นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 807 อู๋หลิงเอ๋อร์มาช้า
ตอนที่ 807 อู๋หลิงเอ๋อร์มาช้า
“หากวันใดวันหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนนำกองทัพมาโจมตีราชวงศ์หยูด้วยตนเอง ท่านจะยอม… ยอมจำนนได้หรือไม่ ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนควบอาชาศึกพร้อมสะพายดาบไว้ที่หลังแล้วจากไป ทว่าคำเอ่ยของนางยังคงดังก้องอยู่ในหูของหยูชุนชิว
เขามิสามารถตอบคำถามได้ เนื่องจากเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพชายใต้แห่งราชวงศ์หยู ในเมื่อเขามีสายเลือดของราชวงศ์หยูไหลวนอยู่ในร่างกาย แล้วเขาจะยอมจำนนได้เยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนจะบุกรุกผืนปฐพีราชวงศ์หยูหรือไม่ ?
สิ่งนี้ทำให้หยูชุนชิวทบทวนสถานการณ์ก่อนหน้านี้อีกครา ทว่ามิสามารถหาคำตอบได้เช่นกัน
ข้ายังจำคราแรกที่ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนได้อยู่เลย เป็นวันที่ยี่สิบห้า เดือนสอง รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เมื่อได้ฟังข้อคิดเห็นของเจ้าหมอนั่นเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการทหาร ก็ได้ทำให้คู่สามีภรรยาบังเกิดความตื่นตะลึงขึ้นมา
กองทหารภูเขาของกองทัพชายแดนใต้ ก็ก่อตั้งขึ้นมาตามคำแนะนำของเจ้าหมอนั่น แม้จะเทียบมิได้กับทหารดาบเทวะ แต่ก็เป็นกองทัพที่ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน สามารถยืนยันได้ว่า ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็มิรู้เช่นกันว่าจะมีเหตุการณ์เยี่ยงนี้เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับตนที่มิเคยคิดมาก่อนว่าระหว่างทั้งสองจะกลายเป็นศัตรูต่อกัน
เมื่อยามสงครามตะวันตกเฉียงใต้ พวกเขายังสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่เลย โดยเฉพาะเผิงยวี๋เยี่ยนภรรยาของตน เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ตนก็ได้ยินคำชมเชยมากมายเกี่ยวกับเรื่องผลงานอันโดดเด่นของฟู่เสี่ยวกวนที่ด่านชีผานและเมืองเจี้ยนเหมิน
‘ราชวงศ์หยูมีบุรุษนามว่าฟู่เสี่ยวกวนที่สามารถสกัดกั้นกองทัพทหารนับล้านของแคว้นอื่นได้ ! ’
‘ตราบใดที่ฟู่เสี่ยวกวนยังมีชีวิตอยู่ ราชวงศ์หยูจะสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของใต้หล้าได้อย่างง่ายดาย มิว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจหรือทางการทหาร ! ’
‘เขาเอ่ยว่าจะยึดแคว้นฮวงแล้วมอบให้กับราชวงศ์หยู เขาย่อมสามารถทำได้อย่างแน่นอน เพราะตราบใดที่น้องชายของข้าร่วมมือกับเขา แคว้นฮวงต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์หยูเป็นแน่ ทว่าน่าเสียดายที่เขาจะกลับคืนสู่ราชวงศ์อู๋ในมิช้า แต่ก็มิเป็นไรหรอก ถึงเยี่ยงไรเขาก็ยังเป็นราชบุตรเขยของราชวงศ์หยู’
คำเอ่ยเหล่านี้เผิงยวี๋เยี่ยนเป็นผู้เอ่ยเอาไว้
แต่สิ่งที่คาดมิถึงก็คือ ฮ่องเต้ลอบแทงข้างหลังฟู่เสี่ยวกวน
เมื่อมีข่าวว่าด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวถูกทำลาย เผิงยวี๋เยี่ยนก็สิ้นหวังขึ้นมาทันใด แน่นอนว่านางมิได้สิ้นหวังเพราะสูญเสียสถานที่ทั้งสองแห่งนี้หรอก แต่เป็นเพราะนางคาดเดาแผนสมรู้ร่วมคิดในครานี้ได้…
‘ช่างโง่เขลามากยิ่งนัก ! ’
‘ท่านพี่เตรียมรับมือเอาไว้ทั้งสองทางเถิด หากฟู่เสี่ยวกวนตกตายขึ้นมาอย่างแท้จริง ย่อมจะต้องเกิดการต่อสู้ระหว่างกองทัพชายแดนใต้และกองทัพของราชวงศ์อู๋อย่างแน่นอน ! ’
‘ หากฟู่เสี่ยวกวนมิตาย กองทัพจะถอยทัพกลับไปที่เมืองชังถง…หวังว่าจะมีผู้เปี่ยมสติสัมปชัญญะทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารในราชวงศ์หยูบ้าง เนื่องจากตาเฒ่าเยี่ยนเป่ยซีได้หนีเอาตัวรอดไปเสียแล้ว ! ’
ทุกอย่างดำเนินไปตามคำคาดการณ์ของเผิงยวี๋เยี่ยน โชคดีที่ฟู่เสี่ยวกวนมิตาย และโชคดีที่ฮองเฮาซั่งเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
หากว่าฟู่เสี่ยวกวนขึ้นครองบัลลังก์แล้วยกทัพมาล้างแค้นผู้ที่หักหลัง… หยูชุนชิวเข้าใจได้ทันทีเลยว่าเหตุใดเผิงยวี๋เยี่ยนจึงมิรอพบฮ่องเฮาซั่งและรอฟังผลการเจรจาเสียก่อน…
ผลที่จะตามมามิสำคัญอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางคือต้องรักษาผู้คนในตระกูลหยูของหยูชุนชิว !
