ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 462 ผมไม่เคยเสแสร้งเลยสักครั้ง
ตอนที่ 462 ผมไม่เคยเสแสร้งเลยสักครั้ง
“เย่ไป๋ คุณรู้ไหมว่าช่วงนี้ฉันต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดแค่ไหน? เพราะการที่คุณเจ็บแบบนี้ มันก็เป็นเพราะฉัน”
เซี่ยอวี่มองเขาอย่างเย็นชา “ช่วงนี้คุณคงงานยุ่งมากสินะ? ทั้งต้องจัดฉากนอนโรงพยาบาล ไหนจะโดดลงจากเตียงไปทำงานอีก แถมยังฝังเข็มกลูโคสเข้าหลังมือตัวเอง? และยังอยากให้คนช่วยป้อนข้าวเพราะยกมือเองไม่ไหว?”
“เล่นกับความรู้สึกคนอื่นมันสนุกมากไหม? เฝ้าดูฉันรู้สึกผิดและทรมาน มันคงรู้สึกดีมากสินะ?”
เย่ไป๋สบสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและเย็นชาของเซี่ยอวี่ หัวใจราวกับถูกบีบรัด
เขาพูดด้วยความตื่นตระหนก “เซี่ยอวี่ ใจเย็นลงก่อน”
“ฉันไม่โกรธหรอก ในเมื่อคุณสบายดีก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องมาส่งอาหารให้คุณทุกวัน ที่เหลือฉันก็แค่จ่ายค่ารักษาให้คุณเป็นการตอบแทน ได้ใบเสร็จจากทางโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็เอามาให้ฉันด้วย ฉันจะจ่ายให้ครบทุกหยวน
ส่วนคุณก็กลับไปบอกครอบครัวตัวเองซะ ว่าจากนี้อย่าได้แหยมหน้าไปร้านอาหารของพี่ใหญ่อีก เรื่องระหว่างเราจบลงแค่นี้“
หลังหล่อนพูดจบและกำลังจะจากไป เย่ไป๋ก็พยายามหยุดหล่อนไว้และเดินเข้าไปหา
เขามองหล่อนด้วยดวงตาเศร้าหมอง ถามขึ้นว่า “ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เราสองคนแสดงละครกันมาตลอดเลยเหรอ?”
เซี่ยอวี่ถามกลับ “ถ้าไม่ใช่แล้วยังไง?”
เย่ไป๋มองตรงเข้าไปในดวงตาหล่อน พูดช้า ๆ ว่า “แต่ผมไม่เคยเสแสร้งเลยสักครั้ง”
เขาคว้ามือของเซี่ยอวี่ไว้ ใบหน้าที่อ่อนโยนและหล่อเหลาของเขาแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังอย่างมาก จ้องสบตาหล่อนแล้วพูดว่า “เซี่ยอวี่ คุณให้โอกาสผมได้ไหม มาลองคบกันดูเถอะนะ?”
“ฉันไม่มีแผนจะคบหากับใครทั้งนั้น”
“ลองดูก่อนก็ได้นี่? ถ้าสุดท้ายแล้วเราเข้ากันไม่ได้จริง ๆ ผมจะไม่บังคับ”
ดวงตาของเขาล้ำลึกมากขึ้น ซึ่งเต็มไปด้วยคำวิงวอน โหยหา และให้เกียรติ เซี่ยอวี่สบตาเขากลับ รู้สึกราวกับหัวใจกำลังถูกดูดจนถลำลักเข้าไปในความลึกล้ำนั้น
แต่สุดท้ายแล้วเหตุผลก็เอาชนะทุกสิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน หล่อนชักมือกลับและพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ฉันไปก่อนนะ”
หล่อนหันหลังกลับ ก้มหน้าลง แล้วรีบเดินลงไปชั้นล่างด้วยอาการใจสั่น
จิตใจของหล่อนว่างเปล่า หัวใจมีแต่ความสับสน รู้แค่ว่าต้องรีบไปจากที่นี่ และจะไม่มาเจอเขาอีกจากนี้ไป
หล่อนกลัวว่าตัวเองจะพลาดท่าเข้าสักวัน
เย่ไป๋กังวลว่าหล่อนอาจต้องกลับบ้านคนเดียว จึงไล่ตามลงไปชั้นล่าง
“ผมจะไปส่งคุณเอง”
เซี่ยอวี่ที่สวมรองเท้าส้นสูงหยุดเดิน หันกลับไปมอง แล้วหันกลับพลางเดินต่ออย่างรวดเร็ว “ไม่ล่ะ จินซานจะมารับฉัน”
เย่ไป๋เดินตามหล่อนไปถึงทางเข้าโรงพยาบาล แต่หลินจินซานยังมาไม่ถึง เย่ไป๋จึงเสนอว่าจะพาหล่อนนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปส่งถึงบ้าน แต่เซี่ยอวี่ยังคงปฏิเสธ
เย่ไป๋ยืนรออยู่กับหล่อนที่ประตูโรงพยาบาลเป็นเพื่อน
ทั้งสองยืนเคียงข้างกัน ต่างคนต่างไม่พูดอะไร บรรยากาศท่ามกลางพวกเขาชวนให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
เซี่ยอวี่รู้สึกว่าวินาทีนี้ยาวนานเหมือนนานหลายปี ก้มดูนาฬิกาบ่อยมาก
เย่ไป๋จ้องมองหล่อนด้วยสายตาที่ซับซ้อน เกือบจะพูดอะไรออกไป แต่ท้ายที่สุดความเงียบก็เข้ามาแทนที่ทุกสิ่ง
ในที่สุด หลังจากรออย่างไม่รู้จุดหมาย เมื่อบรรยากาศระหว่างคนสองคนเริ่มอึดอัดเสียจนไม่มีใครทนได้ ในที่สุดหลินจินซานก็มาถึง
เมื่อหลินจินซานลงจากรถและเห็นเย่ไป๋ยืนอยู่กับอาสาวของเขา จึงเผยรอยยิ้ม ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “อาเขย อาการคุณเป็นยังไงบ้างครับ?”
