ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 665 การเกิดใหม่ของเธอช่วยชีวิตคนสองคน
ตอนที่ 665 การเกิดใหม่ของเธอช่วยชีวิตคนสองคน
ในตอนนี้เรื่องชื่อของหลินเซี่ยคงจะผ่านไปได้ด้วยดี
แต่สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ เสิ่นอวี่หลงยังคงเฝ้ารอให้เสิ่นเถี่ยจวินกลับมา
หล่อนโกหกเขาว่าเสิ่นเถี่ยจวินมีงานสำคัญต้องไปต่างจังหวัด
การโกหกหนึ่งหรือสองวันอาจเป็นไปได้ แต่ถ้าเนิ่นนานออกไป เด็กคนนั้นย่อมต้องสงสัย
เช่นเดียวกับเรื่องผู้เฒ่าเสิ่น
เช้านี้เซี่ยหลานโทรศัพท์ไปที่บ้านตระกูลเสิ่นเพื่อแจ้งเรื่องที่เสิ่นอวี้หลงฟื้นขึ้นมา
แต่ไม่มีคนรับสาย
เสิ่นเสี่ยวเหมยกับเสิ่นอวี้อิ๋งถูกจำคุกทั้งคู่ ดังนั้นที่บ้านในเวลานี้จึงมีเพียงผู้เฒ่าเสิ่น
เพราะว่ายุ่งมาก เซี่ยหลานจึงไม่ได้ไปหาครอบครัวเสิ่นอีกเลย
เมื่อโทรศัพท์ไปหาครอบครัวเสิ่นแล้วไม่มีคนรับสาย หล่อนก็อดคิดมากไม่ได้
แต่โทรแล้วไม่ติดก็ดีเหมือนกัน
หล่อนกลัวว่าถ้าผู้เฒ่าเสิ่นมาเยี่ยมเสิ่นอวี้หลง เขาคงไม่วายจะต้องเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่บ้านแน่
แต่เสิ่นอวี้หลงถามหล่อนไม่ต่ำกว่าสามครั้งตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ว่าหล่อนบอกคุณตาของเขาหรือยังว่าเขาฟื้นแล้ว
ถ้าผู้เฒ่าเสิ่นหายไปนานๆ เสิ่นอวี้หลงก็จะต้องสงสัย
เซี่ยหลานเลยคิดว่าอีกสองวันจะไปหาครอบครัวเสิ่นสักหน่อย ไปดูอาการของผู้เฒ่าเสิ่น จากนั้นก็จะพูดเกลี้ยกล่อมเขา
เสิ่นอวี้หลงเป็นหลานชายแท้ๆ ของเขา และเขาเคยรักเสิ่นอวี้หลงมากที่สุด
เพื่อเห็นแก่สภาพร่างกายของหลานชาย เขาจะต้องเล่นตามน้ำไปกับหล่อนแน่นอน
เมื่อเห็นว่าสภาพจิตใจของเสิ่นอวี้หลงดีมาก หลินเซี่ยก็เบาใจลง
แม้ว่าในขณะนี้ร่างกายของเสิ่นอวี้หลงจะอ่อนแอมาก แต่สติสัมปชัญญะของเขาก็ยังสมบูรณ์ การพูดคุยกับผู้อื่นเป็นไปอย่างราบรื่น และความทรงจำก็ไม่บกพร่องใดๆ ทำให้ทุกคนวางใจลงได้บ้าง
ส่วนการฟื้นตัวในด้านอื่นก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลา
ทว่าปัญหาหนึ่งที่หลินเซี่ยพบคือ หลังจากที่เสิ่นอวี้หลงฟื้นขึ้นมา เขาใกล้ชิดกับเธอกว่าเดิม
เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนเสิ่นอวี้หลงไม่ได้สนิทกับเธอขนาดนี้
ตอนเด็กๆ หลังจากเสิ่นอวี้หลงเกิดมา เสิ่นเถี่ยจวินกับเซี่ยหลานได้นำเธอมาฝากไว้กับผู้เฒ่าเสิ่น
พอเสิ่นอวี้หลงโตจนเริ่มเข้าโรงเรียน ถึงจะรับเธอกลับไป
เพราะดูแลลูกสองคนไม่ไหว เธอจึงมักจะถูกส่งให้ไปอยู่กับผู้เฒ่าเซี่ย
หลังจากนั้นเมื่อเธอโตขึ้น เสิ่นอวี้หลงก็มักรังเกียจที่เธอเรียนไม่เก่ง ประกอบกับที่เธอและเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อยนัก
