ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 149 นี่คือโลกของลูกพี่หรือ?
“สามหาว! เจ้าพูดกับท่านจักรพรรดิปีศาจที่เคารพรักของเราเช่นนี้ได้อย่างไร? จักรพรรดิปีศาจให้เจ้าทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น จะพูดจาเลอะเทอะมากความไปไย? ข้ายกเอง”
ปีศาจหมูป่าตะคอกใส่ปีศาจอสรพิษเขียว จากนั้นเงยหน้าขึ้นประจบสอพลอ อุ้มจิ้งจอกน้อยที่อยู่สูงแล้วพูดว่า “ท่านจักรพรรดิปีศาจ โปรดให้หมูแก่อย่างข้าน้อยช่วยเถิด!”
พูดจบมันก็ยกปีศาจอสรพิษเขียวขึ้น ราวกับถือบันไดยาว “เป็นอย่างไร ท่านจักรพรรดิปีศาจ ตอนนี้มองเห็นหรือยัง?”
จิ้งจอกน้อยมองไปรอบๆ สักพักก็ส่ายหัว “ยังไม่เห็นเลย ปีศาจหมีดำ เจ้าก็มาด้วย”
“อ้อ ได้” ปีศาจหมีดำพยักหน้าแล้วยกปีศาจหมูป่าขึ้น “ท่านจักรพรรดิปีศาจ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังไม่ได้อยู่ดี แปลกจัง ข้าแน่ใจว่าอยู่สูงกว่ากำแพงเรือนมากแล้ว แต่เหตุใดข้าถึงยังรู้สึกว่าถูกกำแพงขวางไว้ มองไม่เห็นข้างในเลย?”
หางทั้งเจ็ดของจิ้งจอกลู่ลง “ไม่รู้ว่าท่านพี่หายไปไหน ไม่บอกข้าสักคำ นี่ตั้งกี่วันมาแล้ว
อีกอย่างก็ไม่ได้กินอาหารที่ท่านพี่นำมาให้ข้าหลายวันแล้วด้วย อยากกินจัง”
ปีศาจอสรพิษเขียวพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ท่านจักรพรรดิปีศาจ ใช้ได้หรือยัง? ข้าน้อยจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”
จิ้งจอกน้อยส่ายหัว กระโดดลงจากหัวงู “ช่างเถอะ ข้าลงละ”
“ฟุบ!”
ปีศาจอสรพิษเขียวพลันรู้สึกโล่ง ร่างกายที่เหยียดยืดแข็งทื่อถึงขีดสุด ล้มลงกับพื้นทันทีราวกับงูยาวตากแห้ง “ไม่ไหวแล้ว อ่อนไปทั้งตัว”
ในฐานะกุนซือ ปีศาจหมูป่าเริ่มวางแผนพูดจาร้ายกาจ “ท่านจักรพรรดิปีศาจ หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็บุกเข้าไปเลย! ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเซียนผู้ใดจะกล้าขวางท่าน?”
เมื่อนึกถึงพี่สาวของจิ้งจอกน้อย ความมั่นใจของพวกมันก็มากพอ มีผู้ยิ่งใหญ่หนุนหลังเช่นนี้ หากอาละวาด ใครจะกล้าหยุดเล่า? ฮ่าๆๆๆ…
“แอด”
เวลานี้เอง หลังจากมีเสียงแผ่วเบา ประตูเรือนสี่ประสานก็เปิดออก
สุนัขตัวใหญ่สีดำก้าวเดินออกมาอย่างสง่างาม
“โอ้ เจ้าหมาดำ”
ดวงตาปีศาจหมูป่าพลันเปล่งประกาย ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะได้แสดงผลงานต่อหน้าจักรพรรดิปีศาจ มันรีบก้าวไปข้างหน้า แยกเขี้ยวข่มขู่ “หมาดำน้อย บ้านเจ้ามีคนอยู่ไหม? จักรพรรดิปีศาจของ เราต้องการเข้าไปข้างใน ถ้าไม่อยากถูกข้ากิน ก็รีบนำทางไป!”