เซี่ยอวี่ตำหนิเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “จินซาน อย่าเอะอะ”
หลินจินซานคิดว่าเซี่ยอวี่คงเขินอาย จึงยิ้มและพูดเบา ๆ ว่า “อาครับ ถึงหมอเย่จะยังหนุ่มอยู่ แต่เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยนะ”
ขมับของเซี่ยอวี่เกร็งแน่นและปวดตุบ ๆ ทันที
รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับพฤติกรรมอย่างหุนหันพลันแล่นของตัวเอง
หล่อนคุ้นเคยกับการแสดงมามาก คิดเสมอว่าหลังออกจากการแสดงแล้วจะกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้
หล่อนลืมไปว่าคนตรงหน้าไม่ใช่นักแสดง และก็ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งบทภาพยนตร์เสมือนจริงด้วย
เซี่ยอวี่รวบรวมความกล้าเพื่อมองย้อนกลับไปที่เย่ไป๋ และพูดขึ้นว่า “กลับเข้าไปเถอะ ข้างนอกมันหนาวนะ”
“อืม”
เย่ไป๋เฝ้าดูรถขับออกไป ยังคงยืนตรงหน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาลไม่ยอมไปไหน
ชะตากรรมของพวกเขาสองคนเริ่มต้นที่นี่ และสิ้นสุดลงที่นี่สินะ!
แต่ว่า ตัวเขาเองจะเต็มใจจบเรื่องไปทั้งแบบนี้ได้อย่างไร?
ระหว่างทาง เซี่ยอวี่มีอารมณ์ที่ซับซ้อนมาก จิตใจของหล่อนวนเวียนอยู่กับคำพูดของเย่ไป๋ ‘เรามาลองคบกันก่อนก็ได้’
พูดตามตรงก็คือ เมื่อมองหน้าเขาทีไร หัวใจมักจะเต้นโครมครามตลอดเวลา
อาจเป็นเพราะหล่อนไม่ได้มีประสบการณ์รัก ๆ กับใครมานาน จนไม่รู้ว่าควรวางตัวกับเพศตรงข้ามอย่างไร หรืออาจไม่รู้ว่าอาการตกหลุมรักมันเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ?
หล่อนไม่รู้เลยว่าตัวเองมีความสามารถในการรักใครได้จริง ๆ หรือเปล่า
หล่อนปวดหัวอย่างรุนแรง ทันทีที่เข้าไปในบ้านก็อยากจะกลับไปนอนพักผ่อนทันที แต่ถูกเซี่ยไห่หยุดไว้ “พี่สาว นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง เงินตั้งสามแสน ไม่ว่าเท่าไหร่ก็เถอะ ถึงจะมีเงินเยอะแค่ไหนก็ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
เซี่ยอวี่พยายามสงบสติอารมณ์ ตอบกลับอย่างสงบขณะเดินเข้าไปในบ้าน “โครงการของเถ้าแก่อู๋น่าเชื่อถือจริง ๆ ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่สูญเงินเปล่าแน่นอน”
เซี่ยไห่สวนกลับหล่อนอย่างไม่ยอมแพ้ “พี่แน่ใจเหรอว่ามันจะทำเงินได้? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสูญเงินขึ้นมาจริง ๆ?”