เวลากลับมาเจอกันที่บ้าน พวกเธอสองคนก็จะทะเลาะกันตลอด
แน่นอนว่าเสิ่นอวี้หลงเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของครอบครัว เธอก็เลยไม่กล้าโต้ตอบเสิ่นอวี้หลงตรงๆ
เธอจะโต้ตอบก็ต่อเมื่อเสิ่นเถี่ยจวินกับเซี่ยหลานไม่ได้อยู่ด้วยเท่านั้น
วันนี้เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าท่าทีของเสิ่นอวี้หลงที่มีต่อเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว
บางทีเสิ่นอวี้หลงอาจจะเผชิญกับความยากลำบากเหล่านี้ แล้วกลายเป็นเข้าใจอะไรมากขึ้นก็ได้
เมื่อนึกถึงชาติที่แล้วที่เสิ่นอวี้หลงไม่มีโอกาสแม้แต่จะฟื้นขึ้นมา หลินเซี่ยก็รู้สึกหายใจไม่ออก
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในชาตินี้เลย อย่างน้อย…
เธอก็ได้ช่วยชีวิตคนไว้สองคน
ระหว่างทางกลับบ้าน เฉินเจียเหอกุมมือหลินเซี่ยไว้ข้างหนึ่งและจูงมือหู่จือด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะเดินไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นลอยๆ “เซี่ยเซี่ย ผมยังไม่แก่ใช่ไหม”
หลินเซี่ยเหลือบมองเขาแล้วตอบกลับอย่างจริงจังว่า “ไม่แก่หรอก ใครบอกว่าคุณแก่ล่ะคะ”
“เสิ่นอวี้หลง” เฉินเจียเหอตอบอย่างน้อยใจ
“อย่าไปสนใจคำพูดเขาเลยค่ะ คุณลองไปหาเขาบ่อยๆ เดี๋ยวเขาก็ดีกับคุณเอง เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้ทำดีกับฉัน แต่ดูตอนนี้สิ เรียกฉันว่าพี่สาวและทำตัวสนิทสนมเหลือเกิน”
หลินเซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย แต่เฉินเจียเหอกลับรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่บ้านตระกูลเสิ่น แม้แต่เสิ่นอวี้หลงที่เป็นน้องชายแท้ๆ ยังไม่ชอบเธอเลยหรือ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเธอใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
หู่จือเอ่ยเสียงใส “พ่อครับ น้าชอบผมมากนะ บอกว่าผมเป็นผู้มีพระคุณของน้า”
เฉินเจียเหอลูบหัวของลูกชายพร้อมกับยิ้ม “ใช่แล้ว ลูกคือผู้มีพระคุณ”
พวกเขาเป็นผู้มีพระคุณของทุกคน
เมื่อกลับถึงบ้าน เฉินเจียวั่งก็กลับมาแล้ว
หลินเซี่ยเห็นเฉินเจียวั่งกำลังนั่งต่อโมเดลอยู่ที่โซฟา
ในใจก็อดคิดไม่ได้
โชคชะตาของเด็กหนุ่มคนนี้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงก็เพราะเธอด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินเซี่ยก็มั่นใจที่จะคุยกับเฉินเจียวั่งมากขึ้น
“น้องสาม กลับมาเร็วจัง ไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นเหรอ?”
