ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 422 ว่าด้วยเรื่องเงินสินสอด
ตอนที่ 422 ว่าด้วยเรื่องเงินสินสอด
“ฉันไม่ได้หาเรื่องเธอสักหน่อย ฉันก็แค่ถามดู ได้ยินว่าตอนนี้พวกเขาขายเสื้อผ้า ถึงจะเป็นแค่แผงขายของ แต่ก็ได้กำไรงามเชียวล่ะ!” จี้มู่ตานบอก
ซูตานหงเหลือบมองหล่อน
ที่หล่อนพูดคลุมเครือแบบนี้ คงเพราะต้องการยั่วโมโหเฝิงฟางฟางสินะ?
“ที่ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เข้าร่วมธุรกิจด้วยก็เป็นเพราะจี้อวิ๋นอวิ๋นต่างหาก ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ที่หล่อนไม่ได้คิดจะช่วยเธอก็เพราะเธอไม่มีประโยชน์ยังไงล่ะ หล่อนถึงไม่ไปหาเธอ” เฝิงฟางฟางจำได้ขึ้นใจและว่าเย้ย
“ขอบคุณจริง ๆ ที่หล่อนไม่มาหาฉัน ไม่อย่างนั้นบ้าน 2 ชั้นของฉันคงสูญสลายไปแน่” จี้มู่ตานพูดอย่างภาคภูมิ
เฝิงฟางฟางหน้าเสียเล็กน้อย แต่ก็เถียงไม่ออก
ตอนนี้จี้มู่ตานอยู่เหนือกว่าหล่อน ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้หล่อนตามฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของจี้อวิ๋นอวิ๋นและลงทุนไปเสียหมดกันล่ะ?
“จะว่าไปแล้วเธอก็ออกจะมีไหวพริบไม่น้อย ได้อยู่ด้วยกันออกจะบ่อย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะไม่รู้เรื่องที่จี้อวิ๋นอวิ๋นกับพี่ชายใหญ่ของอวิ๋นลี่ลี่ทำเรื่องแบบนั้น” จี้มู่ตานว่าเสริม
“เอาล่ะ เลิกคุยเรื่องนี้เถอะค่ะ อย่าเอาของเหลือมาผัดอาหารใหม่*เลย” ซูตานหงออกปากห้าม
*เอาของเหลือมาผัดอาหารใหม่ = เอาเรื่องเก่ามาพูดถึง
เฝิงฟางฟางที่เดิมทีอยากจะเถียงกลับก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบในตอนนี้
“ฉันได้ยินมาว่าปีนี้ชาวบ้านหลายคนรายได้ดีมากเลยล่ะค่ะ” ซูตานหงบอก
เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
ปีนี้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ชาวบ้านหลายคนออกไปแสวงโชค ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวคราวมาไม่มาก แต่ตอนนี้พวกเขาต่างกลับมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่
แม้แต่เด็กที่มีครอบครัวฐานะปานกลางยังหาเงินได้มากในปีนี้เมื่อได้มีโอกาสทำงานเป็นพนักงานชั่วคราว ส่วนคู่สามีภรรยาซึ่งก่อนหน้านี้ดูไม่น่าจะไปรอดก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นผิดหูผิดตาในภายหลังจากที่พวกเขาไปตั้งแผงขายของที่เมืองเจียงสุ่ย
เหลือชาวบ้านส่วนน้อยที่ยังทำงานในหมู่บ้าน ในขณะที่หลายคนออกไปทำงานข้างนอก และแวะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเป็นครั้งคราว
เมื่อได้คุยกับหลายคนก็พบว่าไม่ได้มีธรรมเนียมคร่ำครึอย่างเมื่อก่อนแล้ว พวกเขาต่างแสวงหาหนทางเจริญก้าวหน้ากันหมดแล้ว
สภาพเศรษฐกิจภายนอกในปีนี้ถือว่าดีมาก ควบคู่ไปกับบ้านเมืองที่พัฒนารวดเร็ว และเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน
เมื่อก่อนตอนที่สวี่เหอซานแต่งงานกับจี้อวี้หลานยังใช้สินสอดเพียงแค่ 300 หยวน ซึ่งทำให้หลายคนหมดตัวได้แล้ว เนื่องจากในตอนนั้นเงินจำนวนนี้ถือว่ามหาศาล
ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ?