เดิมทีเซี่ยอวี่มีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่แล้ว แต่ในเวลานี้เซี่ยไห่ยังยืนกรานที่จะตีรวนไม่ยอมหยุด หล่อนจึงหันกลับมาและตวาดกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันเป็นคนจ่ายเอง และฉันก็มีเงินเก็บเยอะด้วย อาจะจ่ายเงินให้หลานสาวสามแสนมันจะเป็นอะไรไป? สูญเปล่าแล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย? เมื่อไหร่นายจะหุบปากซะที?”
เซี่ยอวี่โกรธเกรี้ยวอย่างไม่ทันตั้งตัว เซี่ยไห่จึงต้องถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตกใจ ตีตัวออกห่าง แต่ยังคงตอบโต้โดยไม่ยอมแพ้ “ฉันรู้ว่าเธอมีเงินเยอะ จะจ่ายอะไรตามใจก็เรื่องของเธอ แต่ทำไมไม่ซื้อบ้าน ซื้อรถ อะไรก็ได้ หรือลงทุนร้านค้าให้หลาน ยังดีกว่าเอาเงินไปทิ้งอีกไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันเต็มใจเอาเงินไปทิ้ง นายพอใจหรือยัง? ต่อให้นายไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันทำก็เชิญเก็บไว้คนเดียวเถอะ เลิกยุ่งวุ่นวายกับการตัดสินใจของฉันซะ!”
สายตาของเซี่ยอวี่ดูเหมือนจะกินคนได้ทั้งตัว เซี่ยไห่รู้สึกว่าท่าทางของหล่อนผิดปกติไปอย่างมากราวกับว่ากินดินปืนเข้าไป เขาจึงต้องยอมแพ้ทันที มีความคิดอะไรก็ทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้ “ได้ แล้วแต่ งั้นฉันจะไม่พูดอะไรอีก”
คุณแม่เซี่ยได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นในบ้านจึงเดินออกมา เห็นสองพี่น้องกำลังเผชิญหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย สีหน้าอันเปี่ยมด้วยเมตตามืดมนลงครู่หนึ่ง ถามว่า “สองพี่น้องทะเลาะอะไรกันอีกแล้ว”
“เปล่าสักหน่อย” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน
คุณแม่เซี่ยมองพวกเขาราวกับจะตักเตือน ถามเซี่ยอวี่ว่า
“เย่ไป๋เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เป็นไรมากแล้ว ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องไปส่งอาหารเขาแล้วด้วย เขากับฉัน…” คำพูดนั้นหล่อนพร้อมบอกมาก แต่เมื่อสบตากับผู้เป็นแม่เข้าจริง กลับไม่สามารถพูดมันออกมาได้
เมื่อเห็นว่าหล่อนลังเลที่จะพูด คุณแม่เซี่ยก็ถามอย่างคะยั้นคะยอว่า “ตกลงช่วงนี้ความสัมพันธ์ของลูกกับเขาเป็นยังไงบ้าง? ในเมื่อเขาสบายดีแล้ว ไว้นัดกินข้าวด้วยกันกับครอบครัวเขาอีกสักวันสิ ไม่เห็นเหรอว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เข้ากันได้ดีแค่ไหน พวกเขาได้กลับมาลงเอยกันอีกครั้ง เป็นเรื่องที่วิเศษมาก นับตั้งแต่พี่ใหญ่ของลูกฟื้นความทรงจำและสร้างความสัมพันธ์กับพี่สะใภ้ เขาก็กลายเป็นคนที่มีพลังมากขึ้น พวกลูกควรเรียนรู้จากพี่ใหญ่นะ ความรักสามารถหล่อเลี้ยงหัวใจคนได้จริง ๆ”
คุณแม่เซี่ยพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น ขณะที่สองพี่น้องมีสีหน้าหมองคล้ำ
“ทำไมทั้งสองคนถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
คุณแม่เซี่ยมองพวกเขาด้วยความหงุดหงิด “ให้ตายสิ เวลาทะเลาะกันนี่เสียงดังเชียว แต่พอคุยเรื่องนี้ทีไรก็เป็นใบ้กันไปหมด ตกลงคิดเห็นเรื่องนี้ยังไงบ้าง? ไหนช่วยพูดให้แม่มีความสุขหน่อยซิ”
ลูก ๆ วัยสามสิบกว่ายังทะเลาะกันเหมือนเด็กตลอดทั้งวัน ดูแล้วไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย
