหอก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
“น้องสะใภ้สาม เพราะเจ้าแท้ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่มีวาสนาได้กินของดีขนาดนี้”
เนื้อนกตัวเล็กเช่นนี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุด แต่ก็หามาได้ยากที่สุดเช่นกัน ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้กินเยอะเช่นนี้มาก่อน
วัตถุดิบดีเพียงนี้ ไหนจะน้ำมันกับเกลือที่น้องสะใภ้สามให้ใช้ได้แบบไม่หวง เช่นนั้นวันนี้นางจะขอแสดงฝีมือให้เต็มที่
ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันก่อน ใส่ต้นหอม ขิง กระเทียมและพริกแห้งลงไปผัดจนหอม จากนั้นใส่เนื้อนกลงไปผัดเร็วๆ เติมน้ำปรุงรสครึ่งถ้วยแล้วผัดจนออกสี ผัดให้ทั่วก่อนเติมน้ำอีกหนึ่งถ้วยแล้วใช้ฝาไม้ปิดอบไว้
พอน้ำเริ่มงวด เปิดฝาแล้วใส่ผักกูดน้ำที่หั่นเป็นท่อนลงไป ผัดด้วยไฟแรงจนกระทั่งน้ำระเหยหมด ใส่เกลือเล็กน้อยแล้วผัดต่ออีกสองสามครั้ง จากนั้นก็ตักใส่ชามใบใหญ่
กลิ่นอาหารหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วลาน เนื้อที่เคลือบด้วยน้ำปรุงรสส่องประกายมันเยิ้มชวนกิน พอคลุกกับข้าวแล้วไม่รู้จะอร่อยเพียงไหน
ต้าหลางกับเด็กๆ หยุดเล่นไปนานแล้ว ช่วยกันจัดวางชามและตะเกียบจนเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งยองๆ รออยู่หน้าโต๊ะอาหาร
นางเหอทำปลาต่อ นางตุ๋นน้ำแกงปลาหม้อใหญ่ น้ำแกงข้น เนื้อปลานุ่ม ใส่ถั่วกับบวบที่หั่นเป็นแผ่นเข้าไป กลายเป็นเมนูหลักที่สดชื่นอีกจาน
ผักกาดนำไปผัดในกระทะจนเปลี่ยนสีแล้วตักออกทันที โรยด้วยกระเทียมสับ เติมน้ำมันร้อนสองสามหยด กลิ่นหอมกระเทียมก็หอมโชยออกมา
พออาหารเสร็จเรียบร้อย โรงเรือนริมแม่น้ำทางนั้นก็สร้างเกือบเสร็จแล้วเช่นกัน
กลิ่นหอมที่ลอยมาจากลานบ้านช่างยั่วยวนใจนัก เหล่าพ่อลูกทั้งห้าคนเร่งมือมุงฟางสองแผ่นสุดท้ายและยึดให้แน่น
“เลิกงาน กลับบ้านไปกินข้าวกัน!” หลิวจี้ตบมือแล้วลุกขึ้นเดินนำไปก่อน
นางจางเพิ่งโม่ข้าวสาลีเสร็จพอดีเลยให้หลิวไป่แบกไปวางไว้ที่ลานบ้านฉินเหยาก่อน ตอนจะกลับบ้านค่อยมาแบกไปทีหลัง
“ล้างมือก่อนสิ!”
พอเห็นบิดากับพี่น้องทั้งสามคนจะนั่งลงกินข้าวโดยไม่ล้างมือ หลิวจี้ก็รีบตะโกนเตือนขึ้นมาเสียงหนึ่ง
หลิวเหล่าฮั่นมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “จะเรื่องมากทำไมก็เพิ่งล้างที่แม่น้ำมา ไม่สกปรกสักหน่อย”
หลิวจี้เหลือบมองฉินเหยาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยืนยันว่า “ไม่ได้! ล้างมือก่อนกินข้าวเป็นกฎของบ้านข้า!”
พูดพลางขยิบตาส่งสัญญาณให้บิดาและพี่น้องแรงๆ หลายครั้ง ทิศทางที่ชี้ไปคือด้านฉินเหยาพอดี
หลิวไป่กับคนอื่นๆ เข้าใจทันที หากเป็นคำขอของเหยาเหนียง เช่นนั้นก็คงต้องล้างมือ
แม้ว่าหลิวเหล่าฮั่นจะรู้สึกว่าน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่ก็ยอมทำตามด้วยความเคารพ
หลิวจี้มองบิดากับพี่น้องทั้งสี่คนที่ยอมไปล้างมือเรียบร้อยพลันรู้สึกขัดใจขึ้นมา
อะไรน่ะ? พอเขาบอกให้ล้างมือกลับไม่ยอมล้าง แต่พอรู้ว่าเป็นคำขอของเหยาเหนียงก็ยอมทำตามแต่โดยดี?