ต้าเฮยเหลือบมองด้วยใบหน้าเฉยเมย ยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นและกดลงอย่างรวดเร็ว
“ตูม!”
จู่ๆ หลุมขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงที่ปีศาจหมูป่ายืนอยู่ ในอากาศคล้ายมีพลังมหาศาลบางอย่างที่มองไม่เห็นกดทับปีศาจหมูป่าจนนอนราบกับพื้น ขยับตัวไม่ได้
สุนัขตัวใหญ่สีดำอ้าปากเล็กน้อยและพูดเบาๆ “ข้าให้เจ้าเรียบเรียงคำพูด แล้วพูดใหม่อีกครั้ง”
“นายท่านสุนัข ข้าผิดไปแล้ว!” ปีศาจหมูป่าตกใจขนชี้ตั้งไปทั้งตัว หนังศีรษะชา ผิวหนังซีดเผือด หากไม่ใช่เพราะขยับไม่ได้ มันคงคุกเข่าสามครั้งเก้าครั้งขอความเมตตาไปแล้ว
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ขุ่นเคืองจริงๆ โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ”
แม้แต่รูปลักษณ์ดั้งเดิมของมันก็ปรากฏออกมา กลายเป็นหมูป่าที่ร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง
ต้าเฮยแผ่กรงเล็บออกแล้วพูดอย่างเย็นชา “ยังถือว่าเจ้าโชคดีหนักหนา อยู่กับคนที่ใช่ หากเจ้าเป็นหมูธรรมดา คงกลายเป็นหมูหันย่างไปนานแล้ว”
ปีศาจหมูป่าลุกขึ้นยืนอย่างสั่นเทา ถอยไปทางด้านข้างจิ้งจอกน้อย
จิ้งจอกน้อยหลบอยู่หลังหางทั้งเจ็ดของมัน เผยออกมาให้เห็นเพียงดวงตาเล็กๆ คู่หนึ่ง “เจ้า…เจ้าคือต้าเฮยที่พี่สาวของข้าพูดถึงหรือ?”
“เป็นข้าเอง”
ต้าเฮยพยักหน้า ขนต้องลมพลิ้วไหว มองเห็นลักษณะของสุนัขสูงใหญ่ไร้เทียมทานได้ชัดเจน มันกล่าวอย่างลึกลับว่า “พี่สาวเจ้าคอยทำเรื่องต่างๆ ให้นายท่าน เจ้าเป็นน้องสาวนาง ถือว่าก ก็ยังได้พรของนายท่าน ความแข็งแกร่งและกล้าหาญเท่านี้ยังไม่พอ อีกอย่างลูกน้องเจ้าก็ยังใช้ไม่ได้ ขายหน้าแทนนายท่านจริงๆ ช่วงนี้พวกข้าเบื่อๆ อยู่พอดี…แค่กๆๆ เรามีเวลานิดห หน่อย จะให้คำแนะนำบางอย่างแก่พวกเจ้า”
ชี้แนะพวกข้า?
นอกจากจิ้งจอกน้อย ปีศาจสามตัวที่เหลือก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที ดวงตาเป็นประกาย ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
แม้แต่ปีศาจอสรพิษเขียวที่แข็งทื่อไปก่อนหน้านี้ก็ยังลุกขึ้นมา
เจ้าหมาดำตัวนี้ช่างเก่งกาจ แม้แต่พี่สาวของจักรพรรดิปีศาจก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันกระมัง หากข้าได้คำชี้แนะจากมันมาสักหน่อย จะไม่กลายเป็นราชาแห่งโลกปีศาจ ไปถึงจุดสูงสุดของชีว วิตปีศาจเลยหรือ?
โอกาสครั้งใหญ่เช่นนี้หล่นใส่หัวข้า ช่างโชคดีเหลือเกิน!
