บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 489 สอนหนังสือสังฆราช
สิ้นเสียงตะโกน หลายคนวิ่งมาดูที่หน้าประตู ฟางเจิ้งนั่งไขว่ห้าง ฮัมเพลงอย่างมีความสุข…ความฝันยามต้มข้าวฟ่างเอย…
ด้านนอก สวีเหยียนมองถุงเปล่าในมือหลี่จิ้งชูพลางเอ่ยด้วยความตกใจและงงงัน “หัวหน้า ผมให้เงินไปแล้วนี่? นี่หมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่ายังไง? ก็ไม่มีเงินน่ะสิ!” หลี่จิ้งชูพูดสะอื้นไห้
สวีเหยียนพูดทันที “หัวหน้า ผมให้เงินไปแล้ว คุณหิ้วออกไปแล้วก็หาย จะโทษผมไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่โทษนายหรอก ช่วยฉันคิดหน่อยว่าเงินอาจจะอยู่ในบ้านรึเปล่า” หลี่จิ้งชูพูด
“เป็นไปได้ยังไง? ตอนออกไปเงินยังเต็มถุงอยู่เลย คุณถูกขโมยรึเปล่า?” สวีเหยียนว่า
“ไม่มีทาง ตอนฉันออกไปสือโถวตามฉันมาตลอด ไม่มีใครอยู่ใกล้ฉัน อีกอย่าง ฉันไม่ได้ลงรถ ยังไม่เข้าเมือง เงินก็หายไปอย่างน่าประหลาดด้วย” หลี่จิ้งชูตอบ
สวีเหยียนรีบพูด “ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่รู้แล้ว หัวหน้า เงินหายไม่ใช่เรื่องเล็ก นี่…”
หลี่จิ้งชูหน้ามืดทะมึน เงินหายจะทำอย่างไร? ก็ได้แต่เธอต้องหามาโปะเอง! แต่เงินมากขนาดนี้ เธอจะโปะยังไงไหว? เลยกลอกตาเรียกสวีเหยียนมา พูดเสียงเบาว่า “หาคนใหม่มาอีก เพิ่ม ค่าใช้จ่ายเป็นสองเท่า ให้คนใหม่อุดรอยแผลนี่ซะ”
สวีเหยียนพูด “ไม่ดีมั้งครับ?”
“ไม่มีอะไรไม่ดี เอาแบบนี้แหละ!” หลี่จิ้งชูสวนกลับ
สวีเหยียนพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ ก่อนถลึงตามองคนที่อยู่ในห้องแวบหนึ่ง “มองอะไร? รีบไปนัดลูกค้า”
ตอนนี้เอง มือถือในกระเป๋ากางเกงสวีเหยียนดังขึ้น ฟางเจิ้งฟังเสียงแล้ว ทำไมเพลงถึงคุ้นหูนัก? สวีเหยียนควักออกมา ฟางเจิ้งมองไป นั่นไม่ใช่มือถือเขาหรอกหรือ?
สวีเหยียนมองสายที่โทรเข้ามือถือฟางเจิ้งอย่างชัดเจนพลางขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ไปต่อไม่ได้แล้วจึงส่งมือถือมา ทว่ากลับไม่ให้ฟางเจิ้ง เพียงแค่กดปุ่มลำโพง วางไว้ตรงหน้าฟางเจิ้ง นิ้วมือ อเขาวางที่ปุ่มปิดเสียงตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าสวีเหยียนไม่ไว้ใจฟางเจิ้งเลย จึงเตรียมความพร้อมตลอดเวลา ขอแค่ฟางเจิ้งพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดก็จะปิดเสียงทันที ถ้ากดปุ่มปิดเสียงนี้ ฟางเจิ้งจะขาดการติดต่อกับอีกฝ่ายไป