หากแต่งงานกันตอนนี้ก็ไม่มีใครให้สินสอดต่ำกว่า 1,000 หยวนหรอก ไม่ต้องบอกผู้คนก็รู้เรื่องนี้กัน
1,000 หยวนถือเป็นขั้นพื้นฐาน เมื่อไม่กี่ปีก่อนก็มีครอบครัวจากในเมืองมาสู่ขอคนหมู่บ้านใกล้เคียง โดยให้สินสอดทองหมั้นถึง 3,000 หยวน นอกจากเงินสินสอดนี้แล้วยังมีสร้อยทองและแหวนทองอีกด้วย
มันทำให้หลายคนถึงกับอึ้งกันทีเดียว แต่เพราะครอบครัวในเมืองเป็นคนมีฐานะกันจริง ๆ หญิงสาวที่อยู่หมู่บ้านข้างเคียงคนนั้นเป็นสาวงาม ขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้ประจำหมู่บ้าน เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย
ได้ยินมาว่าปีนี้หล่อนตั้งท้องแล้ว
ชาวบ้านหลายคนต่างพูดถึงเรื่องนี้กัน
แต่สิ่งที่คาดการณ์ได้ในตอนนี้คือเงินสินสอดกำลังสูงขึ้นมาก หากให้น้อยเกินไป คงจะดูไม่ดีนัก
อย่างในหมู่บ้านต้าวาน เมื่อหญิงสาวแต่งงานออกไปแล้วได้สินสอดเพียง 500 หยวน เมื่อก่อนจะถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่ตอนนี้กลับมีมูลค่าน้อยลง อย่างไรก็ตามชีวิตตอนนี้ของพวกเขาก็สุขสบาย ทั้งยังมีความสุขกันดี คู่หนุ่มสาวช่วยกันทำมาหากิน และใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข
ส่วนเรื่องสินสอด ตอนที่เธอกลับไปบ้านแม่ในวันที่ 2 ของปีใหม่ คุณแม่ซูก็พูดถึงเรื่องนี้ และได้ความว่าสินสอดที่หมู่บ้านซูเจี่ยก็มีราคาแพงเหมือนกัน
“ตอนนั้นฉันเคยขอสินสอดจากตระกูลจี้ 200 หยวน แค่นี้คนอื่นก็พูดกันให้แซด ลองเป็นตอนนี้แล้วคิดจะแต่งสะใภ้เข้าบ้านด้วยเงินน้อยกว่า 1,000 หยวนสิ? ไม่มีทางหรอก”
ใช่แล้ว สินสอดตอนที่ซูตานหงแต่งงานนั้นคิดเป็นจำนวน 200 หยวน แต่ 200 หยวนสมัยนั้นก็นับว่าสูงมากแล้ว พอเป็นยุคปัจจุบันกลับเป็นเงินไม่มาก ซึ่งการแต่งภรรยาเข้าบ้านต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียว!
