ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 644 คนที่จะนับว่าเป็นผู้อาวุโสได้มีไม่มากแล้ว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 644 คนที่จะนับว่าเป็นผู้อาวุโสได้มีไม่มากแล้ว
ตอนที่ 644 คนที่จะนับว่าเป็นผู้อาวุโสได้มีไม่มากแล้ว
เซี่ยไห่เห็นแววตาของหลินจินซานก็ถามว่า “นายมีอะไร?”
“วันนี้อาไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหม?” หลินจินซานถามหยั่งเชิง
เซี่ยไห่เอ่ยเสียงห้วน “วันที่สองฉันจะไปไหนได้? บ้านพ่อตาฉันอยู่ตั้งฮ่องกง ฉันไปตอนนี้ก็ไม่ทันอยู่ดี”
หลินจินซานได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็เกาศีรษะ เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “อารอง ผมขอยืมรถของอารองไปเยี่ยมบ้านพ่อตาได้ไหมครับ? ถือเสียว่าช่วยให้ผมดูดีต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านชุนฟางสักครั้ง”
“นั่นไม่ใช่รถของนายเสียหน่อย ดูดีไม่ดูดีอะไรกัน? นายคิดจะไปบ้านพ่อตาครั้งเดียวหรือไง? ไม่กลัวความแตกงั้นรึ?”
เจ้าเด็กนี่นับวันก็ยิ่งสนใจแต่เปลือกนอกมากขึ้นทุกที ขับรถคนอื่นไปอวดรวย วันหน้าชุนฟางจะอธิบายกับที่บ้านอย่างไร?
“ผมแค่อยากเป็นหน้าเป็นตาให้ชุนฟาง ให้คนที่บ้านชุนฟางเห็นว่าแฟนของชุนฟางมีฐานะดี ผมไม่บอกหรอกว่าเป็นรถผม ผมจะบอกตามความจริงว่าเป็นรถของอารอง ญาติ ๆ ที่บ้านจะได้ไว้หน้าชุนฟางบ้าง”
คุณแม่เซี่ยหันมาพูดกับเซี่ยไห่
“แกก็ให้เขาเอาไปขับสักครั้งเถอะ หน้าตาของจินซานก็คือหน้าตาของพวกเรา ให้คนอื่นรู้ว่าเขามีอารองที่เก่งกาจมีความสามารถ แกเองก็จะได้มีหน้ามีตาด้วย”
มีมารดามาพูดช่วย เซี่ยไห่ย่อมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของมารดาก็ตามที
ด้วยวัยและประสบการณ์ของเขาในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยความอิจฉาหรือคำยกยอของคนอื่นมาเพิ่มพูนความเชื่อมั่นในตัวเองอีกแล้ว
ในทางกลับกัน เขากลัวเหลือเกินว่าหลินจินซานมีที่พึ่งอย่างพวกเขาแล้วจะกลายเป็นคนลุ่มหลงในภาพลักษณ์ที่กลวงเปล่า ไปคุยโวอยู่ข้างนอก หรือรับปากอะไรส่งเดช
เซี่ยไห่มองหลินจินซานด้วยสีหน้าเข้มงวด “จะขับไปก็ได้ ถ้านายดื่มเหล้าแล้วขับรถฉันไปชนอะไรเข้า คิดว่าตัวเองชดใช้ไหวก็ขับไปเถอะ”
“ผมไม่ดื่ม”
หลินจินซานพูดจบก็ยืนรอกุญแจรถตาปริบ
“เอ้า” เซี่ยไห่จึงยื่นกุญแจรถให้ด้วยท่าทางรำคาญ
หลินจินซานขับรถของเซี่ยไห่ออกไปอย่างอารมณ์ดี
หลินเซี่ยกำลังคุยกับเซี่ยอวี่และลินดาอยู่ในบ้าน พอได้ยินว่าหลินจินซานขับรถของเซี่ยไห่ออกไป ก็บ่นเซี่ยไห่ว่า “อารอง ให้พี่ฉันเอารถไปขับทำไม? ปีใหม่แบบนี้ถ้าเกิดเขาเมาแล้วขับเป็นอะไรขึ้นมา อาก็ต้องซ่อมเองอีก”
เซี่ยไห่เหลือบมองคุณแม่เซี่ยที่เดินตามเข้ามาแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นชา “ถามคุณย่าของเธอเถอะ ถ้าฉันไม่ให้ขับ ย่าจะปล่อยฉันไปงั้นรึ? ตอนนี้จินซานได้คุณย่าเธอคอยหนุนหลังอยู่ ต่อให้มาเรียกร้องดาวบนฟ้าจากฉัน ฉันก็คงต้องไปเด็ดมาให้ ไม่อย่างนั้นคุณย่าเธอได้สวดฉันแน่”
“คุณย่า ต่อไปอย่าตามใจพี่ชายอีกเลยนะคะ เขาไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ตัวเองมีความสามารถแค่ไหนก็ใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ควรทำอะไรเกินตัว ปีใหม่แบบนี้มีสักกี่คนที่ขับรถไปข้างนอก?”