ฟางเจิ้งเข้าใจสิ่งเหล่านี้แน่นอน แต่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ และกดรับสาย
“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง หลายวันมานี้ท่านไปไหนมา?” ปลายสายคือหวังโอ้วกุ้ย
ฟางเจิ้งตอบ “อาตมามาหาเพื่อน ประสกหวังมีอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีอะไร ลูกบ้านหยางหวาใกล้จะคลอดแล้ว เขากลัวว่าท่านจะไม่กลับมาเลยร้อนใจนิดๆ ผมเลยช่วยมาถามให้…” หวังโอ้วกุ้ยพูด
“วางใจได้ ถึงเวลาแล้วอาตมาต้องกลับไปแน่นอน” ฟางเจิ้งยิ้มตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ท่านคงยุ่งอยู่ ผมจะไปเล่นไพ่เหมือนกัน” หวังโอ้วกุ้ยพูดจบก็วางสายไป
สวีเหยียนเห็นฟางเจิ้งเดินหมากแบบนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย “ฟางเจิ้ง วันนี้ฉันจะสอนนายว่านัดคนยังไง อันดับแรกนายโหลดโปรแกรมหางานมาหรือเทคนิคการพูดอะไรพวกนี้มาก่อน นายถามซุ นผู่ พวกเขามีหมดเลย วิธีการก็ง่ายมาก งานเหมือนกันให้เงินเดือนสูง บริษัทใหญ่อยู่เมืองไห่เฉิง ถึงตอนนั้นพวกเราจะมีคนสนับสนุน จากนั้นส่งพวกเขามาที่นี่ในนามของการทำงานนอกบริษัทใ ใหญ่ จำเอาไว้ การพูดสำคัญมาก จะต้องให้เห็นถึงมาตรฐาน…โปรแกรมหางานที่ฉันแนะนำให้นายไม่ได้เข้มงวดอะไร เราไม่ต้องส่งข้อมูลการลงทะเบียนบริษัท ทำยังไงก็ได้สบายๆ นายถูกใจบริษัท ทใหญ่ไหนก็ใช้ชื่อเสียงบริษัทนั้นไปนัดคนมา แน่นอนถ้านายมีเพื่อนสนิทที่เหมาะสมก็นัดมาได้ ถึงยังไงก็คุยกันง่ายอยู่แล้ว”
ฟางเจิ้งอึ้งงัน “พวกเรารับคนได้ด้วย?”
“แน่นอน พวกเราจะต้องส่งความร่ำรวยไปสู่คนให้มากขึ้น แค่เพื่อนฉันก็มีตั้งหลายคนแล้ว” สวีเหยียนยิ้มพูด
สวีเหยียนช่วยฟางเจิ้งโหลดโปรแกรมหลายอย่างก่อนสอนฟางเจิ้งลงทะเบียน ประกาศข้อมูลรับสมัครงาน สวีเหยียนดูชำนาญขั้นตอนนี้มาก เห็นได้ว่าคงจะทำแบบนี้ทุกวัน
ทำเสร็จสวีเหยียนก็เตรียมจะไป แต่ฟางเจิ้งพลันเรียกไว้ “ผู้ดูแลสวี เมื่อไรหลิวต้าเฉิงจะกลับมา?”
“เขาเหรอ ใกล้แล้ว พรุ่งนี้ก็คงจะกลับมามั้ง” สวีเหยียนตอบ
“อ้อ ประสกเฉินเซียวอยู่ที่นี่ไหม?” ฟางเจิ้งถาม เขาจำได้ว่าตอนแรกฉีลี่หย่ามาที่นี่ได้เพราะเฉินเซียวลงแรงช่วยด้วย อีกอย่างเฉินเซียวบอกว่ากำลังช่วยหลิวต้าเฉิงอยู่ที่นี่
สวีเหยียนส่ายหน้า “เขาเหรอ ออกไปทำงานข้างนอกกับหัวหน้าหลิว ก็คงจะกลับมาพร้อมกัน มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
ฟางเจิ้งถาม “อาตมาได้ยินมาว่าเพื่อนอีกคนก็มาด้วย ชื่อฉีลี่หย่า นายรู้จักไหม?”