คุณแม่เซี่ยรู้สึกเหนื่อยใจเมื่อเห็นทั้งสองคนเป็นแบบนี้ นางรู้ว่าเล่นไม้แข็งอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่ถ้าเปิดไพ่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายเกรงอกเกรงใจบ้าง จึงเช็ดน้ำตาและถอนหายใจ
“สุขภาพของแม่แย่ลงทุกวัน แม่ไม่อยากมานั่งกังวลเรื่องลูกตลอดทั้งวันหรอก แต่แม่คงนอนตายตาไม่หลับแน่ถ้ายังไม่เห็นลูก ๆ มีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝา”
เซี่ยอวี่และเซี่ยไห่ยังคงเงียบต่อไปโดยที่สายตาหม่นหมอง
คุณแม่เซี่ยมองไปยังลูกสาวอีกครั้ง พูดอย่างจริงจัง
“เสี่ยวอวี่ ใช่ว่าผู้ชายทุกคนในโลกจะเหมือนพ่อของลูกไปซะหมด เมื่อก่อนแม่ไร้ความสามารถที่จะรับมือกับเรื่องทุกอย่าง ทำให้ลูกต้องทนลำบากมาไม่น้อย
ตอนนี้ลูกต่างออกไปมาก มั่นใจหน่อยเถอะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต แม่เชื่อว่าลูกมีความสามารถที่จะรับมือได้ อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นก้าวแรกเพียงเพราะกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ช่วงวัยของลูกคือช่วงเวลาแห่งการใช้ชีวิต ตกหลุมรัก ผ่อนคลาย และตามล่าประสบการณ์ให้มากขึ้น ลูกจะได้ชีวิตที่ทุกอย่างถูกเติมเต็มอย่างลงตัว คนเราไม่สามารถมุ่งความสนใจไปที่งานหรือเงินตลอดทั้งวันทั้งคืนได้หรอก สุดท้ายมันมีไว้เพื่ออะไร? เพียงเพื่อให้มีชีวิตดีขึ้นแค่นั้นเหรอ“
คำพูดของหญิงชราจริงใจมากจนเซี่ยอวี่ไม่อาจปฏิเสธ จึงตอบอย่างเชื่อฟัง “แม่ ฉันเข้าใจแล้ว”
หญิงชราพอใจกับคำตอบลูกสาวมาก และก็มุ่งเป้าไปที่เซี่ยไห่อีกครั้ง “แล้วลูกล่ะ?”
เซี่ยไห่พยักหน้าอย่างร่วมมือเช่นกัน “ผมก็เข้าใจเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบวิ่งตามลินดาได้แล้ว”
การแสดงจุดยืนของตัวเองไม่มีประโยชน์ ต้องลงมือทำจริง ๆ เท่านั้น
เซี่ยไห่ลูบจมูกตัวเองแล้วพูดว่า
“ผม… ผมจะพยายามให้ดีที่สุด”
เมื่อเห็นว่าทัศนคติของคนทั้งสองให้ความร่วมมือดีมาก หญิงชราจึงพอใจในทันที ยิ้มและพูดว่า “ดีมากทั้งคู่ แม่กำลังรอข่าวดีต่อไปอยู่นะ”
พูดจบ นางก็เดินฮัมเพลงกลับเข้าห้องนอน
เซี่ยอวี่พลาดโอกาสที่จะบอกความสัมพันธ์ที่แท้จริงของหล่อนกับเย่ไป๋อีกครั้ง
พูดให้ถูกก็คือ โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่หล่อนกลับไม่มีความกล้ามากพอ
ถ้าหล่อนบอกหญิงชราว่าตัวเองกับเย่ไป๋ไม่เคยคบหาเป็นแฟนกันจริง ๆ หญิงชราคงใจสลายเป็นแน่
ไหนจะครอบครัวของเย่ไป๋ พวกเขาต้องผิดหวังขนาดไหนกันนะ
เซี่ยอวี่รู้สึกขัดแย้งกับตัวเองมาก รู้สึกว่าตนช่างทำตัวไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ลินดาเคยพูดว่าเงินเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงผู้คน
แม่กลับบอกว่า ความรักก็หล่อเลี้ยงผู้คนได้เช่นกัน
หล่อนเข้าไปในห้อง เตะรองเท้าส้นสูงออก นอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง มองเพดานนิ่ง ๆ ความรู้สึกสับสนซึ่งหายไปนานกำลังกลับมาครอบงำหล่อน
เซี่ยไห่เห็นว่าการลงทุนสามแสนหยวนนั้นเป็นอะไรที่แก้ไขไม่ได้แน่แล้ว และเขาก็ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ดังนั้นจึงหยุดทำตัวน่ารำคาญ
ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้พวกเขาสูญเสียขึ้นมาก็ไม่มีใครมาร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าเขาอยู่แล้ว
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ความรู้สึกนี้มันคืออาการตกหลุมรักแหละอาหญิง หาใจตัวเองให้เจอไวๆ นะคะ
ไหหม่า(海馬)
……………………………………