ฐานะทางบ้านของชุนฟางก็ไม่จำเป็นต้องให้ลูกเขยขับรถไปอวดรวยต่อหน้าญาติ ๆ
เป็นคนธรรมดาก็ใช้ชีวิตธรรมดา เก็บหอมรอมริบทีละน้อย วันหน้าจะต้องได้มีชีวิตที่ดีแน่นอน
หลินจินซานมีนิสัยไม่หนักแน่น ถูกคนเยินยอไม่กี่ประโยคก็หลงลืมตัวเอาได้ง่าย ๆ
ถ้าพูดไม่น่าฟังสักหน่อย เซี่ยไห่เป็นอาของเธอ ไม่ใช่อาแท้ ๆ ของหลินจินซาน ถ้าภายภาคหน้าหลินจินซานไม่รู้ตำแหน่งฐานะของตัวเองอีกก็อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวได้
หลิวกุ้ยอิงใช้โอกาสนี้เอ่ยกับคุณแม่เซี่ย “ใช่แล้ว แม่ ต่อไปถ้าหลินจินซานเรียกร้องเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกก็อย่าไปรับปากเขาอีกนะคะ”
แม้ว่าเซี่ยเหลยจะปฏิบัติต่อหลินจินซานและหลินเยี่ยนเสมือนผู้เยาว์ในครอบครัว แต่หลิวกุ้ยอิงตระหนักถึงฐานะของตัวเองกับหลินจินซานดี ทั้งยังคอยเตือนสติหลินจินซานอยู่บ่อย ๆ บอกให้เขาตั้งใจทำงาน ผลประโยชน์ที่ไม่ควรรับก็อย่าได้ไปรับเป็นอันขาด
เซี่ยไห่หยิบยื่นโอกาสในการทำงานที่ดีขนาดนี้ให้เขาก็ถือว่าได้เดินทางลัดแล้ว
หลังจากนั้นเวลาหลินจินซานมีอะไรก็ไปพูดกับคุณแม่เซี่ย ไม่มาพูดกับพวกเธออีก
“เรื่องนี้ฉันคิดน้อยไปเอง” คุณแม่เซี่ยได้ยินทุกคนประท้วงเช่นนั้นก็ออกจากบ้านมาอย่างไม่สบายใจ อยากกำชับหลินจินซานว่าถ้าดื่มเหล้าอย่าได้ขับรถเป็นอันขาด เดี๋ยวจะมีอันตรายได้
แต่ปรากฏว่าหลินจินซานขับรถจากไปแล้ว หน้าบ้านมีเพียงรถยนต์สีขาวคันหนึ่ง
คุณแม่เซี่ยจำได้ทันทีว่าเป็นรถของเย่ไป๋
เห็นลูกเขยมาเยือน คุณแม่เซี่ยก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ
เย่ไป๋ลงมาจากรถ คุณแม่เซี่ยเดินเข้าไปต้อนรับหน้าชื่นตาบาน “เสี่ยวเย่ เธอมาแล้วเหรอ?”