หากฟู่เสี่ยวกวนคำนึงถึงมิตรภาพเก่าก่อนของราชวงศ์หยูย่อมถือเป็นบทสรุปที่ดี แต่ในทางกลับกัน ถ้าฟู่เสี่ยวกวนบุกเข้ามาในผืนปฐพีของราชวงศ์หยู เผิงยวี๋เยี่ยนย่อมรู้คำตอบของสามีดี นางเพียงแค่อยากเอ่ยถามก่อนจากไปก็เท่านั้น
หยูชุนชิวค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา !
……
……
ทุ่งหญ้าเขียวขจี หมู่มวลผกาบานสะพรั่ง
สถานที่แห่งนี้คล้ายกับที่ราบซินรั่วนอกเมืองกวนหยุน ทว่ามิมีภูเขาสูงที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะก็เท่านั้น
อาชา 3 ตัวห้อตะบึงไปบนทุ่งหญ้า เมื่อภาพเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปรากฏเป็นสตรีงดงามสามนางตรงมาที่นี่
สตรีที่อยู่ตรงกลางสะพายดาบไว้ด้านหลัง นางสวมอาภรณ์สีแดงสดพลางควบอาชาไปบนทุ่งหญ้าราวกับกองไฟกำลังลุกโชน
นางคืออู๋หลิงเอ๋อร์ซึ่งเดิมทีตามติดทหารดาบเทวะกองทัพที่สองอยู่หลังขบวน ตอนที่นางไล่ตามทัน ไป๋ยู่เหลียนได้แจ้งให้ฟู่เสี่ยวกวนทราบและได้ไล่นางกลับไป !
ตัวข้า มิใช่สิ ฮูหยินเยี่ยงข้าคิดถึงสามีจึงตามมา แล้วจะให้กลับไปได้เยี่ยงไร ?
ไป๋ยู่เหลียนไร้ทางเลือก เขาจึงทุบไปที่ท้ายทอยของทั้งสามนางให้สลบ จากนั้นก็ส่งพวกนางไปยังจุดที่จัวเปี๋ยหลีควบคุมอยู่
นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนปรารถนาเนื่องจากในสงครามอันตรายมากยิ่งนัก อีกประการคือฟู่เสี่ยวกวนมิอยากให้อู๋หลิงเอ๋อร์ได้รับอันตราย
จัวเปี๋ยหลีเข้าใจความหมายนี้ดี เขาส่งคนไปคอยดูอู๋หลิงเอ๋อร์เอาไว้ จนกระทั่งจักรพรรดิอู๋ออกคำสั่งรอบที่สอง…ราชวงศ์อู๋ส่งทหารอีก 300,000 นายออกจากเขตป้องกันทิศตะวันออกเฉียงใต้เข้าสู่แคว้นอี๋ จัวเปี๋ยหลีได้รับคำสั่งให้นำกองทัพ 300,000 นายบุกเข้าโจมตีแคว้นฮวง
ทว่ากองทัพของจัวเปี๋ยหลีเพิ่งเดินทางมาถึงแคว้นอี๋ ก็มีรายงานใหม่เกี่ยวกับสงครามที่แคว้นฮวงมาว่า…สงครามได้จบสิ้นลงแล้ว ! องค์ชายทรงยึดครองแคว้นฮวงและจับตัวท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวงได้แล้วเช่นกัน !
มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาพร้อมรายงานนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเขียนด้วยตนเองและเมื่อได้อ่านจดหมายนี้ จัวเปี๋ยหลีก็รู้สึกมิสบายทั้งร่าง…
‘แม่ทัพใหญ่จัวโปรดไปขอยืมข้าวจำนวน 1 ล้านชั่งจากแคว้นอี๋มาให้ข้าหน่อยเถิด อีกประการหนึ่งจงให้ชินอ๋องเยียนหานยวี่แห่งแคว้นอี๋ร่วมเดินทางมาแคว้นฮวงพร้อมกองทัพของพวกเราด้วยเถิด’
ยืม… ยืมอันใดกันเล่า !
เจ้าช่างเอ่ยได้สวยงามมากยิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงมิใช่ว่าสั่งให้ข้าไปปล้นเสบียงหรอกหรือ !
ถ้าเช่นนั้นก็ไปปล้นเถิด !