ต้าเฮยเชิดหัวขึ้น “เข้ามาสิ”
จากนั้นปีศาจทั้งสามก็เดินล้อมรอบจิ้งจอกน้อยเข้าไปที่ประตูเรือนสี่ประสาน
เมื่อถึงประตูเรือนสี่ประสาน หัวใจพวกมันก็สั่นระรัวอย่างอดไม่ได้ จู่ๆ จิตใจก็ประหม่าขึ้นมา รู้สึกราวกับปุถุชนเข้าตำหนักสวรรค์
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในลานบ้าน กลิ่นหอมก็พุ่งปะทะ จนพวกเขาตกใจ
เมื่อมองขึ้นไป โอสถวิเศษคุณภาพสูงเต็มลาน แทบจะทำให้ลูกตาพวกมันเหลือกขึ้นด้านบน ยังไม่ทันได้สูดหายใจเฮือก ร่างหลายร่างก็ล้อมรอบพวกมันไว้แล้ว แววตาลุกโชนจับจ้องมา แรงกดดั นมหึมาดั่งภูผากดทับพวกมันจนสั่นเทิ้ม ไม่กล้าหายใจแรง
ปีศาจทั้งสามก้มหน้าลงให้ต่ำที่สุด หัวใจแทบจะเต้นถี่ที่สุดในชีวิต ตกใจจนหัวใจแทบวาย วิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง
แม่จ๋าาา!
ทำไมที่นี่มีลูกพี่ผู้ยิ่งใหญ่มากมายขนาดนี้?
โลกบำเพ็ญเซียนเก่งกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
หรือว่าตนทะลุมิติมา? ทะลุมาในโลกที่มีลูกพี่มากมายเช่นสุนัข?
น่ากลัว น่ากลัวไปแล้ว!
มังกรไฟตนหนึ่งบนไข่มุกเพลิงมังกร ส่งเสียงอันทรงพลังออกมา “ข้าว่าปีศาจพวกนี้สามารถทนต่อการทดสอบเพลิงมังกรของข้าได้ โดยเฉพาะเจ้าหมูป่าตัวนี้ ผิวหนังหยาบหนา ให้ข้าฝึกพวก มันเถอะ”
ปีศาจหมูป่าสั่นสะท้านไปทั้งตัว เหงื่อเย็นผุดพรายด้วยความหวาดกลัว แทบจะร่ำไห้ “พี่ใหญ่ล้อเล่นใช่ไหม ข้าจะทนต่อการทดสอบเพลิงมังกรได้อย่างไร จะเคยชินหรือ ไม่หรอก คงถูกเผามากกว่ า”
กระบี่จุ้ยหมัววางอยู่ตรงหน้าปีศาจทั้งสาม มารกระบี่ที่สวมกาสาวพัสตร์[1]ส่ายหน้า พูดอย่างเห็นอกเห็นใจ “ข้าว่าปีศาจทั้งสามนี้ชะตาต้องกับข้า เรียนมังกรศักดิ์สิทธิ์กับข้าได้”
หลินมู่เฟิงพูดแทรกขึ้น “ไม่ต้องพูดแล้ว ให้ข้าเอง วิชาน้ำแข็งสะท้านของข้าชุบหลอมพวกเขาได้แน่นอน”
ไข่มุกเพลิงมังกรรีบพูด “คำพูดของน้องหลินมู่เฟิงทำให้ข้านึกขึ้นได้ ไม่สู้เราร่วมมือกันดีกว่าหรือ สลับร้อนเย็น น้ำแข็งกับไฟ คิดว่าคงได้ผลดีไม่เลว”
ยิ่งปีศาจทั้งสามได้ยินมากเท่าไหร่ จิตใจก็ยิ่งตื่นตระหนก หวาดกลัวจนแทบล้มลงกับพื้น
พวกมันแอบมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แต่กลับต้องสะดุ้งตกใจเบาๆ เมื่อเห็นโคมไฟที่กำลังดูความตื่นเต้นอยู่ไม่ไกล ก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่คุ้นเคยจากภายใน
นั่นไม่ใช่ปีศาจหิ่งห้อยที่ท่านต๋าจี่จับไปหรือ?
ที่แท้พรที่ท่านต๋าจี่บอกก็ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ รวดเร็วเช่นนี้ พวกมันก็กลายเป็นลูกพี่ไปแล้วเหมือนกัน
………………………………………………
[1] ผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นคำเรียกผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งห่ม