เย่ไป๋สวมเสื้อโอเวอร์โค้ทสีน้ำตาล แต่งตัวเรียบร้อย น้ำเสียงอ่อนโยน “คุณป้า สวัสดีปีใหม่ครับ”
“สวัสดีปีใหม่”
เย่ไป๋หยิบของขวัญห่อน้อยห่อใหญ่มาจากบนรถ เดินตามคุณแม่เซี่ยเข้าไปในบ้าน
วันนี้มีลูกเขยสองคนมาเยือน ว่าที่ลูกสะใภ้ก็อยู่ด้วย คุณแม่เซี่ยไม่เคยฉลองปีใหม่อย่างครึกครื้นเท่านี้มาก่อน
นางรีบพาเย่ไป๋เข้าไปข้างใน
ทุกคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ในห้อง เซี่ยอวี่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คอยแต่จะมองออกไปข้างนอกอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินตามแม่เข้ามาในบ้าน ดวงตาของหล่อนก็เป็นประกาย ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม
เมื่อเย่ไป๋มาถึง ปากก็เอ่ยทักทายทุกคน แต่สายตากลับกวาดไปทางเงาร่างของเซี่ยอวี่อย่างแม่นยำ สายตาสองคู่ประสานกัน
เซี่ยอวี่สวมเสื้อไหมพรมตัวหลวม ผมหยักศกปรกอยู่บนบ่า ท่าทางปล่อยตัวตามสบาย เย่ไป๋ทักทายทุกคนเสร็จก็เดินเข้าไปข้างกายหล่อน กุมมือหล่อนเอาไว้ “หนาวหรือเปล่า? คุณใส่ชุดบางไปแล้ว”
“ไม่หนาว แค่เห็นคุณก็อุ่นแล้ว”
เย่ไป๋ “!!!”
เมื่อคนมากันพร้อมหน้า หู่จือก็เริ่มไปสวัสดีปีใหม่ทีละคน เซี่ยอวี่และเซี่ยไห่เงินหนากันทั้งคู่ ซองแดงที่แจกจึงหนาเป็นพิเศษ
ยังมีส่วนของเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยอีกด้วย
หู่จือคุกเข่าคำนับสวัสดีปีใหม่ เฉินเจียเหอก็คุกเข่าคำนับสวัสดีปีใหม่คุณแม่เซี่ยและพ่อตาแม่ยายของเขา
ที่บ้านพวกเขา ผู้เยาว์ล้วนสวัสดีปีใหม่ผู้อาวุโสกันเช่นนี้ นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติในครอบครัว
เฉินเจียเหอไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย คำนับคุณแม่เซี่ยกับพ่อตาแม่ยายเสร็จแล้วก็มองไปทางเซี่ยอวี่และเซี่ยไห่
เซี่ยอวี่เข้าใจว่าเฉินเจียเหอจะคำนับตนเอง จึงลุกขึ้นอย่างตกใจ “นายอย่ามาทำให้พวกฉันอายุสั้นนะ”
ในมือเซี่ยอวี่มีซองแดงหนาซองหนึ่ง หล่อนส่งซองแดงให้เฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยด้วยท่าทางน่ามองอย่างมาก จากนั้นก็บอกให้ทั้งคู่รีบนั่งลง
จะมาคำนับให้เหรอ? หล่อนไม่รับหรอกนะ
เฉินเจียเหอกระดากใจไม่กล้ารับเงินอั่งเปาจากเซี่ยอวี่ เขาอายุสามสิบและแต่งงานแล้วยังจะรับอั่งเปาจากน้าสาวอีก รู้สึกว่าหน้าร้อนไปหมดแล้ว
แต่พอเซี่ยอวี่ยืนกรานให้ เฉินเจียเหอจึงยัดให้หลินเซี่ยไปทั้งหมด
เซี่ยไห่มักวางท่าเป็นผู้อาวุโสต่อหน้าเฉินเจียเหอ แต่พอเผชิญสถานการณ์จริงก็รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย
เรื่องที่หู่จือเรียกเขาว่าตารองและโขกศีรษะคำนับสวัสดีปีใหม่เขารับได้ แต่เฉินเจียเหอไม่ได้เด็ดขาด
เหมือนที่พี่สาวเขาพูด เดี๋ยวได้อายุสั้นกันพอดี
เขาไม่อยากรับการคำนับจากเฉินเจียเหอและไม่อยากแจกซองแดงให้เฉินเจียเหอด้วยเช่นกัน
มีแต่พี่น้องกันทั้งนั้น ให้เงินก็ห่างเหินกันแย่น่ะสิ?