“อันที่จริงแล้ว เงิน 1,000 หยวนก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะคะ” ซูตานหงบอกไปตามตรง
เมื่อก่อน 100 หยวนอาจดูเยอะ แต่สมัยนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย ขอเพียงตั้งใจและขยันทำงาน ปีหนึ่งก็เก็บได้ไม่ยากเย็น หากยังมีไม่ถึงก็ใช้เวลาเก็บเพียง 2 ปีเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้บอกว่าต้องใช้เงินค่าสินสอดมาก แต่เงินนี้ก็ไม่ได้ยกให้พ่อแม่ทั้งหมด หากเรียกสินสอดราคาแพง พวกเขามักแบ่งให้ครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่ามีบางครอบครัวที่เก็บเอาไว้เอง ไม่ต้องพูดถึงว่ามันไม่ต่างกับการขายลูกสาวกินเลย
แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เมื่อลูกสาวแต่งงานออกไป เธอก็ยังเป็นมนุษย์ที่ต้องใช้ชีวิตของตัวเองต่อ ไม่มีทางที่จะยกให้พ่อแม่เสียหมด ไม่ใช่ว่าพ่อแม่เธอจะอยู่ไม่ได้หากขาดเงินสินสอดเสียหน่อย
ดังนั้นหลายคนจึงเก็บไว้เพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งนั้นยกให้ลูกสาว ซึ่งถือเป็นหลักประกันชีวิตความเป็นอยู่ของคู่รักหนุ่มสาวได้
คนมีฐานะบางคนที่ลูกสาวแต่งงานออกไป แทนที่พวกเขาจะรับเงินสินสอด กลับให้เงินมาก้อนโตด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่าแม้มูลค่าสินสอดพุ่งสูงขึ้นมาก แต่หลายครอบครัวยังมีสติยั้งคิด ไม่คิดโลภมาก และไม่ไปสู่ขอหากยังไม่มีเงินมากพอ
อีกทั้งหากไม่มีปัญญาหาเงินสินสอดเล็กน้อยนี้มาได้ ครอบครัวฝ่ายหญิงจะวางใจยกลูกสาวให้ได้อย่างไรกัน?
แม้บอกว่าจะตั้งใจทำงานและฝ่าฟันอุปสรรค แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงรู้จักฝ่ายชายมามากเท่าไร? บอกว่าพ่อแม่สาวเจ้าไม่เข้าใจ แต่ตนเองเข้าใจหัวอกของครอบครัวคนอื่นแล้วหรือ? หากอยู่ตัวคนเดียวแล้วยังไม่พยายาม จะมั่นใจว่าจะดิ้นรนเมื่อแต่งภรรยาไปได้อย่างไร?
ดังนั้นสินสอดจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากแต่มันขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่าจะให้มากหรือให้น้อย
คุณแม่ซูมองค้อนใส่เธอ และบอก “ในเมื่อแกอยากมีลูกสาว ฉันจะคอยดูว่าแกจะเรียกสินสอดไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ทำไมจะไม่เรียกล่ะคะ มันแค่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เพียงแต่ฉันมีเยอะกว่ามากค่ะ ถ้าฉันอยากให้ลูกสาวแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเงินหรือเพื่อแสดงความจริงใจกับหล่อนก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันกับเจี้ยนอวิ๋นต้องคุยกันด้วยซ้ำค่ะ” ซูตานหงบอก
ครอบครัวเธอไม่ขัดสนเงินทอง หากต่อไปลูกสาวของเธอคบหากับชายหนุ่มยากจนก็ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อน
หากแต่ก่อนที่จะยอมให้เขาแต่งงานกับเธอ เขาควรต้องพิสูจน์ตัวเอง 3 ปีเสียก่อน ถึงจะสามารถมาเจรจากับเธอว่ามีความสามารถในการดูแลลูกสาวของเธอหรือไม่
ไม่อย่างนั้นจะปล่อยให้ชายหนุ่มยากจนแต่งงานกับลูกสาวเธอง่าย ๆ หรือ? มันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องคิดให้มากความเลย เธอเฝ้าเลี้ยงดูลูกสาวมาอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เธออยู่อย่างยากแค้น แบบนั้นเธอกับจี้เจี้ยนอวิ๋นคงปวดใจเหลือทน พวกเขายอมไม่ปล่อยให้เธอแต่งงานออกไปเสียดีกว่า การตั้งตัวเป็นเรื่องสำคัญ ครอบครัวเธอสามารถหาเลี้ยงเธอได้ทั้งชีวิตอยู่แล้ว ด้วยมีทรัพย์สมบัติมากมายในครอบครอง
ใช่แล้ว เธอทั้งหยิ่งและไร้เหตุผลอยู่พอสมควร
“อย่างนั้นแกก็ต้องมีลูกสาวให้ได้ก่อนสิ” คำพูดของคุณแม่ซูเสมือนเข็มแหลมจิ้มลูกโป่งชื่อว่าซูตานหงจนฟีบแบน
…………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แม่ซูอย่าบู้บี้ตานหงอย่างนั้นสิคะ ตานหงพยายามจะมีหลานสาวให้อยู่นะ
ไหหม่า(海馬)