พอเอ่ยถึงฉีลี่หย่า นัยน์ตาสวีเหยียนเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาอย่างชัดเจน จ้องฟางเจิ้งอยู่นานถึงตอบ “เธอกลับบ้านแล้ว”
พูดจบสวีเหยียนก็เดินหนีไป เห็นได้เลยว่าไม่อยากพูดเรื่องนี้กับฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งมองแผ่นหลังสวีเหยียนพลางเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีในใจ หันไปมองทุกคนในห้องที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นในการหลอกคนอื่น นัยน์ตาฟางเจิ้งเกิดประกายเย็นชาวูบผ่าน ถึงตอนนี้เขา เข้าใจสิ่งที่ควรเข้าใจพอสมควรแล้ว ถ้าจะทำความเข้าใจกับอะไรอีกก็คงเป็นเรื่องพวกนี้…ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรให้บทเรียนกับคนเหล่านี้แล้ว
สวีเหยียนไปแล้ว แต่ซ่งเข่อหลิงเข้ามา บอกว่าหัวหน้าเรียกฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งเดินเข้าสำนักงานของหัวหน้า หัวหน้าหลี่จิ้งชูนั่งอยู่ ข้างหน้าวางแก้วน้ำสองใบ และยังมีกาน้ำใบใหญ่ เธอสื่อให้ฟางเจิ้งนั่งลงก่อนจะรินน้ำให้ตนเองพลางถามฟางเจิ้งว่า “ฟา างเจิ้ง เธอคิดว่าในการเรียนรู้ด้วยตัวคนเดียว อะไรคือสิ่งสำคัญ”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “จิตใจ”
“ใช่ จิตใจสำคัญที่สุด” หลี่จิ้งชูพยักหน้าก่อนรินน้ำให้ฟางเจิ้ง รินไปพลางถามไปพลาง “ถ้าอย่างนั้นเธอรู้ไหมว่าจิตใจแบบไหนสำคัญที่สุด?”
ฟางเจิ้งมองการกระทำของหลี่จิ้งชูพลางอยากจะมองบนโดยจิตใต้สำนึก! ไม่อยากเชื่อว่าจะใช้กลอุบายโบราณแบบนี้กับเขา หรือหลี่จิ้งชูไม่รู้ว่าเรื่องเล่าทั้งหลายแหล่มาจากพุทธศาสนา? แต่ฟ ฟางเจิ้งไม่ได้พูดอะไร กลับส่ายหน้าบอกว่า “ไม่รู้”
“แน่นอนว่าเป็นจิตใจแก้วว่างเปล่า เธอคือแก้วใบนี้” ขณะที่หลี่จิ้งชูพูด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความลำพองใจ ดูพอใจกับกลอุบายนี้ของตนมาก
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็มองตามไป เห็นน้ำในแก้วใกล้จะเต็มแล้ว ฟางเจิ้งจึงยิ้มตาม
หลี่จิ้งชูพูดต่อ “เธอเติบโตในวัดย่อมคิดว่าตนเข้าใจอะไรไม่น้อย แต่เธอมาที่นี่ เธอไม่เข้าใจธุรกิจนี้เลย เธอเป็นนักเรียนใหม่ ถ้าละวางสิ่งที่เรียนรู้ในใจลงไม่ได้ก็เหมือนกับ บแก้วใบนี้ เติมน้ำเต็มแล้วจะใส่น้ำเพิ่มอีกได้ยังไง? คนอื่นเติมให้เธอก็ล้นออก…เอ่อ หืม?”
หลี่จิ้งชูพลันตาค้าง เพราะเห็นๆ อยู่ว่าเธอเติมน้ำเต็มแก้วแล้ว ทว่าตอนที่รินเข้าไปอีก น้ำกลับไม่ไหลออกมา ราวกับว่าแก้วนี้คือถ้ำไร้ก้น รินน้ำเท่าไรก็ไม่ไหลออกมา!
ฟางเจิ้งมองทุกอย่างเงียบๆ ก่อนถามด้วยความแปลกใจหลายส่วน “หัวหน้า เมื่อกี้ว่ายังไงนะ?”
หลี่จิ้งชูหน้าแดงทันที เสแสร้งมาตั้งนานกลับพบว่าล้มเหลว ความเขินอายแบบนี้ไม่ได้น่าทุกข์ใจธรรมดาจริงๆ แต่เธอคิดไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้ำถึงไม่ล้นแก้ว? ออกแรงริน กา าน้ำก็แทบจะคว่ำลงบนแก้วแล้ว คล้ายๆ ว่าแก้วคือราชากระเพาะอาหาร คุณรินเท่าไรฉันกินเท่านั้น!
ฟางเจิ้งถาม “หัวหน้า ทำไมเงียบไปล่ะ?”