เฉินเจียวั่งเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างเย็นชาเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่ได้ตอบโต้อะไร และยังคงต่อโมเดลต่อไป
ผู้เฒ่าเฉินถามหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย เจียวั่งบอกว่าเธอไปเยี่ยมอวี้หลงมาเหรอ? เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“คุณปู่ เขาสบายดีค่ะ วันนี้เราไปเยี่ยม เขาก็นั่งได้นานเลยละค่ะ”
หลังจากได้ฟัง ผู้เฒ่าเฉินก็ถอนหายใจ “คนหนุ่มก็แบบนี้ละนะ ฟื้นตัวได้เร็วดีจริงๆ”
“พรุ่งนี้เขาจะไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ถ้าตรวจดูแล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็จะไปทำกายภาพบำบัดต่อที่บ้านหมอแผนจีนเย่ค่ะ”
ข่าวคราวของเสิ่นอวี้หลงทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ ผู้เฒ่าเฉินชวนให้หลินเซี่ยนั่งลง แล้วถามอย่างกระตือรือร้น
“เจียวั่งไปบ้านอวี่เฟยแล้วเป็นอย่างไรบ้าง พ่อของอวี่เฟยประทับใจเขามากไหม?”
หลินเซี่ยยังนึกเคืองเฉินเจียวั่งอยู่มากตรงที่เขาเย่อหยิ่งไว้ตัว เลยตอบไปอย่างรำคาญ “เขาเหรอคะ ไปบ้านคนอื่นก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลย”
เมื่อหลินเซี่ยพูดแบบนั้น คุณย่าเฉินก็โมโหจนตบหลังเฉินเจียวั่ง “ให้ตายเถอะเด็กโง่เอ๊ย เช้านี้ย่าเพิ่งบอกไปว่ายังไง? ย่าบอกให้เธอสุภาพอ่อนโยนเป็นมิตรกับคนอื่นตอนเจอหน้ากัน ทำไมเธอถึงไม่ฟังอะไรเลย? ไปบ้านคนอื่นเขาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลยเนี่ยนะ แล้วจะไปบ้านเขาทำไม?”
โจวลี่หรงเดินออกมาจากห้อง เมื่อได้ยินเสียงคุณย่าเฉินสั่งสอนเฉินเจียวั่ง จึงเดินเช้ามาสมทบ “เจียวั่ง แกควรปรับปรุงนิสัยได้แล้วนะ แกจะจีบอวี่เฟยเป็นแฟน แกต้องสร้างความประทับใจให้พ่อแม่เขาก่อนถึงจะพัฒนาความสัมพันธ์ต่อได้ เรื่องแค่นี้ทำไมแกถึงไม่เข้าใจ?”
ผู้เฒ่าเฉินส่ายหน้าขณะมองหลานชาย
หลานชายนิสัยแบบนี้ ช่างน่าปวดหัวจริงๆ
หล่อแค่ไหน เรียนเก่งแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
สมาชิกในครอบครัวทุกคนเริ่มมองเขาด้วยความผิดหวังและรังเกียจ พลางส่ายหัวและถอนหายใจ
เฉินเจียวั่งวางโมเดลในมือลง แล้วพูดกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “อย่าไปฟังพี่สะใภ้พูดไร้สาระนะครับ พ่อของหล่อนชอบผมมาก คุยกับผมนานมาก และยังเชิญผมไปกินข้าวที่บ้านในครั้งหน้าอีก”
“จริงเหรอ” คุณย่าเฉินตาเป็นประกาย พร้อมถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
เฉินเจียวั่งพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ครับ”
คุณย่าเฉินถามอีกว่า “แล้วอวี่เฟยจะมาบ้านเราอีกเมื่อไหร่?”
ตอนนี้นางไม่เชื่อคำพูดของเฉินเจียวั่งแม้แต่คำเดียว นางต้องการแค่ดูผลลัพธ์เท่านั้น
เฉินเจียวั่งเอ่ย “พ่อของหล่อนกำลังจะแต่งงานแล้ว หล่อนเลยไม่มีเวลามาหาครับ”
“อะไรนะ พ่อของอวี่เฟยจะแต่งงานเหรอ?”