“นั่งเถอะ กินข้าวกันได้แล้ว” ฉินเหยาเรียก
หลิวจี้จึงนั่งลงด้วยความหงุดหงิด
แต่พอเห็นกับข้าวหลากหลายเต็มโต๊ะ ความหงุดหงิดก็สลายหายไปในทันที
มื้อค่ำในคืนนี้เต็มไปด้วยความเงียบ ไม่มีใครมีเวลาพูดคุยกัน เพราะกลัวว่าหากพูดขึ้นมาจะพลาดโอกาสได้กินกับข้าวไปอีกหนึ่งคำ
แต่ปริมาณอาหารนั้นได้นางเหอคำนวณไว้อย่างลงตัว ทุกคนกินกับข้าวหมดพอดีและอิ่มกันประมาณแปดส่วน กำลังพอเหมาะ
หลิวจี้คิดว่า วันนี้คนในบ้านเยอะแยะ ฉินเหยาน่าจะไว้หน้าเขาบ้าง ให้เขาได้ขี้เกียจสักหน่อย
ใครจะคิดว่า พอคนสุดท้ายวางตะเกียบลง ฉินเหยาก็พูดเรียบๆ ตามความเคยชินว่า “เก็บโต๊ะเถอะ”
นางเหอและนางชิวที่กำลังจะลุกขึ้นเก็บจานชะงักไปทันที ท่าทีเก้กัง กึ่งยืนกึ่งนั่งจนฉินเหยาหัวเราะแล้วบอกให้พวกนางไม่ต้องยุ่ง ทั้งสองถึงได้นั่งกลับลงไป
ก็ใช่ บ้านของเจ้าสาม การได้เห็นเจ้าสามลงมือทำงานก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเสียหน่อย
มีเพียงหลิวเหล่าฮั่นและบุตรชายทั้งสามที่มองหลิวจี้เก็บจานชามอย่างคล่องแคล่วเสร็จก็เอาไปล้าง รู้สึกเหมือนวันนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นจากทางทิศตะวันตกแล้ว
หลิวเหล่าฮั่นมองฉินเหยา ท่าทางอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยั้งเอาไว้ เขาคิดจะบอกว่า ปกติหากไม่มีคนอื่น การให้เจ้าสามทำอาหารบ้างก็เป็นความน่าสนใจในชีวิตคู่ พวกเขาจะไม่ยุ่ง
แต่การให้เจ้าสามทำงานบ้านที่สตรีควรทำต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ นี่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่กระมัง
แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ฉินเหยาก็ลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น อยากไปดูโรงเรือนที่พวกเขาสร้างริมแม่น้ำว่าเป็นอย่างไรบ้าง
นางเหอและนางชิวเองก็เดินตามไปด้วย หลังจากยุ่งกับการทำอาหารตลอดบ่าย พวกนางยังไม่มีเวลาไปดูเลย
นางจางมองซ้ายมองขวา พอเห็นสีหน้าตกตะลึงของพ่อลูกทั้งสี่คนก็อยากหัวเราะขึ้นมา
หลิวเหล่าฮั่นทั้งชีวิตไม่เคยเข้าครัวเลย หากให้พูดถึงการเก็บจานชาม ล้างจาน หรือขัดหม้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่เพราะปกติเหล่าบุรุษลงไร่ทำงานหนักมาก นางจางและลูกสะใภ้ทั้งสองคนจึงรับผิดชอบงานบ้านไปโดยปริยาย
แต่ก็ไม่มีใครกำหนดเสียหน่อยว่าบุรุษต้องลงไร่เสมอไป หรือสตรีต้องทำงานบ้านเสมอไป
บ้านของเจ้าสามก็เป็นเช่นนี้ ฉินเหยาทำงานหนัก เจ้าสามทำงานบ้านก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ
นางจางเข้าใจเรื่องนี้ดีและตอนนี้เจ้าสามเองก็ทำกับข้าวเก่งมากด้วย
เพราะอย่างไรเสีย…นางก็เป็นคนถ่ายทอดฝีมือการทำอาหารให้เขานี่นา!
พอนึกถึงตรงนี้ก็อดภูมิใจเล็กๆ ไม่ได้