จากนั้นจัวเปี๋ยหลีจึงนำกองทัพ 300,000 นายเคลื่อนผ่านเส้นทางเมืองไท่หลินซึ่งอยู่ในแคว้นอี๋ ทำให้เยียนเหลียงเจ๋อหวาดกลัวจนเกือบจะเป็นลม
เขาปล้นเสบียงในเมืองใหญ่ทั้งหมด 20 แห่ง จากนั้นก็ได้ส่งคนไปจับเยียนหานยวี่มา
การปล้นสะดมในครานี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่สิบแปด เดือนสี่ จากนั้นกองทัพก็ได้ออกเดินทางพร้อมด้วยข้าวสาร 1 ล้านชั่งมุ่งหน้าไปยังแคว้นฮวง
อู๋หลิงเอ๋อร์ทนมิไหวต่อการเดินทางที่ล่าช้านี้ นางจึงหาจังหวะหนีไปพร้อมกับหนีซางและลั่วอิง
อู๋หลิงเอ๋อร์จิตใจร้อนรน อยากพบสามีจนเลอะเลือน นางมิได้นำอาหารแห้งติดกายมาด้วยเลย
หากอยู่ในแคว้นอี๋ เพียงแค่มีเงินก็ยังสามารถซื้อกินได้ แต่เมื่อนางเหยียบย่ำเข้ามายังแคว้นฮวงจึงเพิ่งเข้าใจในคำว่าว่างเปล่า
“หนีซาง ข้าหิวแล้ว”
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวก็หิวเช่นกัน พวกเรามิเจอผู้คนมาสองวันแล้ว แคว้นฮวงแห่งนี้มิเห็นมีอันใดเลย มิรู้ว่าเหตุใดองค์ชายถึงบุกยึดดินแดนนี้กัน มิขาดทุนแย่เลยหรือเจ้าคะ ? ”
อู๋หลิงเอ๋อร์จ้องมองหนีซาง “ในเมื่อท่านพี่เลือกบุกยึดที่นี่ก็อาจจะมีประโยชน์แฝงอยู่ เพียงแค่เจ้าและข้ายังมองมิเห็น …มีกระโจมอยู่ตรงนั้น พวกเราไปซื้ออาหารกินกันเถิด”
พวกนางทั้งสามคนควบอาชามาถึงด้านนอกของกระโจมใหญ่นี้ ได้กลิ่นเนื้อย่างลอยมาตามลม ใบหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์แสดงถึงความดีอกดีใจ ทว่าก็ได้ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งโห่ร้องแล้ววิ่งออกมาจากกระโจม
ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนั้นมีแขนเพียงข้างเดียว เขาถือดาบเอาไว้ในมือข้างที่เหลือ
เขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าอู๋หลิงเอ๋อร์ จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น “พวกเจ้าคือชาวฮวงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
อู๋หลิงเอ๋อร์มิพอใจจึงเอ่ยไปว่า “เจ้าสิชาวฮวง ! ”
“ข้ามิใช่ชาวฮวง ข้าคือคนของราชวงศ์หยู ! ”
“อ้อ…พวกข้าคือคนของราชวงศ์อู๋ เจ้ามีอันใดให้พวกข้ากินหรือไม่ ? ”
ชายผู้นั้นเหลือบมองอู๋หลิงเอ๋อร์เห็นว่านางสวมอาภรณ์เนื้อดี จึงสงสัยว่ามิใช่คนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าจะเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางที่ราชวงศ์อู๋
เพียงแต่สตรีทั้งสามมาที่แคว้นฮวงเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ?
แม้ติ้งอันป๋อจะทำให้แคว้นฮวงนี้สงบ ทว่าบัดนี้แคว้นฮวงยังคงวุ่นวายอยู่ มีชาวฮวงจำนวนมากทราบข่าวการล่มสลายของแคว้น นอกจากนี้ยังทราบข่าวว่าผืนปฐพีนี้ถูกเปลี่ยนเป็นเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนแห่งราชวงศ์อู๋ พวกเขามิยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ จึงสร้างกองกำลังต่อต้านขึ้นมา
หากทั้งสามนางไปพบเข้ากับกองโจรของชาวฮวงโดยบังเอิญ ย่อมมีจุดจบที่มิดีเป็นแน่
“ตามข้ามาเถิด…ที่นี่ล้วนเป็นกลุ่มชายเร่ร่อน หากพวกเจ้ามิถือสาก็เชิญเข้ามาได้เลย”
บุรุษแขนเดียวผู้นี้ก็คือเฉินเฉียน !
นายทหารที่คราหนึ่งเคยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เผิงแห่งกองทัพชายแดนเหนือ
หลังจากการรบในซงเจี้ยนเสร็จสิ้น เขาก็ได้นำพี่น้องทหาร 3,000 นายมายังแคว้นฮวง
บัดนี้พวกเขาได้กลายเป็นคนธรรมดาที่เร่ร่อนอยู่ในผืนปฐพีรกร้างแห่งนี้ มิต่างอันใดกับจอกแหนที่ลอยน้ำเลยสักนิด