ผู้เฒ่าเฉินบ่น “อายุเท่าไหร่แล้วยังจะแต่งงานอีก”
หลินเซี่ยเดินออกมาจากห้องน้ำ อธิบายว่า “คุณปู่ ลุงเจียงเลี้ยงอวี่เฟยมาด้วยความยากลำบาก ตอนนี้อวี่เฟยโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เลยแนะนำแฟนให้พ่อ เมื่อพ่อมีคู่ชีวิต อวี่เฟยก็จะได้ทำงานและแต่งงานโดยไม่ต้องเป็นห่วงน่ะค่ะ”
หลังจากที่ได้ยินว่าเจียงอวี่เฟยเป็นคนแนะนำแฟนให้พ่อเอง ผู้ใหญ่ในตระกูลเฉินต่างก็ประทับใจในตัวเจียงอวี่เฟยมากยิ่งขึ้น
“อวี่เฟยเป็นเด็กดีและกตัญญูรู้คุณจริงๆ”
คุณย่าเฉินอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ “แม่เลี้ยงของหล่อนเป็นคนยังไงบ้าง อยู่ด้วยแล้วสบายใจไหม?”
ในอนาคตแม่เลี้ยงของเจียงอวี่เฟยก็จะเป็นแม่ยายของเจ้าสาม ซึ่งนิสัยของแม่ยายย่อมส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย
หลินเซี่ยหัวเราะตอบกลับ
“อยู่ด้วยแล้วสบายใจดีค่ะ เป็นเพื่อนบ้านเก่าที่หอพักของเราด้วย เป็นเพื่อนร่วมงานของเฉินเจียเหอ ชื่อหวังซิ่วฟาง”
“หวังซิ่วฟาง?” คุณย่าเฉินอึ้งไปสองสามวินาที แล้วร้องออกมา “คนที่พาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มาด้วยคนนั้นเหรอ? ที่เมื่อก่อนมักจะมาหาเจียเหอ…”
“แค่ก ๆๆ”
ผู้เฒ่าเฉินและเฉินเจิ้นเจียงไอพร้อมกันเป็นสัญญาณให้คุณย่าเฉินหยุดพูด
เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว มาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหลินเซี่ยแบบนี้ อยากให้เจียเหอคุกเข่าขัดกระดานซักผ้าตอนกลางคืนเหรอ?
คุณย่าเฉินยิ้มเก้อ พูดแก้ตัว “ไม่ใช่ๆ ฉันหมายความว่าหล่อนกับเจียเหอทำงานที่เดียวกัน”
สำหรับข่าวนี้ ครอบครัวเฉินต่างพากันรู้สึกเหลือเชื่อ
พวกเขาทุกคนเคยรู้มาว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งมักจะเอาอกเอาใจเฉินเจียเหอเพื่อหวังจะสานสัมพันธ์ด้วย
เฉินเจียเหอไม่ชอบผู้หญิงคนนั้น พวกเขาก็เลยไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นจะกลายมาเป็นแม่ยายของลูกชายคนเล็กของตน
โชคชะตาเช่นนี้หนอ!
……………………………………..
เฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยอยู่ที่บ้านตระกูลเฉินจนถึงวันที่เจ็ดของเทศกาลปีใหม่ เลยวางแผนจะกลับบ้านของตัวเอง
หลินเซี่ยต้องกลับไปเตรียมการเรียนการสอนสำหรับสถาบันส่งเสริมอาชีพ
เฉินเจียซิ่งกับหยางหงเสียก็ต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก พอดีที่วันนี้ไม่ได้ทำงาน ก็เลยเก็บของกันอย่างวุ่นวาย
ก่อนที่หลินเซี่ยจะจากไป ฉันก็บอกหยางหงเสียว่า “หงเสีย พรุ่งนี้เธออย่าลืมไปที่ร้านแล้วโทรแจ้งนักเรียนที่ลงชื่อไว้ก่อนปีใหม่ทีละคนเลยนะ บอกว่าเราจะเปิดเรียนอย่างเป็นทางการในวันที่สิบหกหลังเทศกาลโคมไฟ ให้พวกเขามาลงชื่อล่วงหน้าหนึ่งวัน”
“ได้ค่ะ พี่สะใภ้”
พอหยางหงเสียคิดว่าตนกำลังจะได้ทำงานใหญ่ หล่อนก็รู้สึกตื่นเต้น
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจียวั่งโดนรุมแล้ว จะปรับคาร์ฯใหม่ให้เป็นที่ประทับใจของบ้านสาวได้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)