เฉินเจียเหอแสร้งเป็นมองเขาอย่างตั้งตารอคอย ไม่สิ มองธนบัตรใหม่เอี่ยมในมือเขาต่างหาก
เซี่ยไห่ถลึงตามองเขาอย่างหมดคำจะพูด “อะไร?”
เฉินเจียเหอเห็นอย่างนั้นก็หน้างอง้ำ
ดูเขาตกใจสิ
คุณแม่เซี่ยเหล่มองเซี่ยไห่ ตำหนิอย่างไม่พอใจว่า
“แกจะขี้เหนียวอะไรนักหนา? เจียเหอกับเซี่ยเซี่ยเป็นคู่แต่งงานใหม่ ในฐานะผู้อาวุโสก็สมควรให้อั่งเปา ปีหน้าก็ไม่ต้องให้แล้ว”
ไม่ว่าอายุเท่าใด แต่ถ้าแต่งงานได้หนึ่งปี ผู้อาวุโสล้วนมอบเงินอั่งเปาให้คู่แต่งงานใหม่ นี่เป็นตัวแทนของความปรารถนาดี
เซี่ยไห่เอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “ปีหน้าไม่ต้องให้อะไรกัน ปีหน้าลูกของพวกเขาก็จะมารับซองแดงอยู่ดี”
รวมกับหู่จือแล้ว ปีหน้าต้องให้สองซองด้วยซ้ำ
ต่างจากท่าทางอิดออดของเซี่ยไห่ เย่ไป๋ที่ยังไม่ได้เป็นอาเขยอย่างเป็นทางการกลับใจป้ำกว่ามาก แจกซองแดงหนา ๆ ให้หู่จือ และยังให้ซองแดงเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยด้วยมาดของญาติผู้ใหญ่อีกด้วย
ราวกับจะใช้วิธีนี้มาสื่อถึงฐานะอาเขยของตัวเอง
หลินเซี่ยไม่รับ เย่ไป๋ก็อธิบายยิ้ม ๆ ว่า “รับไปเถอะน่า ก็เหมือนที่คุณป้าพูด ซองแดงนี้เป็นตัวแทนของความปรารถนาดี เดี๋ยวพวกฉันแต่งงานไปแล้วปีหน้าก็จะมารับซองแดงเหมือนกัน”
เย่ไป๋วางตัวเป็นญาติผู้ใหญ่ ดังนั้นเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยจึงจำต้องรับเงินนี้ไว้
เซี่ยไห่ได้ยินคำพูดของเย่ไป๋ก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
จริงด้วย เขามีแฟนแล้ว ต่อไปก็จะมีโอกาสได้ซองแดงแบบนี้เหมือนกัน ตอนนี้ยอมกรีดเลือดหน่อยจะเป็นไรไป?
ดังนั้น เขาจึงแจกธนบัตรใหม่เอี่ยมให้เฉินเจียเหอฟ่อนหนึ่งอย่างใจป้ำ
เฉินเจียเหอจะไม่รับก็ไม่ได้ เพราะเขายืนกรานจะให้
เฉินเจียเหอจึงได้แต่รับมาอย่างลำบากใจ แล้วส่งซองแดงของตัวเองให้กับหลินเซี่ย
คุณแม่เซี่ยที่มองดูจากข้าง ๆ เอ่ยกับเซี่ยไห่ว่า “แกคิดมากไปแล้ว ต่อให้แกกับลินดาแต่งงานกันก็ต้องเป็นผู้อาวุโสที่ให้ซองแดงพวกแก มีอย่างที่ไหนที่ผู้เยาว์ให้ซองแดงผู้อาวุโส”
เซี่ยไห่ “!!!”
ด้วยวัยของเขา คนที่จะนับว่าเป็นผู้อาวุโสได้มีไม่มากแล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ลำดับญาติสับสนจังแฮะ เจอแบบนี้เข้ากับตัวมันก็วางตัวไม่ถูกเหมือนกันนะ
ไหหม่า(海馬)